. สังคมบนพื้นที่รอบสนามแอนฟิลด์

.    สโมสรลิเวอร์พูลกำลังแก้ปัญหาความยากจนในท้องถิ่น ผ่านการรณรงค์ชุมชน Red Neighbours
บทความนี้เป็นการแปลจากเว็บไซต์ influenceonline โดยตรง 
ก่อนอื่นมารู้จักศัพท์เฉพาะที่อยู่ในเนื้อหานี้ ซึ่งผมจะใช้แทนเป็นอักษรภาษาอังกฤษเพื่อง่ายต่อการอ่าน
    1. Red Neighbours : โครงการชุนชนของสโมสรลิเวอร์พูล
จุดมุ่งหมายเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ต่อผู้ที่อาศัยรอบๆสนามแอนฟิลด์
    2. CSR (The Corporate Social Responsibility) : ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
    3. ซูซาน แบล็ค (Susan Black) คือ ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ของสโมสรลิเวอร์พูล
    4. ฟอร์บสดัฟฟ์ (Forbes Duff) คือผู้จัดการความรับผิดชอบต่อสังคมของสโมสร
    5. Food Banks : ธนาคารอาหารชุมชน

    พอเข้าใจความหมายแล้วก็ไปเริ่มกันเลย...
โลกฟุตบอลไปไกลมากนับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีกในปี 1992 จากสนามที่เต็มไปด้วยโคลน และแต่ละทีมอยู่ได้ด้วยคนท้องถิ่น
สู่การเป็นองค์กรระดับโลก ที่มีค่าเฉลี่ยรายได้ของผู้เล่น 2 ล้านเหรียญต่อปี
    เรื่องนี้เองทำให้เกิดคำถามว่าสโมสรฟุตบอลได้สูญเสียสายสัมพันธ์กับเมืองที่เป็นถิ่นที่ตั้งของพวกเขาไปแล้วรึเปล่า
แฟนบอลยังเชียร์ทีมแบบทุ่มเทเต็มที่เหมือนเดิม แต่ทีมรักของพวกเขาที่กลายเป็นแบรนด์ระดับนานาชาติไปแล้ว
ซึ่งดูเหมือนจะออกห่างจากพวกเขาไปไกล
    รายงานของ ดีลอยท์ ฟุตบอล มันนี่ ลีก 2018 (Deloitte’s ‘Football Money League 2018’) ระบุว่า
ครึ่งหนึ่งของสโมสรที่รวยที่สุดในยุโรป 20 อันดับแรก มาจากลีกอังกฤษ รวมกันแล้วมีรายรับต่อปี ราวๆ 3.5 พันล้านปอนด์
ซึ่งลิเวอร์พูลเอง ติดอันดับที่ 9 ในลิสต์นี้ โดยมีรายรับ 364.5 ล้านปอนด์
ทว่าสนามแอนฟิลด์นั้น  เป็นหนึ่งในสนามที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ริดรอนผู้คนในละแวกใกล้เคียงมากที่สุด
ดังนั้นเมื่อเดือนมกราคม 2017 หลังจากปรึกษาหารือกับชุมชนท้องถิ่นแล้ว
สโมสรก็ได้เริ่มดำเนินการทำงานด้านนี้ทั้งในสหราชอาณาจักรและต่างประเทศผ่านองค์กรการกุศลมากว่า 30 ปี
แต่ผลลัพธ์ในตอนนี้นั้นมันต้องเกิดขึ้นในชุมชนตัวเองด้วย
    ด้วยเหตุนี้เอง ยุทธศาสตร์ Red Neighbours ก็ได้ดำเนินการในบริเวณพื้นที่รอบสนามแอนฟิลด์

แหล่งข้อมูลจากคนในชุมชน
    การทำ CSR นี้ ดำเนินการด้วยการทำวิจัย   
ซูซาน แบล็ค ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ของสโมสรลิเวอร์พูล กล่าวว่า
"เราได้ข้อสรุปว่า ถ้าเราให้ทีมงานขนาดเล็กเข้ามาจัดการในบริเวณ แอนฟิลด์
และคอยดูแลปัญหาใหญ่ๆที่เป็นเรื่องสำคัญ  น่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ดีได้บ้าง" 

     มีรายงานจากมูลนิธิต่างๆหลายฉบับถึงเรื่องปัญหาความยากจนในพื้นที่
ซึ่งทางทีมงานก็ได้เข้าไปพูดคุยโดยตรงกับผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่โดยรอบสนาม
    ฟอร์บส ดัฟฟ์ ผู้จัดการความรับผิดชอบสังคมของสโมสรอธิบายว่า 
"เราใช้เวลา 6 เดือนในการลงพื้นที่สอบถามทุกๆคน โดยให้พวกเขาบอกปัญหาใหญ่ๆในชุมชนมา 3 ข้อ" 
โดยการสัมภาษณ์นี้มีทั้ง สมาชิกผู้แทนฯ,ครู,ผู้อยู่อาศัย,กลุ่มคุณแม่ที่มีลูกเป็นเด็กทารก
และ ผู้อาวุโสที่มีงานอดิเรกเป็นการเดินเล่น
    "มันมีประเด็นที่น่ากังวลหลายอย่างเกิดขึ้น" ดัฟฟ์เกริ่นแบบน่าสนใจ 
"พวกเขาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันแต่กลับมองเห็นปัญหาต่างกัน"
    ซึ่งมันหมายความว่าทีมงานCSR ต้องเผชิญกับความกังวลของผู้คนที่ต่างกัน
โดยมี 4 ข้อหลักๆ ก็คือ ความยากจนด้านอาหารและการศึกษา, การออกกำลังกาย, การดูแลผู้สูงอายุ
และ สร้างประสบการณ์ความทรงจำแก่คนที่อายุน้อยๆ
ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ของ Red Neighbours เพื่อช่วยสร้างความพยายามในการช่วยเหลือท้องถิ่น


