“Welcome to BFDF”
Batavia เป็นเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนืองของรัฐ New York
อยู่ติดกับ Buffalo เมืองใหญ่แค่ 45 นาที แต่ห่างจาก Ithaca ที่ผมอยู่ราว 2 ชั่วโมง
Batavia เป็นที่ตั้งของ Buffalo Federal Detention Facility (BFDF)
ผมไม่รู้จะให้ชื่อภาษาไทยว่าอย่างไร ทีมพากษ์พันธมิตรก็ไม่ว่างให้คำปรึกษา
เอาเป็นว่า “ศูนย์สถานควบคุมกักกันแห่งบัฟฟาโล“ ก็แล้วกัน
ความหมายก็คือ สถานที่สำหรับควบคุมตัวผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับกฏหมายคนเข้าเมือง ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ผมถูกนำตัวมาที่สำนักงานด่านแรกของสถานควบคุมนี้ เพื่อจัดทำเอกสาร สอบประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ
แล้วมี จนท.พยาบาลพาไปตรวจสุขภาพเบื้องต้น เช่น วัดความดัน สอบถาม ประวัติการเจ็บป่วย
ถามเกี่ยวกับการแพ้ยา หรือแพ้อาหารบางชนิดหรือไม่ หรือยกเว้นการกินอาหารชนิดใดตามหลักของศาสนาที่นับถืออยู่
ซึ่งเขาจะได้แจ้งข้อมูลเหล่านี้ไปทางฝ่ายห้องครัว และทางห้องครัวก็จะได้จัดอาหารให้ตามคำร้องขอ
“คุณมีความดันสูงนิดหน่อยนะคะ“ เสียงจากพยาบาลสาวเอ่ยขึ้น
“ครับ“
“ถ้าคุณมีปัญหาอะไรในระหว่างอยู่ที่นี่ เราจะมี Sick Call ในตอนเช้าของทุกๆ วันนะคะ“
“ครับ ขอบคุณ“
Sick Call ที่คุณพยาบาลสาวใหญ่ผมฟู ดูอ้อนแอ้นพูดถึงนั้น ความหมายก็คือ
ในทุกๆ เช้า เวลาประมาณ 6.00-6.30 น. จะมี จนท.พยาบาลเข้ามาในห้องควบคุมที่พวกเราอยู่
แล้วมาถามว่า ใครมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรหรือเปล่า ถ้ามีก็ให้ลงชื่อไว้
เพื่อนำรายชื่อส่งให้ฝ่าย Healthcare Services แล้วช่วงประมาณ 9-10 โมง ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาเรียกไปพบแพทย์
เมื่อผมเสร็จขั้นตอนกับ จนท.พยาบาลแล้ว
นั่งรอสักพัก จนท.อีกแผนกหนึ่งจึงเรียกไปตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดที่ติดตัวมา
เพราะสิ่งเหล่านี้จะต้องฝากไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น แก้วแหวน เงินทอง นาฬิกา
หรือแม้กระทั่ง เสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า ที่ติดตัวมาทั้งหมด จนท.จะลงบันทึกไว้จนครบถ้วน
และเมื่อถึงเวลาคืนจะได้ตรวจสอบได้
แน่นอนว่า..จากนี้ต่อไป จะไม่มีอะไรที่เป็นสมบัติของเราติดตัวเราไปอีกแล้ว
นอกจากร่างกาย และลมหายใจเท่านั้น !!
