รอแสงตะวันส่องมาที่ฉัน EP13 "อีกเหตุซึมเศร้าของเด็ก"

             ห่างหายไปนานจากการเขียนต่อจากตอนที่12 เพราะรู้สึกร่างกายและจิตใตเหนื่อยล้าเหมือนคนกำลังหมดไฟ ต้องหาเวลาเดินทางไปทำกิจกรรม พักผ่อนอยู่สักพักและตอนนี้ก็ดึงตัวเองลุกขึ้นกลับมาใหม่ เพื่อใ้ช้ชีวิตให้ "อยู่ได้ อยู่รอดอยู่อย่างมีความหมาย" บนโลกใบเดิม ที่ดูแสนจะวุ่นวาย บ้างก็บอกว่าโลกมันแคบลงที่จริงแล้วโลกไม่ได้ดูแคบลงหรอกมันยังมีขนาดเท่าเดิม แต่ใจคนเราต่างหากที่แคบลง   พอดีกว่า บ่นไปก็เท่าเก่า ใช้ชีวิตน้อยของเราให้มีค่า มีความหมาย ไม่เป็นภาระสังคมและช่วยเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกได้บ้างก็จะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นเข้าเรื่องที่ผมจะเขียนตอนที่ 13 ต่อเลยดีกว่าและถ้าอยากอ่านเรื่องราวต่อเนื่องก็ไปย้อนอ่านเอานะครับ ตอน 1-12  (ถ้าใครคิดว่าเป็นประโยชน์ก็อ่านถ้าใครคิดว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยก็ผ่านไปแค่นั้นเอง ง่ายๆ)

          เรื่องราวในตอนนี้ผมได้ย้ายมาเรียนม.1เป็นโรงเรียนเดียวกับที่พ่อบุญธรรมของผมเป็นครู มาเรียนที่นี่ผมสบายขึ้นมากเลย บ้านผมอยู่หลังโรงเรียนไม่ต้องปั่นจักรยานไปเรียนแล้ว เดินออกจากบ้านก็ถึงโรงเรียนเลย  ผมได้เดินตามฝันตัวเองอีกก้าว ไปคัดเข้าคัดเลือกเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนตามที่ตั้งใจและจากตอนที่ 12 ผมเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนระดับประถมแต่ไม่ได้ลงแข่งขันเลย แต่ตอนมัธยมนี้ ผมได้ลงแข่งเป็นตัวจริงของโรงเรียนเสมอและทีมผมยังได้แชมป์ฟุตบอลนักเรียนรุ่นอายุ 12 ปีของจังหวัดตั้งแต่ปีแรกที่ผมเรียนที่นี่เลย ทุกอย่างของชีวิตผมช่วงนั้นกำลังไปด้วยดีทั้งเรื่องเรียนผมก็อยู่ลำดับต้นๆของห้อง เรื่องกีฬาก็มีผลงานที่ดี ผมสนุกและเริ่มรักการเล่นฟุตบอลมากขึ้น ผมจะมุ่งมันและจริงจังในการฝึกซ้อมฟุตบอลหลังเลิกเรียนตอนเย็นทุกวัน พอกลับถึงบ้านก็จะช่วยทำงานบ้าน ที่บ้านผมแม่บุญธรรมจะขายข้าวแกงที่โรงเรียนตอนเช้าตอนเย็นผมก็จะช่วยเตรียมวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารในวันรุ่งขึ้น แล้วก็จะกินข้าว อาบน้ำทำการบ้าน และนอน ชีวิตผมจะวนไปแบบนี้ทุกวันจนชิน จะไม่ค่อยได้มีเวลาเล่นเกมส์เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไปแถวบ้าน

