Jont Kraprayoon
Weaponization of social media การใช้โซเซียลเป็นอาวุธก่อการร้าย
การใช้โซเซียลเป็นอาวุธก่อการร้าย เปลี่ยนความคิดคน ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองและดุลยภาพใหม่ระหว่างชาติ
ที่ชัดเจนที่สุดคือการสร้างอาหรับสปริง รบกันสิบกว่าประเทศในตะวันออกกลาง ปัจจุบันขยายไปที่อาฟริกา ตะวันออกกลางที่รวยที่สุด เปลี่ยนเป็นจนที่สุด
จีน เวียดนาม รัสเซีย สิงคโปร์จึงถือเป็นภัยต่อความมั่นคงขั้นสูง ต้องออกกฏหมายควบคุม อเมริกาด้วย ตอนนี้จะเข้าอเมริกาต้องโชว์โซเซียลย้อนหลังห้าปี
การแทรกแซงจะใช้โซเซียล การศึกษา NGO การทูตด้วย เป็นแบบผสมผสาน
แทรกผ่านพรรคการเมือง สภา หนังสือพิมพ์ หรือจ้างผู้ขายชาติทำแทนด้วย
ในระดับบริษัทใหญ่ของโลกคือการโฆษณา เพื่อหลอกลวง ให้เชื่อในระบบ มาตรฐานสินค้า ตกเป็นทาสแบรนด์บริษัทตลอดชาติ
สร้างความเป็นทาสต่อระบบดอกเบี้ย ตลาดหุ้น ระบบธนาคาร ระบบสินเชื่อ
รัฐตะวันตกจะเน้นประชาธิปไตย บริษัทใหญ่จะเน้นให้คนเป็นทาสของผลิตภัณท์
เดิมทีใช้โซเซียลในกิจการทหาร ปัจจุบันใช้โดยฝ่ายก่อการร้ายด้วย ต่างชาติด้วย บริษัทด้วย ขายออนไลน์ด้วย
คือ
IO : information operation ( การปฎิบัติการด้านข่าวสาร, การใช้โครงข่ายอินเตอร์เนตและอิเลคโทรนิกส์ จิตวิทยามวลชนเพื่อสร้างอิทธิพลในการตัด
สินใจของฝ่ายตรงข้าม)
ปัจจุบันมี Big Data เก็บรวบรวมข้อมูล และ
ประมวลวิเคราะห์ข้อมูลและนำไปใช้ประโยชน์
(ประเด็นคือ big data มีความสามารถในการ
ประมวลผล)
ทำให้ทราบถึงพฤติกรรม รสนิยม ความคิด ความสนใจ ความเชื่อ ของคนในสังคมนั้น
เหมือนเรารู้จักใครสักคนลึกๆ เราจะรู้ว่าเราต้อง พูดหรือสื่อสารอย่างไร .. ให้เขาคล้อยตามเรา
เมื่อนำมาพัฒนาภายใต้แนวคิด
" Weaponization of social media " ใช้เป็นอาวุธก่อการร้าย
เมื่อมีข้อมูลพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายในมือ
ผู้ปฏิบัติการจะชี้นำประเด็น หรือใส่มุมมอง เพื่อให้เกิดความคิด ความเชื่อ ตามที่ตั้งเป้าไว้ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ไม่ยากหรือไม่ให้กลุ่มเป้าหมายรู้ตัว
จากนั้นแล้วสร้างกระแส ให้เกิดความเชื่อในทิศทางเดียวกัน ในรูปแบบเดียวกัน เช่น การใส่ # ... # (จะกลายเป็นพวกเดียวกัน
เหมือนใส่เสื้อทีมเดียวกัน) จากนั้นนำเข้าไปในโซเซียล
เมื่อมีคนที่เห็นต่างเข้ามาแสดงความเห็น
หรือท้าทายความเชื่อนั้นๆ จะถูกโจมตีกลับ
จากคนพวกเดียวกัน
การโจมตีทางภาษา จะมีตั้งแต่เบาบางจนถึง
กร้าวร้าว หยาบคาย ขึ้นกับดีกรีความรู้สึก
ของแต่ละคน
คล้ายๆ เป็นเกมส์ที่ยิงกันด้วยวาจา อาจยิง
โดยคนเดียวหรือเป็นหมู่
ในเพจใหญ่ๆ หรือเพจเป้าหมาย อาจมีพี่เลี้ยง
คอยประกบ เพื่อส่งแรงยุ หรือดันเกมส์ ให้หนักขึ้น
โดยมีเป้าหมายคือให้อีกฝ่ายที่เห็นต่างพัง
ทลาย หรือไม่กล้าวิจารณ์อีกต่อไป
(บางทีคนที่ไม่รู้อิโหน่อีเหน่ หลงเข้าไปถ้ามี
ภาษามีกลิ่นอายในทางตรงข้าม พวกที่ลาด
ตระเวณอาจเข้ามายิงด้วยวาจา ขู่ให้กลัว)
กลุ่มเป้าหมายจะไม่รู้ตัวว่า ถูกปั้นให้เป็น “นักรบโซเชียล” กลับมีความรู้สึกว่า ตนเองเป็นผู้รู้ ผู้เข้าใจ
ผู้กล้า ที่ยึดหลักการความถูกต้อง