เจ้าหน้าที่บอกให้เราไปอาบน้ำ และมอบถุงผ้าใบใหญ่แบบซันตาคลอสให้เราถุงหนึ่ง
ในนั้นมีเสื้อ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า เสื้อกันหนาว กางเกงใน ที่เป็นแบบฟอร์มของผู้ถูกควบคุมตัวที่นี่
แต่ชุดหลักที่ต้องสวมเพื่อแยกแยะระดับความหนักเบาของโทษนั้น
จะเป็นเสื้อผ้าฝ้ายคอกว้างติดกระดุม ลักษณะโปร่งๆใกล้เคียงกับเสื้อม่อฮ่อมบ้านเรา
ส่วนกางเกงเป็นขายาว หัวรัดยางยืด และผ้าฝ้ายเช่นเดียวกัน
สิ่งที่แสดงความแตกต่างของความหนักเบาของคดี ก็คือ สีของเสื้อผ้าที่สวมใส่นั่นเอง
สีน้ำเงิน (Low Custody) จะเป็นลักษณะแค่ความผิดการอยู่ในประเทศเกินกำหนด
สีส้ม (Medium Custody) นอกจากจะอยู่เกินกำหนดแล้ว อาจจะมีคดีอื่นพ่วงมาด้วย
สีแดง (High Custody) จะคล้ายๆ กับสีส้ม แต่อาจจะหนักกว่า หรืออาจจะมีการกระทำความผิดซ้ำซ้อนหลายครั้ง
แต่คงไม่ถึงขนาดทำร้ายร่างกาย หรือฆ่าคนตาย
อันนั้นเข้าขั้นคดีร้ายแรง ต้องเข้าไปอยู่ในคุก (Jail) มิใช่ Detention Facility หรือศูนย์ควบคุมกักกันแบบที่เราอยู่นี้
ผมใส่ชุดฟอร์มสีน้ำเงินเสร็จ เจ้าหน้าที่จึงเดินนำผมไปที่ห้องที่ผมจะต้องอยู่นับจากนี้
เจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนเดินนำผมไปส่งที่ห้อง
ซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ ขนาด 30×80×10 เมตร มี 2 ชั้น
ชั้นล่าง มีเคาน์เตอร์สำหรับทำงานของ เจ้าหน้าที่ดูแลประจำห้องที่เรียกว่า Detention Officer (DO)
ตรงกลางห้องจะวางโต๊ะกินข้าวไว้ 17 ตัว แต่ละตัวจะมีเก้าอี้ 4 ที่นั่ง
ด้านขวามือจะมีโทรศัพท์อยู่ 7 เครื่อง ติดตั้งไว้ที่ผนังห้อง สำหรับให้ผู้ถูกควบคุมทุกคนใช้ติดต่อบุคคลภายนอกได้
ด้านซ้ายติดผนัง มีล็อคเกอร์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ 2 ตู้ มีช่องเล็กๆ ขนาด 1 ตร.ฟุตอยู่ประมาณ 70 ช่อง สำหรับใส่สิ่งของส่วนตัวของแต่ละ
บุคคล
หลังล็อคเกอร์มีห้องเล็กๆ อยู่ 1 ห้อง มีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ 1 เครื่อง
สำหรับใครที่ต้องการใช้ร่างหนังสือ หรือพิมพ์งานเอกสารต่างๆ
และด้านซ้ายมือสุด เป็นเตียง 2 ชั้น สีเขียวอ่อน จำนวน 9 เตียง วางเรียงรายไปสุดความยาวของห้อง
วัสดุที่ใช้ทำเตียงนั้นมองดูเหมือนพลาสติก แต่มีความแข็งแรงทนทานมาก จนรู้สึกได้แม้มองด้วยตาเปล่า
เตียงนั้นยึดติดถาวรกับพื้นกระเบื้อง ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
และเตียงก็เป็น ลักษณะหลอมออกมาจากบล็อกให้เตียงล่างและเตียงบนแยกออกเป็น 2 ปีก ซ้ายและขวา
