การรวม 3 โครงการเชื่อมต่อให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จากรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์, รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, สู่สนามบินอู่ตะเภา ปรับให้ใช้ระบบเดียวกัน และให้ผู้โดยสารจากสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ สามารถไปยังสนามบินอู่ตะเภาได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวนรถ และให้รถไฟทุกขบวนเข้าไปจอดในอาคารผู้โดยสารใหม่ที่จะสร้างขึ้นในสนามบินอู่ตะเภา
การรถไฟแห่งประเทศไทยได้เคยไปทำการศึกษา และนำเสนอการศึกษาให้ คณะกรรมการอีอีซี และ ครม.เห็นชอบ เมื่อมีนาคม 2561
ประเทศไทยต้องการสนามบินอู่ตะเภามาใช้เป็น สนามบินกรุงเทพฯแห่งที่ 3 ครับ และผมเชื่อว่าการนำสนามบินอู่ตะเภามาใช้ประโยชน์ จะเป็น
“ปัจจัยที่นำการเปลี่ยนแปลงที่ดี” (Game Changer) ให้กับประเทศไทยในอนาคต
อย่างที่ทราบกันว่า "สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ" มีความหนาแน่นมาก ซึ่งปัจจุบันทั้งสองสนามบิน รับผู้โดยสาร “เกินความจุไปถึง 28.3 ล้านคน (138%) ของความจุสูงสุดที่สามารถรองรับได้" แบ่งเป็น
• สนามบินดอนเมือง รองรับผู้โดยสาร 40.5 ล้านคน จากความจุที่กำหนดไว้ 30 ล้านคน
• สนามบินสุวรรณภูมิ รองรับผู้โดยสาร 62.8 ล้านคน จากความจุที่กำหนดไว้ 45 ล้านคน
จากความแออัดดังกล่าว ทำให้บางครั้งเครื่องบินจะต้องบินวนเป็นของแถมให้ผู้โดยสาร ก่อนจะพาลงจอดที่รันเวย์ และการขอปรับเปลี่ยนเวลาขึ้น-ลง ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หรือหากเกิดการปิดซ่อมรันเวย์ก็จะกระทบต่อเที่ยวบิน และตารางการบินของทั้งสนามบินทันที
ส่วนการจะขยายสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ รันเวย์ใหม่ที่อาจจะใกล้กับรันเวย์เดิม และการรองรับให้เครื่องบินขึ้น-ลง
นอกจากนั้น การจัดหาซื้อที่ดินเพื่อทำสนามบินใหม่ใกล้กรุงเทพฯ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เฉพาะกว่าจะสร้างสนามบินสุวรรณภูมิได้ ใช้เวลากว่า 30 ปี ทั้ง ๆ ที่มีที่ดินอยู่แล้ว
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ากรุงเทพฯ มีความต้องการสนามบินเพิ่มเติม เพื่อรองรับการขยายตัวการเดินทางทางอากาศในอนาคต และสนามบินอู่ตะเภาเป็นทางออกทางเดียวที่ไม่ใช่ความฝัน
แต่ ...
“การจะใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินกรุงเทพฯ แห่งที่ 3 ต้องมีรถไฟความเร็วสูง ความเร็ว 250 กม./ชม. เพื่อเดินทางถึงในกรุงเทพฯ ด้วยเวลาไม่เกิน 1 ชม. เช่นเดียวกับเวลาที่ใช้จากสนามบินนาริตะถึงกรุงโตเกียว หรือสนามบินอินชอนถึงกรุงโซล”
ทุกวันนี้การเดินทางทางถนนจากสนามบินอู่ตะเภาไม่ได้ผลแล้ว เพราะคับคั่งและสิ้นเปลือง ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ชม. และมีความไม่แน่นอนสูง โอกาสที่สนามบินอู่ตะเภาจะทำงานได้เต็มที่ขึ้นอยู่กับความเร็วและความสะดวกในการเชื่อมโยง
การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นเป้าหมายใน 5 ปีแรก ในระยะ 10 ปี จะพัฒนาเป็น มหานครการบินภาคตะวันออก รองรับการขยายตัวในขอบเขตประมาณ 30 กม.รอบสนามบิน คือ ประมาณเมืองพัทยาถึงระยอง
ที่มา : ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน จากมุมมองของคนทำงาน ตอนที่ 1 และ
ตอนที่ 2
EEC - การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาจะเป็นการนำสิ่งดีมาสู่ประเทศ
ประเทศไทยต้องการสนามบินอู่ตะเภามาใช้เป็น สนามบินกรุงเทพฯแห่งที่ 3 ครับ และผมเชื่อว่าการนำสนามบินอู่ตะเภามาใช้ประโยชน์ จะเป็น “ปัจจัยที่นำการเปลี่ยนแปลงที่ดี” (Game Changer) ให้กับประเทศไทยในอนาคต
• สนามบินดอนเมือง รองรับผู้โดยสาร 40.5 ล้านคน จากความจุที่กำหนดไว้ 30 ล้านคน
• สนามบินสุวรรณภูมิ รองรับผู้โดยสาร 62.8 ล้านคน จากความจุที่กำหนดไว้ 45 ล้านคน
จากความแออัดดังกล่าว ทำให้บางครั้งเครื่องบินจะต้องบินวนเป็นของแถมให้ผู้โดยสาร ก่อนจะพาลงจอดที่รันเวย์ และการขอปรับเปลี่ยนเวลาขึ้น-ลง ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หรือหากเกิดการปิดซ่อมรันเวย์ก็จะกระทบต่อเที่ยวบิน และตารางการบินของทั้งสนามบินทันที
ส่วนการจะขยายสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ รันเวย์ใหม่ที่อาจจะใกล้กับรันเวย์เดิม และการรองรับให้เครื่องบินขึ้น-ลง
นอกจากนั้น การจัดหาซื้อที่ดินเพื่อทำสนามบินใหม่ใกล้กรุงเทพฯ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เฉพาะกว่าจะสร้างสนามบินสุวรรณภูมิได้ ใช้เวลากว่า 30 ปี ทั้ง ๆ ที่มีที่ดินอยู่แล้ว
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ากรุงเทพฯ มีความต้องการสนามบินเพิ่มเติม เพื่อรองรับการขยายตัวการเดินทางทางอากาศในอนาคต และสนามบินอู่ตะเภาเป็นทางออกทางเดียวที่ไม่ใช่ความฝัน
แต่ ...
“การจะใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินกรุงเทพฯ แห่งที่ 3 ต้องมีรถไฟความเร็วสูง ความเร็ว 250 กม./ชม. เพื่อเดินทางถึงในกรุงเทพฯ ด้วยเวลาไม่เกิน 1 ชม. เช่นเดียวกับเวลาที่ใช้จากสนามบินนาริตะถึงกรุงโตเกียว หรือสนามบินอินชอนถึงกรุงโซล”
ที่มา : ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน จากมุมมองของคนทำงาน ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2