ผลลัพธ์ ที่ผู้ใช้ weapon ได้ คือ
• การทำลายความเห็นต่างของฝ่ายตรงข้าม
ผลที่ผู้ถูกหลอกให้เป็น “นักรบโซเชียล” ได้
คือ
• ความลำพองใจในชัยชนะของพวกเดียวกัน (Strength in Numbers)
และยึดมั่นในความคิดที่ถูกย้อม และในภายหน้าอาจมีพฤติกรรมที่กร้าวร้าวขึ้นตามวันเวลา
และหากนานวันขึ้น ในกรณีเลวร้ายสุดๆ มีโอกาสที่จะถูกล้างสมองเหมือนกับพวกเรดการ์ด โซเวียต หรือยุวชนนาซี เยอรมัน หรือ กลุ่มเขมรแดง
ผลกระทบในทางสังคมคือ สังคมเกิดความแตกแยกอย่างเห็นได้ชัด
หลายคนอาจสังเกตว่า
ในช่วงนี้คนใน social media มีพฤติกรรมการใช้วาจารุนแรงขึ้น มีการรุมยิงด้วยภาษาต่อผู้ที่เห็นต่าง มีการใช้ชุดความคิดแบบเดียวกันหรือคล้ายกัน มีการใช้สัญญาลักษณ์ในแนวทางเดียวกัน
ช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ในคนหลากหลายวัย
นั่นก็คือ รูปแบบ
weaponization of social media
ในหลายประเทศเริ่มพูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้น
เพราะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
คนในชาติเกิดความแตกแยกความคิด ความเชื่อ เกิดความเกลียดชังกัน
หากมีการใช้ weapon นี้ในบ้านเรา ไม่ใช่เรื่องที่เป็นเพียงความเห็นต่างธรรมดาๆ แต่มันคือ การล้างสมอง และคนที่นำมาใช้นั้น ก็ไม่รู้ว่า ... "จิตใจของเขาทำด้วยอะไร” ที่ทำร้ายคนในชาติเดียวกัน
ถ้าบ้านเรามีการใช้แนวคิด weapon นี้จริง มันเป็นเรื่องใหญ่ของสังคมบ้านเรานะครับ Master Mind ไม่ได้หวังดีต่อชาติบ้านเมืองไทยแน่นอน
ปล. copy เขามา
Weaponization of social media : คิดอย่างไรกับเรื่องนี้
Weaponization of social media การใช้โซเซียลเป็นอาวุธก่อการร้าย
การใช้โซเซียลเป็นอาวุธก่อการร้าย เปลี่ยนความคิดคน ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองและดุลยภาพใหม่ระหว่างชาติ
ที่ชัดเจนที่สุดคือการสร้างอาหรับสปริง รบกันสิบกว่าประเทศในตะวันออกกลาง ปัจจุบันขยายไปที่อาฟริกา ตะวันออกกลางที่รวยที่สุด เปลี่ยนเป็นจนที่สุด
จีน เวียดนาม รัสเซีย สิงคโปร์จึงถือเป็นภัยต่อความมั่นคงขั้นสูง ต้องออกกฏหมายควบคุม อเมริกาด้วย ตอนนี้จะเข้าอเมริกาต้องโชว์โซเซียลย้อนหลังห้าปี
การแทรกแซงจะใช้โซเซียล การศึกษา NGO การทูตด้วย เป็นแบบผสมผสาน
แทรกผ่านพรรคการเมือง สภา หนังสือพิมพ์ หรือจ้างผู้ขายชาติทำแทนด้วย
ในระดับบริษัทใหญ่ของโลกคือการโฆษณา เพื่อหลอกลวง ให้เชื่อในระบบ มาตรฐานสินค้า ตกเป็นทาสแบรนด์บริษัทตลอดชาติ
สร้างความเป็นทาสต่อระบบดอกเบี้ย ตลาดหุ้น ระบบธนาคาร ระบบสินเชื่อ
รัฐตะวันตกจะเน้นประชาธิปไตย บริษัทใหญ่จะเน้นให้คนเป็นทาสของผลิตภัณท์
เดิมทีใช้โซเซียลในกิจการทหาร ปัจจุบันใช้โดยฝ่ายก่อการร้ายด้วย ต่างชาติด้วย บริษัทด้วย ขายออนไลน์ด้วย
คือ
IO : information operation ( การปฎิบัติการด้านข่าวสาร, การใช้โครงข่ายอินเตอร์เนตและอิเลคโทรนิกส์ จิตวิทยามวลชนเพื่อสร้างอิทธิพลในการตัด
สินใจของฝ่ายตรงข้าม)
ปัจจุบันมี Big Data เก็บรวบรวมข้อมูล และ
ประมวลวิเคราะห์ข้อมูลและนำไปใช้ประโยชน์
(ประเด็นคือ big data มีความสามารถในการ
ประมวลผล)