โดยมีผนังคั่นตรงกลาง เตียงล่างนั้นกั้นทึบทั้งหมด เตียงซ้ายและขวาไม่สามารถมองเห็นกันได้
ส่วนเตียงบนกั้นแค่ประมาณ 1 ฟุต ดังนั้น ด้านซ้ายและขวาของเตียงบนจึงมองเห็นกัน
และสามารถนั่งคุยกันได้สบายๆ พูดง่ายๆ ว่า แค่พลิกตัวก็สามารถข้ามเตียงไปหากันได้แล้ว
และเมื่อเตียงเป็นแบบลักษณะที่ว่ามา ใน 1 ฐานเตียงนั้น จึงมีอยู่ 4 เตียง และนอนได้ 4 คน
แต่ละเตียงจะมีหมายเลขเตียงกำกับอยู่ 3 ตัว หมายเลขนี้จะเป็นเลขประจำตัวของแต่ละคนด้วย
ซึ่งสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับ จนท. DO ในห้อง หรือเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพราะการเรียกชื่อหรือนามสกุลของแต่ละคนนั้น ไม่สามารถทำให้เจ้าของชื่อกระดิกหูได้
เนื่องจากว่า เจ้าหน้าที่เป็นคนอเมริกัน แต่พวกเรามาจากเกือบทุกประเทศในโลก
การออกเสียงให้เหมือนเจ้าของภาษารู้สึกได้นั้น เป็นไปได้ยากมาก
ชั้นบน ของห้องนั้น ก็มีฐานเตียงแบบเดียวกันอยู่ 9 เตียง
วางเรียงไปจนสุดความยาวของห้องเหมือนกับชั้นล่าง
ทั้งหมดของห้องจึงมี 18 ฐานเตียง ฐานเตียงๆ หนึ่งมีจำนวน 4 ที่นอน
รวมทั้งหมดจึงมี 72 ที่นอน หรือ 72 คน ที่สามารถนอนได้
แต่จริงๆ แล้ว ผมก็เห็นมีอยู่ระหว่าง 65-66 คน เท่านั้น เนื่องจากมีคนเข้า คนออกอยู่ตลอดเวลา
จากชั้นล่างถึงชั้นบนนั้น มีบันไดอยู่ 2 ด้าน อยู่คนละมุมของห้อง
และก่อนถึงเตียงแรกของชั้นบน มีที่ว่างพอประมาณ จึงวางโต๊ะปิงปองไว้ 1 โต๊ะ
หัวเตียงแต่ละเตียงที่ติดผนังห้องด้านซ้ายมือนั้น มีช่องกระจกหน้าต่างขนาด 2 ตร.ฟุต ไว้ส่องดูบรรยากาศด้านนอก
ด้านปลายเตียง มีราวระเบียงเหล็กกั้นไว้ ไม่ให้ตกจากชั้นบน
และมีโต๊ะนั่งเล่น 4 โต๊ะ ลายตาหมากรุก พร้อมเก้าอี้วางไว้เป็นแนวเดียวกับระเบียง
มีทีวี 2 เครื่อง ติดตั้งอยู่บนเสาชั้นล่างของห้อง ห่างกันประมาณ 10 เมตร
ซึ่งอยู่ในมุมองศาที่ดูได้สบายๆ แม้ว่าจะดูจากชั้นล่างหรือชั้นบนก็ตาม
นาทีแรกที่ผมเดินเข้าห้องมานั้น
ผมได้ยินเสียงโห่ร้องของคนราว 60 คน พร้อมเป่าปากเฟี้ยวฟ้าว กระทืบเท้าแถมท้าย
ฟังดูเหมือนครึกครื้น แต่ผมกลับรู้สึกตื่นเต้น ปนหวาดผวาเล็กน้อยถึงปานกลางเลยทีเดียว
นึกในใจว่า..โห...พวกโห่ต้อนรับกูเหรอ?
แล้วต่อไป..จะเอาอะไรมาต้อนรับกูอีกวะเนี่ย..!!
ในใจพลางนึกถึงการต้อนรับน้องใหม่ของนักโทษที่เคยเห็นในหนัง
ทั้งโดนซ่อมจนน่วม หรือไม่ก็โดนหมายปองจากขาใหญ่ให้ไปรับใช้ปรนนิบัติ
หนักกว่านั้น ก็อาจจะโดนสอยประตูหลัง
โอ้ว...ไม่นะ..อย่า...อย่าทำข้อย...!!