         กิจวัตรประจำวันของผมก็ยังต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่เตรียมของไปขายข้าวราดแกงในโรงเรียนรีดผ้าให้ทุกคนในบ้าน ทำงานบ้านทุกอย่าง ส่วนวันหยุดเสาร์อาทิตผมต้องไปช่วยแม่ขายไข่ที่ตลาดสดในเมืองตั้งแต่ตี 4 กลับมาก็ช่วยทำงานบ้านซักผ้าให้ทุกคนในบ้านจนบางครั้งผมก็รู้สึกเหนื่อยอยากพัก อยากไปเล่นเหมือนเด็กคนอื่นบ้าง แม่จะเริ่มแบ่งงานให้น้องๆทำบ้างแต่พอน้องๆไม่ทำ ผมก็จะต้องทำแทนเสมอบ้างครั้งวันหยุดผมอยากพักอยากไปเที่ยวไปเล่นเตะบอลกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกัน แต่พอกลับมาผมก็ถูกแม่ตีบอกว่าหายไปไหนมางานบ้านเยอะแยะยังไม่ทำเลยผมพยายามจะอธิบายแต่แม่ก็ไม่ฟังตีผมไปแล้ว และสิ่งที่ผมได้ฟังและทำร้ายจิตใจผมมากคือแม่พูดว่าเอาผมมาเลี้ยงเพื่อมาใช้งานและบอกว่าจะให้เลิกเรียนมาช่วยขายของ ผมมานั่งแอบร้องไห้คนเดียวและคิดถึงยายของผมที่อยู่ชนบทในต่างจังหวัดที่ผมจากมาก ถึงยายผมจะจนแต่ก็ดูแลจิตใจผมอย่างดีไม่เคยทำร้ายด้วยวาจาผมเป็นเด็กอายุ 12 ปีคนนึงที่อยากทำกิจกรรมเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ยายไม่เคยห้ามผมเลยตอนนั้นผมอยากกลับไปอยู่บ้านนอกกับตายายผมรู้สึกเหนื่อยที่ต้องทำงานบ้านทุกอย่างให้ทุกคนในบ้านและยังต้องตื่นแต่เช้าไปขายของจนบางครั้งครูที่เป็นเพื่อนบ้านแอบถามผมทำไมต้องตื่นแต่ตี 4 มาทำงานพ่อแม่บังคับให้ตื่นเหรอ แต่ผมบอกว่า “เปล่าครับ ผมอยากตื่นเอง” แล้วผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อแต่จริงแล้วถ้าผมตื่นสาย ผมทำงานไม่เสร็จ ผมจะไปโรงเรียนสาย 

        ช่วงนั้นผมเหมือนเป็นเด็กเก็บกดไม่รู้ว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าไม่มีใครรัก ไม่มีใครต้องการผมเลยผมไม่อยากอยู่บ้าน ผมชอบจะไปไหนมาไหนกับอาภารโรงที่เคยไปส่งผมเรียนตอนป.3 อาใจดีกับผม ซื้อขนม ซื้อข้าวให้ผมกิน สอนผมขี่มอเตอร์ไซค์บางครั้งพ่อแม่กับน้องๆไปไหนผมก็จะไม่ค่อยไป ผมชอบบอกว่าผมจะเฝ้าบ้านให้ บางครั้งผมเริ่มรู้สึกว่าผมเป็นส่วนเกิน

       มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมจำได้ไม่เคยลืมยายมาเยี่ยมผมที่บ้านกับป้า แค่การให้เราเห็นหน้าของคนคนหนึ่ง มันเหมือนมีน้ำฝนที่ตกลงมารดต้นไม่ที่กำลังเหี่ยวเฉาให้สดชื่นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยายมาโดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมกอดยายอย่างมีความสุขที่สุดได้นอนกอดยาย นอนคุยกับยายอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอยายมานานมากแล้ว ผมมีความสุขมากเป็นความสุขที่เงินซื้อไม่ได้จริงๆและก็เป็นเรื่องจริงที่ผมรับรู้ด้วยตัวเองว่าความรักครั้งแรกที่บริสุทธิ์จากสายใยความผูกพันอาจจะมากกว่าสายเลือดด้วยซ้ำและจากใจจริงที่มีให้กันแบบไม่มีเงื่อนไข มันมีพลังบวกที่ทำให้ชีวิตก้าวเดินต่อไปได้แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ยายมาอยู่ไม่กี่วันก็กลับ ก่อนยายจะกลับผมบอกกับยายว่า“ยายผมอยากกลับไปอยู่กลับยาย ผมเหนื่อย ผมคิดถึงยายที่สุดเลย” น้ำตาผมไหลออกมาเองผมก้มหน้าและรีบเช็ดน้ำตาแห่งความรักความคิดถึงที่มีให้ยายออกจากดวงตาน้อยๆทั้งสองข้างเพราะผมกลัวแม่เห็น ช่วงนั้นผมจะกลัวแม่มาก เพราะถูกตีบ่อย ก่อนยายจะกลับป้าแอบกระซิบก็บอกยายว่า “เอามันกลับไปอยู่ด้วยเถอะสงสารมัน” แต่ยายผมก็เกรงใจแม่บอกกับผมว่า “อดทนนะลูก โตขึ้นจะได้สบาย จะได้ไม่ลำบากอีก” สุดท้ายความสุขของผมก็จบลงตรงที่แม่ตะโกนเรียกให้ผมเข้าบ้านดุผมว่า “จะไปไหนเข้ามาบ้านเดี๋ยวนี้” ยายพูดกับผมด้วยเสียงนุ่มนวลและดูเมตตาต่อเด็กน้อย “เข้าบ้านเถอะลูกเดี๋ยวเขาจะตีเอา” ผมไหว้ลายาย แล้วก้มหน้าค่อยๆเดินเข้าบ้านแอบเหลียวมองยายด้วยใจสั่นไหว พยายามจะกลั่นน้ำตาที่คลอเบ้า ไม่ให้ไหลออกมา แต่ก็ห้ามไว้ไม่ได้มองรถที่ยายนั่งกำลังเคลื่อนออกไป ใจผมตอนนั้นปวดร้าวเหมือนโดนใครมาแย่งของมีค่าที่สุดในชีวิตผมไปไม่รู้ผมจะได้เจอยายอีกเมื่อไหร่ ผมเช็ดน้ำตาเดินเข้าไปหาแม่ ที่ถือไม้เรียวรอผมอยู่แม่ตีผมอย่างไม่มีเหตุผล ผมยืนให้แม่ตี ผมจำไม่ได้ว่าแม่ดุอะไรผมบ้าง ผมเจ็บจนช้าผมไม่ได้ฟังแม่ดุ ผมใจลอยคิดถึงยาย แม่ตีเสร็จผมก็เดินไปทำงานบ้านต่อ ผมกลายเป็นหุ่นยนต์อีกครั้งเหมือนตอนที่ผมอยู่กลับพ่อเลี้ยงตอนสมัยเด็กๆ ผมไม่เป็นตัวเอง พูดน้อยลง ขาดความมั่นใจเสียงเบากลัวทำอะไรผิดแล้วถูกตี 

     ถึงตรงนี้แล้วอยากจะบอกว่าผู้ใหญ่ผู้ปกครองทั้งหลายว่าอารมณ์และการกระทำรุนแรงที่คุณแสดงออกมาโดยขาดสติมันเหมือนคุณกำลังทำลายชีวิตเด็กลงในแต่ละครั้ง มันส่งผลกระทบอย่างมากต่อจิตใจเด็กและอาจเป็นสาเหตุให้เด็กกลายเป็นโรคซึมเศร้า คิดว่าตนเองไม่มีใครรัก นำไปสู่การทำร้ายตนเองหรือการฆ่าตัวตายได้ ซึ่งผมก็เคยคิดจะทำกับตัวเองเช่นกัน แต่ก็มีความรักที่ไม่มีเงื่อนไขจากคนหนึ่งคนที่ฉุดผมขึ้นมา ให้ก้าวเดินต่อไปจนมีชีวิตมาได้อย่างมีความหมายจนถึงวันนี้ (ผมจะมาเขียนต่อในตอนหน้า) คงไม่มีครอบครัวไหนอยากให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ป้องกันได้ด้วยการให้ความรักที่จริงใจแบบไม่มีเงื่อนไขต่อกันพูดคุยกันด้วยเหตุและผล ด้วยวาจาที่เสริมพลังบวกให้แก่กัน จะทำให้คุณและคนในครอบครัวมีความสุข และสร้างเด็กที่มีคุณภาพไปช่วยกันสร้างสังคมให้น่าอยู่มากขึ้น  (รอติดตามตอนต่อไป)

ใกล้จันทร์ moonstar

           

 

           

    
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่