เกือบปีเห็นจะได้ ที่ผมลาออกจากงานประจำที่ผมรัก และย้ายมาอยู่ต่างประเทศ
ณ เวลานั้นมันตัดสินใจยากจริงๆ ว่าเราจะเอายังไงต่อกับชีวิตดี
ผมชอบคิดเสมอว่าชีวิตเป็นของเรา เรามีสิทธิ์ที่จะบงการมันเอง
ชอบอะไรก็ทำให้สุดไปเลย ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำเพราะผลมันออกมามักจะไม่ดี
ผมจะยึดคตินี่เป็นหลัก ตั้งแต่สมัยเรียน
ผมเป็นเด็ก ต่างจังหวัด เรียนจบมหาลัย ที่เชียงใหม่
ช่วงเรียน ผมทั้งดื่ม ทั้งเที่ยว ทั้งเรียน ทั้งทำกิจกรรม เกรดจบมา สามกลางๆ
ตอนเรียนมีโอกาส ได้ทำอะไรหลายๆอย่าง มันเลยหล่อหลอมให้ผมเป็นพวกมั่นใจในตัวเองมั้ง
ตอนเรียนจบใหม่ๆ ไฟยังแรง ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทฯ ผลิตกระดาษชื่อดัง
ตอนนั้นไฟยังแรง ทำงานเต็มที่ เป็นตัวท็อปของรุ่นเลย แต่ก็ค่อยๆมอดลง กับนโยบายของบริษัทฯ
ผมตัดสินใจทำถึงช่วงก่อนรับปริญญา เก็บตังได้สักก้อน แล้วตัดสินใจลาออก
หลังจากรับปริญญา ผมว่างงานประมาณสองเดือน ก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง
กับบริษัทฯ แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ผมทำที่นั้น ได้เกือบๆ ห้าปี
ได้รับโอกาสมากมาย ได้ไปทำงานต่างประเทศ ได้เรียนเพิ่มต่างๆ
ได้ปรับตำแหน่ง ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น สวัสดิการต่างๆ ดีจนเพื่อนๆอิจฉา
มีรถให้ขับ มีตังให้เติมน้ำมัน มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ มือถืออินเตอร์เน็ตให้
แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัว ผมเริ่มที่จะมองหาโอกาสอื่น ที่เราจะได้ใช้ชีวิตในแบบของเรา
ผมเป็นคนชอบเที่ยว ชอบไปเจออะไรใหม่ๆ แต่อย่างว่า การไปเที่ยว กับ การไปอยู่ มันต่างกัน
ผมได้สมัครโครงการ working and holiday ประเทศนิวซีแลนด์ และก็ได้วีซ่ามาครอบครองในมือ
เมื่อเราได้วีซ่าแล้ว เราจะต้องเดินทางภายในหนึ่งปี หลังจากได้รับวีซ่า
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่า จะไปไม่ไป จะลาออกหรือไม่ลาออก
จะเอายังไงต่อกับชีวิตของเราดี คิดหลายตลบ คิดไปคิดมา ก็ปริ้นใบลาออกจากระบบ ไปยื่นให้พี่หัวหน้า
พี่หัวหน้าก็เรียกไปคุย ให้เราคิดทบทวนดีๆ แกบอกรับไว้ แต่ยังไม่อนุมัติให้ผม ถ้าเปลี่ยนใจก็มาเอาคืนไป
ผมกับพี่หัวหน้า เราถือว่าสนิทกันมากครับ คุยกันได้ทุกเรื่อง แกก็พยายามอยากให้ผมเปลี่ยนใจ
พี่แกเกือบจะทำให้ผมเปลี่ยนใจสำเร็จ ผมจึงตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบิน เพื่อกำหนดเวลาเดินทางให้ชัดเจน
อีกสองเดือนก่อนเดินทาง ผมก็ไปแจ้งพี่แกว่า ผมจำเป็นต้องเดินทางแล้วนะครับ