ลงมือปฏิบัติ
     อย่างหนึ่งในโครงการนี้คือ การชักชวนเจ้าหน้าที่ของสโมสรลิเวอร์พูลมาช่วยกันที่ธนาคารอาหารชุมชน(Food Banks)
จากข้อมูลของ Trussell Trust และ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่ร่วมมือกับธนาคารอาหารชุมชนทั่วประเทศ
รายงานว่า มีการส่งอาหารยังชีพที่จะหมดอายุใน 3 วันไปให้แก่คนในสหราชอาณาจักร กว่า 1.3 ล้านห่อ
ในช่วงเดือนมีนาคม 2017 ถึง เดือนมีนาคม 2018
โดยธนาคารอาหารชุมชนลิเวอร์พูลให้การสนับสนุนศูนย์กระจายอาหาร 13 แห่ง ในบริเวณสนามแอนฟิลด์
ดังนั้น Red Neighbours จึงมองเห็นผลกระทบนี้
    "เราพูดถึงความเป็น"ครอบครัวลิเวอร์พูล"และเราแสดงให้เห็นถึงคุณค่า
ด้วยการติดต่อไปหาสตาฟฟ์เพื่อขอให้พวกเขามาเป็นอาสาสมัคร
หรือไม่ก็ติดต่อกับแฟนบอลเพื่อขอให้พวกเขาช่วยนำอาหารมาบริจาคในวันที่มีการแแข่งขัน"
    ในทางตรงข้าม บางโครงการก็ไม่มีความสำคัญมากนัก  และไม่มีการประชาสัมพันธ์เท่าไหร่
อย่างเช่น โครงการรับรองว่าเด็กๆจะได้รับอาหารเพียงพอในวันหยุด,
โครงการอาหารเช้าฟรีที่บริเวณนอกสนามแอนฟิลด์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องห้ามของทีมงาน คือต้องไม่ให้พวกเขารู้ว่านี่เป็นงานด้านการกุศลเด็ดขาด
    ดัฟฟ์ กล่าวว่า "ผู้คนส่วนใหญ่มีอีโก้ของตัวเองและไม่ต้องการรับความช่วยเหลือ
- ดังนั้นเราจึงชักชวนผ่านโรงเรียนในท้องถิ่น ระบุว่าเด็กคนไหนต้องการความช่วยเหลือ
แต่เราไม่ได้บอกเด็กๆก่อนนะว่าพวกเขาถูกเลือก
เราเสนอว่าจะพาทัวร์สนามแอนฟิลด์ฟรี  เด็กๆสามารถมากันในตอนเช้า ซึ่งจะมีอาหารให้กินระหว่างทัวร์สนาม
- นี่คือแนวทางที่ผู้คนจะสามารถมาได้โดยไม่ขัดข้องอะไร เราปฎิบัติกับพวกเขาเหมือนที่ปฏิบัติกับทุกๆคน" 
ความสำเร็จส่วนใหญ่ของ Red Neighbours เกิดจากความสัมพันธ์อันดีกับโรงเรียนในชุมชน
ตอนนี้มี 25 สถาบันที่ทำงานร่วมกับสโมสรลิเวอร์พูล โดยร่วมมือทำโครงการต่างๆ
เช่น จัดทำการ์ดวันคริสต์มาสซึ่งนำเด็กและผู้สูงอายุมาร่วมกันทำงาน
และการฝึกอาชีพที่เจ้าหน้าที่จะคอยอธิบายว่า การจะประสบความสำเร็จนั้นไม่จำเป็นต้องมีดีกรีอะไรเลย

