6 อาการของโรคไข้เลือดออกที่ควรระวัง
ไข้เลือดออกสายพันธุ์ "เดงกี่" ระบาด ไข้สูงเฉียบพลัน มีจุดเลือดตามตัว ควรพบแพทย์

โรคไข้เลือดออกที่พบในปีนี้ (2562) ส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ที่ 2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากที่สุด ใน 4 สายพันธุ์ ยิ่งหากเป็นการป่วยไข้เลือดออกครั้งที่ 2 จะยิ่งมีความรุนแรงของโรคมากขึ้น
โรคไข้เลือดออกสายพันธุ์เดงกี่ เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสเดงกี่ มียุงลายตัวเมียเป็นพาหะ เมื่อยุงลายไปกัดคนที่ป่วยโรคไข้เลือดออก เชื้อโรคจะไปอยู่ที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง และเมื่อยุงไปกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน ซึ่งเชื้อจะอยู่ในร่างกายประมาณ 2-7 วัน ก็จะแสดงอาการของโรคออกมา
มีอาการแบบนี้ให้พบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์เดงกี่
✔ไข้สูงเฉียบพลันประมาณ 2-7 วัน
✔เบื่ออาหาร
✔หน้าแดงปวดศีรษะร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน อาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
✔บางรายอาจมีจุดเลือดสีแดงขึ้นตามลำตัว แขน ขา
✔เลือดกำเดาออก หรือเลือดออกตามไรฟัน
✔ถ่ายอุจจาระดำเนื่องจากเลือดออก และอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้
ส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็ก แต่อาการของโรคไข้เลือดออกไม่จำเพาะในเด็กเท่านั้น แต่ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้ใหญ่ได้อีกด้วย ในรายที่ช็อกจะสังเกตได้จากการที่ไข้ลดแต่ผู้ป่วยซึมลง ตัวเย็น หมดสติ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้โรคไข้เลือดออกไม่มียารักษาเฉพาะ การรักษาจะใช้วิธีประคับประคอง เช่น ให้ยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ และให้สารน้ำชดเชย เนื่องจากผู้ป่วยมักมีภาวะขาดน้ำเนื่องจากไข้สูง

ดังนั้นการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งเราสามารถช่วยกันทำได้ดังนี้ครับ...
1. ป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด ยุงลายมักจะกัดคนในเวลากลางวัน เราจึงควรนอนในมุ้งหรือติดมุ้งลวดเพื่อป้องกันยุงเข้ามาในบ้าน หลีกเลี่ยงการอยู่บริเวณมุมอับชื้น หรือทายากันยุง
2. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้หมดไป ยุงลายจะเพาะพันธุ์ในน้ำใส ในภาชนะที่เก็บน้ำใช้ในบ้าน เช่น โอ่งน้ำ ถ้วยรองขาตู้กับข้าว แจกันดอกไม้ ภาชนะนอกบ้านที่มีน้ำขัง เช่น ยางรถยนต์ ดังนั้นเราควรทำลายแหล่งเพาะพันธุ์เหล่านี้ โดย
• ภาชนะที่ใช้เก็บน้ำต้องมีฝาปิดให้มิดชิด
• ใส่ทรายกำจัดลูกน้ำในภาชนะขังน้ำทำลายภาชนะที่ไม่จำเป็น เพราะอาจมีน้ำขังได้
• ปล่อยปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูงในภาชนะที่มีน้ำขังขนาดใหญ่ เช่น อ่างบัว
• เปลี่ยนน้ำในภาชนะเล็กๆ เช่น แจกันทุก 7 วัน
• ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบ้านและรอบบ้านให้เป็นระเบียบ
• ขัดขอบภาชนะทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำเพื่อทำลายไข่ยุงลาย
นอกจากจะป้องกันไม่ให้ยุงกัด และทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายแล้ว เรายังสามารถฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกได้อีกด้วย ซึ่งผลงานวิจัยพบว่าเมื่อฉีดวัคซีนในผู้ที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อนแล้ว วัคซีนจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกไม่เป็นการทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก และไม่ถือเป็นการติดเชื้อครั้งแรก จึงมีความปลอดภัยและได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและยาของไทย สามารถนำมาใช้ป้องกันไข้เลือดออกได้สำหรับในหน้าฝนแบบนี้