“Hello…Are you okay ?“ ผมตื่นจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียง จนท.DO ประจำห้องทักทาย
ผมพยักหน้าตอบ และบอกขอบคุณไป เมื่อ เจ้าหน้าที่ให้แก้วน้ำประจำตัวมา 1 ใบ
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเตียงของผมนั้นอยู่ชั้นบน เชิญคุณไปเก็บข้าวของ สัมภาระส่วนตัวได้เลย
ผมเดินขึ้นบันไดมาชั้นบน และมองหาหมายเลขเตียงที่ได้มา
332 คือเลขที่ออก และเป็นเตียงด้านล่าง
ดีใจที่ไม่ได้เตียงบน ขี้เกียจที่จะปีนขึ้นลง
มีสมาชิกเดินตามผมมา 3-4 คน และ 2 คนในนั้น มาจัดการปูเตียงให้ผม
แนะนำและบอกสิ่งที่ควรรู้เบื้องต้น เอาเสื้อผ้า สบู่ ยาสีฟัน ไว้ตรงช่องเก็บปลายเตียง
พร้อมสอบถาม สนทนากันเบื้องต้นว่า แต่ละคนเป็นใคร มาจากไหน ถูกจับได้อย่างไร
ผมรู้ตอนนั้นว่า หนุ่มนิสัยดี 2 คนนี้มาจาก Mexico และเป็นเพื่อนกัน
มาอยู่ที่เมือง Syracuse รัฐ New York ได้ประมาณ 5 ปีแล้ว และโดนจับที่นี่พร้อมกันด้วย
มีคนหนึ่งเดินมาสมทบระหว่างที่เราคุยกันอยู่นั้น และบอกว่ามีคนไทยคนหนึ่งอยู่ที่นี่
ตอนนี้เขาไปห้องสมุด เดี๋ยวก็คงกลับมา พวกคุณคงจะได้คุยกัน และก็คงไม่เหงา
ผมขอบคุณหนุ่มนิรนามคนนั้นไป ในใจก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้น อย่างน้อยเราก็ได้อยู่ห้องเดียวกับเพื่อน
ในขณะที่ผมสาละวนกับการเก็บของสัมภาระส่วนตัวอยู่นั้น
เจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่เดินมาส่งผมที่ห้อง ก็เดินขึ้นชั้นบนและตรงมาที่ผม พร้อมกับฉีกยิ้มเต็มใบหน้า และบอกว่า
“ยินดีต้อนรับนะคะ และขอให้อยู่อย่างมีความสุขค่ะ“
“ขอบคุณครับ“ ผมกล่าวขอบคุณเธอไป แม้จะรู้สึกว่า มันไม่น่าจะมีความสุขอะไรในสถานที่แบบนี้หรอก
ไม่มีใครอยากจะมาอยู่ในสถานที่กักกัน
ไม่มีใครอยากอยู่ในที่ที่ขาดอิสระและเสรีภาพ
แต่..เมื่อเราได้มาอยู่กับมัน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม
ก็จงอยู่กับมันอย่างมีความสุขเถอะ แล้วสักวัน..มันก็จะผ่านไป...
อา...เจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนคนนั้น ได้มอบปรัชญาอันมีค่าให้กับผมแล้ว !!

*************************
##### จบแล้วจ้ะ #####
#### โปรดติดตามตอนต่อไป ####
Coming Soon !!!!!!
เรื่องสั้นชุด "ชีวิตต่างแดน" ตอน "Welcome to BFDF" โดย..."ตุ๊กดุ๋ย เลิฟลี่"
“Welcome to BFDF”
Batavia เป็นเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนืองของรัฐ New York
อยู่ติดกับ Buffalo เมืองใหญ่แค่ 45 นาที แต่ห่างจาก Ithaca ที่ผมอยู่ราว 2 ชั่วโมง
Batavia เป็นที่ตั้งของ Buffalo Federal Detention Facility (BFDF)
ผมไม่รู้จะให้ชื่อภาษาไทยว่าอย่างไร ทีมพากษ์พันธมิตรก็ไม่ว่างให้คำปรึกษา
เอาเป็นว่า “ศูนย์สถานควบคุมกักกันแห่งบัฟฟาโล“ ก็แล้วกัน
ความหมายก็คือ สถานที่สำหรับควบคุมตัวผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับกฏหมายคนเข้าเมือง ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ผมถูกนำตัวมาที่สำนักงานด่านแรกของสถานควบคุมนี้ เพื่อจัดทำเอกสาร สอบประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ
แล้วมี จนท.พยาบาลพาไปตรวจสุขภาพเบื้องต้น เช่น วัดความดัน สอบถาม ประวัติการเจ็บป่วย
ถามเกี่ยวกับการแพ้ยา หรือแพ้อาหารบางชนิดหรือไม่ หรือยกเว้นการกินอาหารชนิดใดตามหลักของศาสนาที่นับถืออยู่
ซึ่งเขาจะได้แจ้งข้อมูลเหล่านี้ไปทางฝ่ายห้องครัว และทางห้องครัวก็จะได้จัดอาหารให้ตามคำร้องขอ
“คุณมีความดันสูงนิดหน่อยนะคะ“ เสียงจากพยาบาลสาวเอ่ยขึ้น
“ครับ“
“ถ้าคุณมีปัญหาอะไรในระหว่างอยู่ที่นี่ เราจะมี Sick Call ในตอนเช้าของทุกๆ วันนะคะ“
“ครับ ขอบคุณ“
Sick Call ที่คุณพยาบาลสาวใหญ่ผมฟู ดูอ้อนแอ้นพูดถึงนั้น ความหมายก็คือ
ในทุกๆ เช้า เวลาประมาณ 6.00-6.30 น. จะมี จนท.พยาบาลเข้ามาในห้องควบคุมที่พวกเราอยู่
แล้วมาถามว่า ใครมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรหรือเปล่า ถ้ามีก็ให้ลงชื่อไว้
เพื่อนำรายชื่อส่งให้ฝ่าย Healthcare Services แล้วช่วงประมาณ 9-10 โมง ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาเรียกไปพบแพทย์
เมื่อผมเสร็จขั้นตอนกับ จนท.พยาบาลแล้ว
นั่งรอสักพัก จนท.อีกแผนกหนึ่งจึงเรียกไปตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดที่ติดตัวมา
เพราะสิ่งเหล่านี้จะต้องฝากไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น แก้วแหวน เงินทอง นาฬิกา
หรือแม้กระทั่ง เสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า ที่ติดตัวมาทั้งหมด จนท.จะลงบันทึกไว้จนครบถ้วน
และเมื่อถึงเวลาคืนจะได้ตรวจสอบได้
แน่นอนว่า..จากนี้ต่อไป จะไม่มีอะไรที่เป็นสมบัติของเราติดตัวเราไปอีกแล้ว
นอกจากร่างกาย และลมหายใจเท่านั้น !!