แกคงคิดว่า รังผมยังไงก็คงไม่อยู่จึงตัดสินใจอนุมัติผมตามขั้นตอน
หลังจากนั้น เรื่องที่ผมจะลาออกก็เป็นประเด็นทั้งบริษัทฯ
พี่ๆน้องๆหลายแผนก หลายๆสายงาน โทรมาสอบถาม ช่วยกันโน้มน้าว ให้ผมอยู่ต่อ ให้คิดดีๆ
ถ้ามีคนมาโน้มน้าวผมอีกหน่อย ผมคงได้ทิ้งตั๋วเครื่องบินจริงๆ ฮ่าๆ
แต่อย่างว่าครับ เมื่อเราตัดสินใจอะไรไปแล้ว ผมไม่อยากจะเปลี่ยนมัน จนถึงวันที่จะต้องลากันจริงๆ
พี่ที่ทำงานลางานกันไปส่งผมที่สนามบิน ส่งผมกลับบ้าน ก่อนเดินทางไปนิวซีแลนด์
น้ำตาแตก ตั้งแต่ออกจากออฟิส ไปจนถึงสนามบิน บนเครื่องบิน จนถึงบ้าน
ความรู้สึกคือ ตอนนั้นคือ เราออกมาทำไม มันดีอยู่แล้ว ทุกอย่างมันไปได้สวย
แต่เราก็ตัดสินใจออกมาแล้ว ทำไงได้ ต้องเดินหน้าต่อ
ผมกลับมาว่างงานอีกสองอาทิตย์ ก่อนเดินทางไปนิวซีแลนด์
ผมได้ใช้ชีวิตอยู่กับที่บ้าน กับเพื่อนสนิท ดื่ม เที่ยว ก่อนแยกย้ายกัน ช่วงนั้นผมมีความสุขมากจริงๆ
จนถึงวันที่เราจะต้องจากบ้านจริงๆ เราจะต้องจากไปใช้ชีวิตของเรา จากภาษาที่เราคุ้นเคย จากสิ่งที่เราเคยชิน
มันเริ่มทำให้เรากลัว ว่าเราจะรอดไหม กับที่ใหม่ นี่ไม่ได้ไปเที่ยว อาทิตย์ สองอาทิตย์ แล้วกลับ
แต่นี่ เราจะต้องไปอยู่เป็นปี ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีเพื่อน ไม่มีอะไรเลยที่โน้น
วันแรกที่มาถึงนิวซีแลนด์ ผมรู้สึกเหงามาก
ซื้อเบียร์มานั่งดื่มในห้องคนเดียว ฟังเพลง แล้วก็เผลอน้ำตาซึม
"กู กำ ลัง มา ทำ อะ ไร ที่ นี่"
ด้วยความเพลียจากการเดินทาง กับเวลาที่ต่างกับไทยหกชั่วโมง วันแรกก็หมดไปกับการนอน
เมื่อเรามีโอกาสได้ ได้มาแล้ว ลองสู้ดูสักตั้ง
ผมเริ่มตั้งหลังได้ เริ่มปรับตัวได้ เริ่มหาบ้านได เริ่มหางานทำ
เราทำหนึ่งได้ สอง สาม สี่ มันตามมาเอง
ผมมาใช้ชีวิตที่นิวซีแลนด์ ทุกอย่างมันสมบรูณ์แบบไปหมด
หรือเพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก่อนเลย
มีงานทำ มีเก็บเงิน ได้เที่ยว ได้เพื่อน ได้อะไรหลายๆอย่าง
เดือนหน้าก็จะครบหนึ่งปีแล้ว เวลาที่นี่มันผ่านไปเร็วจริงๆ
และผมก็คิดไม่ผิด ที่ลาออกจากงาน และได้มาใช้ชีวิตที่นี่
ถามว่า อยากอยู่เมืองนอกตลอดไปไหม ผมก็ตอบ ไม่
บ้านเรา เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้วในโลกนี้
ชีวิตเรามีครั้งเดียวจริงๆ อยากให้ทุกคนลองใช้มันดูบ้าง
อย่าไปคาดหวังให้มีสมบรูณ์แบบ แต่ทำมันออกมาให้ดี
ไม่จำเป็นต้องออกมาเมืองนอก แค่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ผมว่าก็พอแล้ว
พรุ่งนี้ผมเริ่มงานใหม่ ขอกำลังใจจากทุกคนด้วยนะครับ
ใครอยากแชร์ประสบการณ์ มาแชร์กันครับ