6 อาการของโรคไข้เลือดออกที่ควรระวัง
ไข้เลือดออกสายพันธุ์ "เดงกี่" ระบาด ไข้สูงเฉียบพลัน มีจุดเลือดตามตัว ควรพบแพทย์
โรคไข้เลือดออกที่พบในปีนี้ (2562) ส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ที่ 2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากที่สุด ใน 4 สายพันธุ์ ยิ่งหากเป็นการป่วยไข้เลือดออกครั้งที่ 2 จะยิ่งมีความรุนแรงของโรคมากขึ้น
โรคไข้เลือดออกสายพันธุ์เดงกี่ เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสเดงกี่ มียุงลายตัวเมียเป็นพาหะ เมื่อยุงลายไปกัดคนที่ป่วยโรคไข้เลือดออก เชื้อโรคจะไปอยู่ที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง และเมื่อยุงไปกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน ซึ่งเชื้อจะอยู่ในร่างกายประมาณ 2-7 วัน ก็จะแสดงอาการของโรคออกมา
มีอาการแบบนี้ให้พบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์เดงกี่
✔ไข้สูงเฉียบพลันประมาณ 2-7 วัน
✔เบื่ออาหาร
✔หน้าแดงปวดศีรษะร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน อาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
✔บางรายอาจมีจุดเลือดสีแดงขึ้นตามลำตัว แขน ขา
✔เลือดกำเดาออก หรือเลือดออกตามไรฟัน
✔ถ่ายอุจจาระดำเนื่องจากเลือดออก และอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้
ส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็ก แต่อาการของโรคไข้เลือดออกไม่จำเพาะในเด็กเท่านั้น แต่ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้ใหญ่ได้อีกด้วย ในรายที่ช็อกจะสังเกตได้จากการที่ไข้ลดแต่ผู้ป่วยซึมลง ตัวเย็น หมดสติ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้โรคไข้เลือดออกไม่มียารักษาเฉพาะ การรักษาจะใช้วิธีประคับประคอง เช่น ให้ยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ และให้สารน้ำชดเชย เนื่องจากผู้ป่วยมักมีภาวะขาดน้ำเนื่องจากไข้สูง
ดังนั้นการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งเราสามารถช่วยกันทำได้ดังนี้ครับ...
1. ป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด ยุงลายมักจะกัดคนในเวลากลางวัน เราจึงควรนอนในมุ้งหรือติดมุ้งลวดเพื่อป้องกันยุงเข้ามาในบ้าน หลีกเลี่ยงการอยู่บริเวณมุมอับชื้น หรือทายากันยุง
2. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้หมดไป ยุงลายจะเพาะพันธุ์ในน้ำใส ในภาชนะที่เก็บน้ำใช้ในบ้าน เช่น โอ่งน้ำ ถ้วยรองขาตู้กับข้าว แจกันดอกไม้ ภาชนะนอกบ้านที่มีน้ำขัง เช่น ยางรถยนต์ ดังนั้นเราควรทำลายแหล่งเพาะพันธุ์เหล่านี้ โดย
• ภาชนะที่ใช้เก็บน้ำต้องมีฝาปิดให้มิดชิด
• ใส่ทรายกำจัดลูกน้ำในภาชนะขังน้ำทำลายภาชนะที่ไม่จำเป็น เพราะอาจมีน้ำขังได้
• ปล่อยปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูงในภาชนะที่มีน้ำขังขนาดใหญ่ เช่น อ่างบัว
• เปลี่ยนน้ำในภาชนะเล็กๆ เช่น แจกันทุก 7 วัน
• ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบ้านและรอบบ้านให้เป็นระเบียบ
• ขัดขอบภาชนะทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำเพื่อทำลายไข่ยุงลาย
นอกจากจะป้องกันไม่ให้ยุงกัด และทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายแล้ว เรายังสามารถฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกได้อีกด้วย ซึ่งผลงานวิจัยพบว่าเมื่อฉีดวัคซีนในผู้ที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อนแล้ว วัคซีนจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกไม่เป็นการทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก และไม่ถือเป็นการติดเชื้อครั้งแรก จึงมีความปลอดภัยและได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและยาของไทย สามารถนำมาใช้ป้องกันไข้เลือดออกได้สำหรับในหน้าฝนแบบนี้