เจ้าหน้าที่บอกให้เราไปอาบน้ำ และมอบถุงผ้าใบใหญ่แบบซันตาคลอสให้เราถุงหนึ่ง
ในนั้นมีเสื้อ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า เสื้อกันหนาว กางเกงใน ที่เป็นแบบฟอร์มของผู้ถูกควบคุมตัวที่นี่
แต่ชุดหลักที่ต้องสวมเพื่อแยกแยะระดับความหนักเบาของโทษนั้น
จะเป็นเสื้อผ้าฝ้ายคอกว้างติดกระดุม ลักษณะโปร่งๆใกล้เคียงกับเสื้อม่อฮ่อมบ้านเรา
ส่วนกางเกงเป็นขายาว หัวรัดยางยืด และผ้าฝ้ายเช่นเดียวกัน
สิ่งที่แสดงความแตกต่างของความหนักเบาของคดี ก็คือ สีของเสื้อผ้าที่สวมใส่นั่นเอง
สีน้ำเงิน (Low Custody) จะเป็นลักษณะแค่ความผิดการอยู่ในประเทศเกินกำหนด
สีส้ม (Medium Custody) นอกจากจะอยู่เกินกำหนดแล้ว อาจจะมีคดีอื่นพ่วงมาด้วย
สีแดง (High Custody) จะคล้ายๆ กับสีส้ม แต่อาจจะหนักกว่า หรืออาจจะมีการกระทำความผิดซ้ำซ้อนหลายครั้ง
แต่คงไม่ถึงขนาดทำร้ายร่างกาย หรือฆ่าคนตาย
อันนั้นเข้าขั้นคดีร้ายแรง ต้องเข้าไปอยู่ในคุก (Jail) มิใช่ Detention Facility หรือศูนย์ควบคุมกักกันแบบที่เราอยู่นี้
ผมใส่ชุดฟอร์มสีน้ำเงินเสร็จ เจ้าหน้าที่จึงเดินนำผมไปที่ห้องที่ผมจะต้องอยู่นับจากนี้
เจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนเดินนำผมไปส่งที่ห้อง
ซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ ขนาด 30×80×10 เมตร มี 2 ชั้น
ชั้นล่าง มีเคาน์เตอร์สำหรับทำงานของ เจ้าหน้าที่ดูแลประจำห้องที่เรียกว่า Detention Officer (DO)
ตรงกลางห้องจะวางโต๊ะกินข้าวไว้ 17 ตัว แต่ละตัวจะมีเก้าอี้ 4 ที่นั่ง
ด้านขวามือจะมีโทรศัพท์อยู่ 7 เครื่อง ติดตั้งไว้ที่ผนังห้อง สำหรับให้ผู้ถูกควบคุมทุกคนใช้ติดต่อบุคคลภายนอกได้
ด้านซ้ายติดผนัง มีล็อคเกอร์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ 2 ตู้ มีช่องเล็กๆ ขนาด 1 ตร.ฟุตอยู่ประมาณ 70 ช่อง สำหรับใส่สิ่งของส่วนตัวของแต่ละ
บุคคล
หลังล็อคเกอร์มีห้องเล็กๆ อยู่ 1 ห้อง มีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ 1 เครื่อง
สำหรับใครที่ต้องการใช้ร่างหนังสือ หรือพิมพ์งานเอกสารต่างๆ
และด้านซ้ายมือสุด เป็นเตียง 2 ชั้น สีเขียวอ่อน จำนวน 9 เตียง วางเรียงรายไปสุดความยาวของห้อง
วัสดุที่ใช้ทำเตียงนั้นมองดูเหมือนพลาสติก แต่มีความแข็งแรงทนทานมาก จนรู้สึกได้แม้มองด้วยตาเปล่า