ทำให้ทราบถึงพฤติกรรม รสนิยม ความคิด ความสนใจ ความเชื่อ ของคนในสังคมนั้น
เหมือนเรารู้จักใครสักคนลึกๆ เราจะรู้ว่าเราต้อง พูดหรือสื่อสารอย่างไร .. ให้เขาคล้อยตามเรา
เมื่อนำมาพัฒนาภายใต้แนวคิด
" Weaponization of social media " ใช้เป็นอาวุธก่อการร้าย
เมื่อมีข้อมูลพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายในมือ
ผู้ปฏิบัติการจะชี้นำประเด็น หรือใส่มุมมอง เพื่อให้เกิดความคิด ความเชื่อ ตามที่ตั้งเป้าไว้ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ไม่ยากหรือไม่ให้กลุ่มเป้าหมายรู้ตัว
จากนั้นแล้วสร้างกระแส ให้เกิดความเชื่อในทิศทางเดียวกัน ในรูปแบบเดียวกัน เช่น การใส่ # ... # (จะกลายเป็นพวกเดียวกัน
เหมือนใส่เสื้อทีมเดียวกัน) จากนั้นนำเข้าไปในโซเซียล
เมื่อมีคนที่เห็นต่างเข้ามาแสดงความเห็น
หรือท้าทายความเชื่อนั้นๆ จะถูกโจมตีกลับ
จากคนพวกเดียวกัน
การโจมตีทางภาษา จะมีตั้งแต่เบาบางจนถึง
กร้าวร้าว หยาบคาย ขึ้นกับดีกรีความรู้สึก
ของแต่ละคน
คล้ายๆ เป็นเกมส์ที่ยิงกันด้วยวาจา อาจยิง
โดยคนเดียวหรือเป็นหมู่
ในเพจใหญ่ๆ หรือเพจเป้าหมาย อาจมีพี่เลี้ยง
คอยประกบ เพื่อส่งแรงยุ หรือดันเกมส์ ให้หนักขึ้น
โดยมีเป้าหมายคือให้อีกฝ่ายที่เห็นต่างพัง
ทลาย หรือไม่กล้าวิจารณ์อีกต่อไป
(บางทีคนที่ไม่รู้อิโหน่อีเหน่ หลงเข้าไปถ้ามี
ภาษามีกลิ่นอายในทางตรงข้าม พวกที่ลาด
ตระเวณอาจเข้ามายิงด้วยวาจา ขู่ให้กลัว)
กลุ่มเป้าหมายจะไม่รู้ตัวว่า ถูกปั้นให้เป็น “นักรบโซเชียล” กลับมีความรู้สึกว่า ตนเองเป็นผู้รู้ ผู้เข้าใจ
ผู้กล้า ที่ยึดหลักการความถูกต้อง
ผลลัพธ์ ที่ผู้ใช้ weapon ได้ คือ
• การทำลายความเห็นต่างของฝ่ายตรงข้าม
ผลที่ผู้ถูกหลอกให้เป็น “นักรบโซเชียล” ได้
คือ
• ความลำพองใจในชัยชนะของพวกเดียวกัน (Strength in Numbers)
และยึดมั่นในความคิดที่ถูกย้อม และในภายหน้าอาจมีพฤติกรรมที่กร้าวร้าวขึ้นตามวันเวลา
และหากนานวันขึ้น ในกรณีเลวร้ายสุดๆ มีโอกาสที่จะถูกล้างสมองเหมือนกับพวกเรดการ์ด โซเวียต หรือยุวชนนาซี เยอรมัน หรือ กลุ่มเขมรแดง
ผลกระทบในทางสังคมคือ สังคมเกิดความแตกแยกอย่างเห็นได้ชัด
หลายคนอาจสังเกตว่า
ในช่วงนี้คนใน social media มีพฤติกรรมการใช้วาจารุนแรงขึ้น มีการรุมยิงด้วยภาษาต่อผู้ที่เห็นต่าง มีการใช้ชุดความคิดแบบเดียวกันหรือคล้ายกัน มีการใช้สัญญาลักษณ์ในแนวทางเดียวกัน
ช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ในคนหลากหลายวัย
นั่นก็คือ รูปแบบ
weaponization of social media
ในหลายประเทศเริ่มพูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้น
เพราะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
คนในชาติเกิดความแตกแยกความคิด ความเชื่อ เกิดความเกลียดชังกัน
หากมีการใช้ weapon นี้ในบ้านเรา ไม่ใช่เรื่องที่เป็นเพียงความเห็นต่างธรรมดาๆ แต่มันคือ การล้างสมอง และคนที่นำมาใช้นั้น ก็ไม่รู้ว่า ... "จิตใจของเขาทำด้วยอะไร” ที่ทำร้ายคนในชาติเดียวกัน
ถ้าบ้านเรามีการใช้แนวคิด weapon นี้จริง มันเป็นเรื่องใหญ่ของสังคมบ้านเรานะครับ Master Mind ไม่ได้หวังดีต่อชาติบ้านเมืองไทยแน่นอน
ปล. copy เขามา