เมื่อวันหนึ่ง ผมลางานแล้วมาอยู่ต่างประเทศ
ณ เวลานั้นมันตัดสินใจยากจริงๆ ว่าเราจะเอายังไงต่อกับชีวิตดี
ผมชอบคิดเสมอว่าชีวิตเป็นของเรา เรามีสิทธิ์ที่จะบงการมันเอง
ชอบอะไรก็ทำให้สุดไปเลย ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำเพราะผลมันออกมามักจะไม่ดี
ผมจะยึดคตินี่เป็นหลัก ตั้งแต่สมัยเรียน
ผมเป็นเด็ก ต่างจังหวัด เรียนจบมหาลัย ที่เชียงใหม่
ช่วงเรียน ผมทั้งดื่ม ทั้งเที่ยว ทั้งเรียน ทั้งทำกิจกรรม เกรดจบมา สามกลางๆ
ตอนเรียนมีโอกาส ได้ทำอะไรหลายๆอย่าง มันเลยหล่อหลอมให้ผมเป็นพวกมั่นใจในตัวเองมั้ง
ตอนเรียนจบใหม่ๆ ไฟยังแรง ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทฯ ผลิตกระดาษชื่อดัง
ตอนนั้นไฟยังแรง ทำงานเต็มที่ เป็นตัวท็อปของรุ่นเลย แต่ก็ค่อยๆมอดลง กับนโยบายของบริษัทฯ
ผมตัดสินใจทำถึงช่วงก่อนรับปริญญา เก็บตังได้สักก้อน แล้วตัดสินใจลาออก
หลังจากรับปริญญา ผมว่างงานประมาณสองเดือน ก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง
กับบริษัทฯ แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ผมทำที่นั้น ได้เกือบๆ ห้าปี
ได้รับโอกาสมากมาย ได้ไปทำงานต่างประเทศ ได้เรียนเพิ่มต่างๆ
ได้ปรับตำแหน่ง ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น สวัสดิการต่างๆ ดีจนเพื่อนๆอิจฉา
มีรถให้ขับ มีตังให้เติมน้ำมัน มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ มือถืออินเตอร์เน็ตให้
แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัว ผมเริ่มที่จะมองหาโอกาสอื่น ที่เราจะได้ใช้ชีวิตในแบบของเรา
ผมเป็นคนชอบเที่ยว ชอบไปเจออะไรใหม่ๆ แต่อย่างว่า การไปเที่ยว กับ การไปอยู่ มันต่างกัน
ผมได้สมัครโครงการ working and holiday ประเทศนิวซีแลนด์ และก็ได้วีซ่ามาครอบครองในมือ
เมื่อเราได้วีซ่าแล้ว เราจะต้องเดินทางภายในหนึ่งปี หลังจากได้รับวีซ่า
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่า จะไปไม่ไป จะลาออกหรือไม่ลาออก
จะเอายังไงต่อกับชีวิตของเราดี คิดหลายตลบ คิดไปคิดมา ก็ปริ้นใบลาออกจากระบบ ไปยื่นให้พี่หัวหน้า
พี่หัวหน้าก็เรียกไปคุย ให้เราคิดทบทวนดีๆ แกบอกรับไว้ แต่ยังไม่อนุมัติให้ผม ถ้าเปลี่ยนใจก็มาเอาคืนไป
ผมกับพี่หัวหน้า เราถือว่าสนิทกันมากครับ คุยกันได้ทุกเรื่อง แกก็พยายามอยากให้ผมเปลี่ยนใจ
พี่แกเกือบจะทำให้ผมเปลี่ยนใจสำเร็จ ผมจึงตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบิน เพื่อกำหนดเวลาเดินทางให้ชัดเจน
อีกสองเดือนก่อนเดินทาง ผมก็ไปแจ้งพี่แกว่า ผมจำเป็นต้องเดินทางแล้วนะครับ