เตียงนั้นยึดติดถาวรกับพื้นกระเบื้อง ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
และเตียงก็เป็น ลักษณะหลอมออกมาจากบล็อกให้เตียงล่างและเตียงบนแยกออกเป็น 2 ปีก ซ้ายและขวา
โดยมีผนังคั่นตรงกลาง เตียงล่างนั้นกั้นทึบทั้งหมด เตียงซ้ายและขวาไม่สามารถมองเห็นกันได้
ส่วนเตียงบนกั้นแค่ประมาณ 1 ฟุต ดังนั้น ด้านซ้ายและขวาของเตียงบนจึงมองเห็นกัน
และสามารถนั่งคุยกันได้สบายๆ พูดง่ายๆ ว่า แค่พลิกตัวก็สามารถข้ามเตียงไปหากันได้แล้ว
และเมื่อเตียงเป็นแบบลักษณะที่ว่ามา ใน 1 ฐานเตียงนั้น จึงมีอยู่ 4 เตียง และนอนได้ 4 คน
แต่ละเตียงจะมีหมายเลขเตียงกำกับอยู่ 3 ตัว หมายเลขนี้จะเป็นเลขประจำตัวของแต่ละคนด้วย
ซึ่งสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับ จนท. DO ในห้อง หรือเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพราะการเรียกชื่อหรือนามสกุลของแต่ละคนนั้น ไม่สามารถทำให้เจ้าของชื่อกระดิกหูได้
เนื่องจากว่า เจ้าหน้าที่เป็นคนอเมริกัน แต่พวกเรามาจากเกือบทุกประเทศในโลก
การออกเสียงให้เหมือนเจ้าของภาษารู้สึกได้นั้น เป็นไปได้ยากมาก
ชั้นบน ของห้องนั้น ก็มีฐานเตียงแบบเดียวกันอยู่ 9 เตียง
วางเรียงไปจนสุดความยาวของห้องเหมือนกับชั้นล่าง
ทั้งหมดของห้องจึงมี 18 ฐานเตียง ฐานเตียงๆ หนึ่งมีจำนวน 4 ที่นอน
รวมทั้งหมดจึงมี 72 ที่นอน หรือ 72 คน ที่สามารถนอนได้
แต่จริงๆ แล้ว ผมก็เห็นมีอยู่ระหว่าง 65-66 คน เท่านั้น เนื่องจากมีคนเข้า คนออกอยู่ตลอดเวลา
จากชั้นล่างถึงชั้นบนนั้น มีบันไดอยู่ 2 ด้าน อยู่คนละมุมของห้อง
และก่อนถึงเตียงแรกของชั้นบน มีที่ว่างพอประมาณ จึงวางโต๊ะปิงปองไว้ 1 โต๊ะ
หัวเตียงแต่ละเตียงที่ติดผนังห้องด้านซ้ายมือนั้น มีช่องกระจกหน้าต่างขนาด 2 ตร.ฟุต ไว้ส่องดูบรรยากาศด้านนอก
ด้านปลายเตียง มีราวระเบียงเหล็กกั้นไว้ ไม่ให้ตกจากชั้นบน
และมีโต๊ะนั่งเล่น 4 โต๊ะ ลายตาหมากรุก พร้อมเก้าอี้วางไว้เป็นแนวเดียวกับระเบียง
มีทีวี 2 เครื่อง ติดตั้งอยู่บนเสาชั้นล่างของห้อง ห่างกันประมาณ 10 เมตร
ซึ่งอยู่ในมุมองศาที่ดูได้สบายๆ แม้ว่าจะดูจากชั้นล่างหรือชั้นบนก็ตาม
นาทีแรกที่ผมเดินเข้าห้องมานั้น
ผมได้ยินเสียงโห่ร้องของคนราว 60 คน พร้อมเป่าปากเฟี้ยวฟ้าว กระทืบเท้าแถมท้าย
ฟังดูเหมือนครึกครื้น แต่ผมกลับรู้สึกตื่นเต้น ปนหวาดผวาเล็กน้อยถึงปานกลางเลยทีเดียว
นึกในใจว่า..โห...พวกโห่ต้อนรับกูเหรอ?