คุณค่าสโมสร
     พันธมิตรในท้องถิ่นมีความตั้งใจที่จะสนับสนุน Red Neighbours ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
"การให้คืน" เป็นสิ่งที่ติดอยู่กับลิเวอร์พูลมานาน คุณค่าของสโมสรมีรากฐานมาจาก สังคมนิยมแชงค์ลี่ย์ (Shankly socialism)
ครั้งนั้น  บิล  ให้วาจาไว้ว่า "ระบบสังคมนิยม ผมเชื่อว่ามีอยู่ในตัวของทุกคนที่ทำงานร่วมกัน,
ทุกๆคนจะได้รับส่วนแบ่งของรางวัล นั่นคือมุมมองที่ผมมีต่อฟุตบอล และมุมมองที่ผมมีต่อชีวิต"
    "ผู้คนพูดถึงแต่ชัยชนะในเกมแข่งขัน แต่ความสำคัญของการเป็นสโมสรฟุตบอลมันมีมากกว่านั้น และจะเป็นตลอดไป
- เมื่อคุณพูดคุยกับอดีตผู้เล่นของทีมอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช หรือ เอียน รัช พวกเขาก็จะเล่าถึงการทำงานที่พวกเขาเคยทำ
ทั้งเล่นฟุตบอล ไปโรงเรียนท้องถิ่น และเตะบอลไปรอบๆ ซึ่งก็ยังคงอยู่เรื่อยมา มันเป็นมากกว่าแค่องค์กร" แบล็คกล่าว


วัดความสำเร็จ
     กว่าจะสำเร็จได้ ก็กินเวลานานพอควร  ซึ่งในขั้นตอนมันมีทั้งง่ายและยากปนๆกันไป
เมื่อถามถึงการประเมินความสำเร็จของ Red Neighbour ทั้งดัฟฟ์ และแบล็ค ตอบได้ชัดเจนว่า มันไม่ใช่เรื่องของตัวเลข
      "เราเก็บสถิติ - ฉันสามารถบอกคุณได้เลยว่าเรามีอาหารที่สะสมไว้เท่าไหร่  มีอาสาสมัครแต่ละคนมากี่วันบ้าง
มันไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่หรอกสำหรับสโมสร   จุดประสงค์ทั้งหมดคือต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ดี" 
    การเปลี่ยนแปลงนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนเมื่อดัฟฟ์ได้รับอีเมลจากเด็กๆที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมของ Red Neighbour ที่แอนฟิลด์
เด็กคนนั้นบอกว่าเขาถูกรังแกที่โรงเรียนและเกลียดที่นั่นมาก แต่ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าทั้งโรงเรียนและสโมสร เอาใจใส่เขามาก
เขาได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม และตอนนี้เขาพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป ซึ่งพวกเเราแค่พยายามให้กำลังใจเด็กเหล่านี้เท่านั้น

    "เราไม่รู้หรอกว่าเด็กๆจะกลับไปเจออะไรที่บ้านบ้าง แต่หากพวกเขาอยู่กับเรา
เราจะมอบประสบการณ์ดีๆ สร้างความรู้สึกที่พิเศษ และเติมรอยยิ้มที่ใบหน้า,
ฉันรู้สึกว่า Red Neighbour กำลังสร้างความสุข สร้างความสดชื่น และสร้างสังคมที่น่าอยู่มากขึ้น"

    สรุป
    1. ปัจจุบันฟุตบอลกลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้  ต่างจากสมัยก่อนที่มักจะบริหารโดยคนในที่คลุกคลีอยู่กับสโมสร 
    2. แม้ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่มีรายรับเยอะก็จริง แต่พวกเขาติดอันดับต้นๆที่สนามของพวกเขาตั้งอยู่ในเขตที่ริดรอนคนโดยรอบ 
    3. อย่างไรก็ดี สโมสรเองก็ไม่นิ่งนอนใจ มอบหมายให้ Red Neighbour รับผิดชอบโดยทำการ CSR
สอบถามความเห็นของผู้คนโดยรอบสนามแอนฟิลด์ จนรู้ว่ามีปัญหาหลากหลาย
    4. ทางทีมงานพบว่าปัญหาใหญ่คือ เรื่องของความยากจนด้านอาหาร ที่ไปพบว่า มีการแจกจ่ายอาหารแบบไม่เป็นธรรม
ซึ่งบริเวณโดยรอบแอนฟิลด์ ก็เป็นจุดกระจายอาหารที่สำคัญ
    5. ทีมงานจะช่วยเหลือแบบโต้งๆก็ไม่ได้ เพราะคนเหล่านั้นมีศักดิ์ศรีในตัวเอง ดังนั้นจึงได้ทำแคมเปญทัวร์สนามแอนฟิลด์ฟรี
พร้อมแจกอาหารมื้อเช้าให้แก่ทุกคน  แต่ที่สำคัญคือทำยังไงก็ได้  ที่จะไม่ให้พวกเขารู้ว่านี่คือการช่วยเหลือ
    6. การดำเนินการนี้ได้รับแรงหนุนจากโรงเรียนในเมือง ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับสโมสรมานาน
    7. สโมสรลิเวอร์พูล มีความเป็นองค์กรมาหลายสิบปี  ตั้งแต่สมัย คิง เคนนี่ หรือยุค เอียน รัช ก็มีการไปเยี่ยมเยียนตามโรงเรียนต่างๆ
    8. เด็กคนหนึ่งที่เคยเข้าร่วมกิจกรรม ได้เขียนอีเมลเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้จากโครงการนี้ ซึ่งมันทำให้ตัวเขารู้สึกดีมากๆ

#Liverpool #Anfield #CSR #RedNeighbours #SusanBlack #ForbesDuff
Ref. influenceonline.co.uk
ขอขอบคุณ : HOSSALONSO.Siamsportกับบทความดีๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่