แกคงคิดว่า รังผมยังไงก็คงไม่อยู่จึงตัดสินใจอนุมัติผมตามขั้นตอน
หลังจากนั้น เรื่องที่ผมจะลาออกก็เป็นประเด็นทั้งบริษัทฯ
พี่ๆน้องๆหลายแผนก หลายๆสายงาน โทรมาสอบถาม ช่วยกันโน้มน้าว ให้ผมอยู่ต่อ ให้คิดดีๆ
ถ้ามีคนมาโน้มน้าวผมอีกหน่อย ผมคงได้ทิ้งตั๋วเครื่องบินจริงๆ ฮ่าๆ
แต่อย่างว่าครับ เมื่อเราตัดสินใจอะไรไปแล้ว ผมไม่อยากจะเปลี่ยนมัน จนถึงวันที่จะต้องลากันจริงๆ
พี่ที่ทำงานลางานกันไปส่งผมที่สนามบิน ส่งผมกลับบ้าน ก่อนเดินทางไปนิวซีแลนด์
น้ำตาแตก ตั้งแต่ออกจากออฟิส ไปจนถึงสนามบิน บนเครื่องบิน จนถึงบ้าน
ความรู้สึกคือ ตอนนั้นคือ เราออกมาทำไม มันดีอยู่แล้ว ทุกอย่างมันไปได้สวย
แต่เราก็ตัดสินใจออกมาแล้ว ทำไงได้ ต้องเดินหน้าต่อ
ผมกลับมาว่างงานอีกสองอาทิตย์ ก่อนเดินทางไปนิวซีแลนด์
ผมได้ใช้ชีวิตอยู่กับที่บ้าน กับเพื่อนสนิท ดื่ม เที่ยว ก่อนแยกย้ายกัน ช่วงนั้นผมมีความสุขมากจริงๆ
จนถึงวันที่เราจะต้องจากบ้านจริงๆ เราจะต้องจากไปใช้ชีวิตของเรา จากภาษาที่เราคุ้นเคย จากสิ่งที่เราเคยชิน
มันเริ่มทำให้เรากลัว ว่าเราจะรอดไหม กับที่ใหม่ นี่ไม่ได้ไปเที่ยว อาทิตย์ สองอาทิตย์ แล้วกลับ
แต่นี่ เราจะต้องไปอยู่เป็นปี ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีเพื่อน ไม่มีอะไรเลยที่โน้น
วันแรกที่มาถึงนิวซีแลนด์ ผมรู้สึกเหงามาก
ซื้อเบียร์มานั่งดื่มในห้องคนเดียว ฟังเพลง แล้วก็เผลอน้ำตาซึม
"กู กำ ลัง มา ทำ อะ ไร ที่ นี่"
ด้วยความเพลียจากการเดินทาง กับเวลาที่ต่างกับไทยหกชั่วโมง วันแรกก็หมดไปกับการนอน
เมื่อเรามีโอกาสได้ ได้มาแล้ว ลองสู้ดูสักตั้ง
ผมเริ่มตั้งหลังได้ เริ่มปรับตัวได้ เริ่มหาบ้านได เริ่มหางานทำ
เราทำหนึ่งได้ สอง สาม สี่ มันตามมาเอง
ผมมาใช้ชีวิตที่นิวซีแลนด์ ทุกอย่างมันสมบรูณ์แบบไปหมด
หรือเพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก่อนเลย
มีงานทำ มีเก็บเงิน ได้เที่ยว ได้เพื่อน ได้อะไรหลายๆอย่าง
เดือนหน้าก็จะครบหนึ่งปีแล้ว เวลาที่นี่มันผ่านไปเร็วจริงๆ
และผมก็คิดไม่ผิด ที่ลาออกจากงาน และได้มาใช้ชีวิตที่นี่
ถามว่า อยากอยู่เมืองนอกตลอดไปไหม ผมก็ตอบ ไม่
บ้านเรา เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้วในโลกนี้
ชีวิตเรามีครั้งเดียวจริงๆ อยากให้ทุกคนลองใช้มันดูบ้าง
อย่าไปคาดหวังให้มีสมบรูณ์แบบ แต่ทำมันออกมาให้ดี
ไม่จำเป็นต้องออกมาเมืองนอก แค่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ผมว่าก็พอแล้ว
พรุ่งนี้ผมเริ่มงานใหม่ ขอกำลังใจจากทุกคนด้วยนะครับ
ใครอยากแชร์ประสบการณ์ มาแชร์กันครับ