แล้วต่อไป..จะเอาอะไรมาต้อนรับกูอีกวะเนี่ย..!!
ในใจพลางนึกถึงการต้อนรับน้องใหม่ของนักโทษที่เคยเห็นในหนัง
ทั้งโดนซ่อมจนน่วม หรือไม่ก็โดนหมายปองจากขาใหญ่ให้ไปรับใช้ปรนนิบัติ
หนักกว่านั้น ก็อาจจะโดนสอยประตูหลัง
โอ้ว...ไม่นะ..อย่า...อย่าทำข้อย...!!
“Hello…Are you okay ?“ ผมตื่นจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียง จนท.DO ประจำห้องทักทาย
ผมพยักหน้าตอบ และบอกขอบคุณไป เมื่อ เจ้าหน้าที่ให้แก้วน้ำประจำตัวมา 1 ใบ
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเตียงของผมนั้นอยู่ชั้นบน เชิญคุณไปเก็บข้าวของ สัมภาระส่วนตัวได้เลย
ผมเดินขึ้นบันไดมาชั้นบน และมองหาหมายเลขเตียงที่ได้มา
332 คือเลขที่ออก และเป็นเตียงด้านล่าง
ดีใจที่ไม่ได้เตียงบน ขี้เกียจที่จะปีนขึ้นลง
มีสมาชิกเดินตามผมมา 3-4 คน และ 2 คนในนั้น มาจัดการปูเตียงให้ผม
แนะนำและบอกสิ่งที่ควรรู้เบื้องต้น เอาเสื้อผ้า สบู่ ยาสีฟัน ไว้ตรงช่องเก็บปลายเตียง
พร้อมสอบถาม สนทนากันเบื้องต้นว่า แต่ละคนเป็นใคร มาจากไหน ถูกจับได้อย่างไร
ผมรู้ตอนนั้นว่า หนุ่มนิสัยดี 2 คนนี้มาจาก Mexico และเป็นเพื่อนกัน
มาอยู่ที่เมือง Syracuse รัฐ New York ได้ประมาณ 5 ปีแล้ว และโดนจับที่นี่พร้อมกันด้วย
มีคนหนึ่งเดินมาสมทบระหว่างที่เราคุยกันอยู่นั้น และบอกว่ามีคนไทยคนหนึ่งอยู่ที่นี่
ตอนนี้เขาไปห้องสมุด เดี๋ยวก็คงกลับมา พวกคุณคงจะได้คุยกัน และก็คงไม่เหงา
ผมขอบคุณหนุ่มนิรนามคนนั้นไป ในใจก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้น อย่างน้อยเราก็ได้อยู่ห้องเดียวกับเพื่อน
ในขณะที่ผมสาละวนกับการเก็บของสัมภาระส่วนตัวอยู่นั้น
เจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่เดินมาส่งผมที่ห้อง ก็เดินขึ้นชั้นบนและตรงมาที่ผม พร้อมกับฉีกยิ้มเต็มใบหน้า และบอกว่า
“ยินดีต้อนรับนะคะ และขอให้อยู่อย่างมีความสุขค่ะ“
“ขอบคุณครับ“ ผมกล่าวขอบคุณเธอไป แม้จะรู้สึกว่า มันไม่น่าจะมีความสุขอะไรในสถานที่แบบนี้หรอก
ไม่มีใครอยากจะมาอยู่ในสถานที่กักกัน
ไม่มีใครอยากอยู่ในที่ที่ขาดอิสระและเสรีภาพ
แต่..เมื่อเราได้มาอยู่กับมัน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม
ก็จงอยู่กับมันอย่างมีความสุขเถอะ แล้วสักวัน..มันก็จะผ่านไป...
อา...เจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนคนนั้น ได้มอบปรัชญาอันมีค่าให้กับผมแล้ว !!
*************************
##### จบแล้วจ้ะ #####
#### โปรดติดตามตอนต่อไป ####
Coming Soon !!!!!!