ที่มาของบทความ
'เต๋อ - ฉันทวิชช์' จากเด็กดีสู่พระเอกสายฮา 10 ปีในวงการบันเทิงที่ครบทุกอรรถรส
โดย GQ Thailand | 31.04.2019
ช่างภาพ:
ณัฐ ประกอบสันติสุข
บรรณาธิการแฟชั่น:
กำพล ลิขิตกาญจนกุล
เรื่อง:
ทรรศน หาญเรืองเกียรติ
ถ้าให้ลองนึกถึงนักแสดงนำชายในบ้านเรา ว่ามีใครบ้างที่สามารถการันตีได้ว่าภาพยนตร์ที่เขาแสดงนำนั้นจะสามารถเรียกคนดู และทำรายได้ให้กับ Box Office ในประเทศไทยได้อย่างน่าชื่นใจ หนึ่งในลิสต์ของคุณยังไงก็ต้องมี
‘เต๋อ’ - ฉันทวิชช์ ธนะเสวี อยู่ในนั้นด้วยแน่นอน ด้วยบุคลิกที่เป็นกันเอง ความกวน ความตลกที่ทำให้คนดูรู้สึกเป็นมิตร จึงไม่แปลกใจที่ใครต่อใครจะเอ็นดูหนุ่มหน้าคมคนนี้ และให้การสนับสนุนเขามาอย่างต่อเนื่อง แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เขาเองก็เกือบถอดใจหันหลังให้กับการแสดงมาแล้ว ยิ่งถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตด้วยแล้ว ตอนนั้นถ้าเขาตัดสินใจเลือกทางเดินเดิม ไม่แน่ว่าจากพระเอกสายฮาอาจจะกลายเป็นพนักงานประจำที่ทำงานอย่างเคร่งเครียด แทนที่จะเป็นนักแสดงที่พวกเรารักก็ได้
GQ: คุณบอกว่าสมัยมัธยม ตัวเองเป็นเด็กดีมากๆ ขนาดหนีตามเพื่อนๆ โดดเรียนแล้วยังรู้สึกผิด จนต้องกลับไปนั่งเรียนอยู่คนเดียว แล้วบุคลิกกวนๆ แบบที่เราเห็นทุกวันนี้มาได้ยังไง
Ter: มาตอนเรียนมหาวิทยาลัย สมัยเด็กผมเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนมาก ไม่กล้าทำผิดเลย พอตอนจะเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเดิมทีผมเรียนสายวิทย์มา เลยพบว่าจริงๆ แล้วผมไม่ได้ชอบสิ่งที่ตัวเองเรียนมาสักเท่าไหร่ เรียนมหาวิยาลัยที่เกี่ยวกับสายวิทย์ ก็จะเป็นคณะวิทยาศาสตร์ คณะแพทยฯ อะไรแบบนี้ แล้วเราก็ไม่ชอบ เราจะไหวไหม ผมอยากจะเรียนในสิ่งที่อยากทำ แล้วก็พบว่าตัวเองชอบดูหนังมากๆ มีคณะของนิเทศฯ จุฬาฯ ที่มีสาขาภาพยนตร์ด้วย ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปเรียนคณะนี้ ก็ไปสอบเอ็นทรานซ์เข้าคณะนิเทศศาสตร์
GQ: นึกภาพเต๋อ ฉันทวิชช์ สมัยที่ยังเป็นเด็กเรียนไม่ออกจริงๆ
Ter: โอ้โห ตอนนั้นเป็นเด็กเนิร์ดครับ เนิร์ดมาก เป็นคนเงียบขรึม ตลกไม่เป็นด้วย สมัยเรียนไม่ใช่คนตลก เป็นคนเงียบๆ ตั้งใจเรียนมาก ขี้อาย เวลาครูถามอะไร ก็จะไม่ใช่คนที่ยกมือตอบ เป็นคนที่นั่งก้มหน้าไม่สบตา มีครบที่สุดของความเป็นเด็กเนิร์ด (หัวเราะ)
GQ: คุณกลายมาเป็นเต๋อ ฉันทวิชช์ ในทุกวันนี้ได้อย่างไร คนที่กวนๆ ตลกๆ ห่ามๆ สนุกสนานเฮฮา เป็นคนที่เอนเตอร์เทนคนอื่นได้
Ter: พอเข้ามหาวิทยาลัยปรากฏว่าคณะนิเทศฯ ในตอนนั้นผู้ชายน้อยมาก ขนาดรวมกันทุกภาควิชาแล้วนะ ปีของผมจะมีผู้ชายอยู่ประมาณ 20 คน ผู้หญิง 120 คน แล้วใน 20 คนก็ก้ำกึ่งไปแล้วครึ่งหนึ่ง (หัวเราะ) สรุปแล้วมีผู้ชายแค่ 10 คน พอผู้ชายน้อย ทุกคนเลยมารวมกลุ่มกัน พอผู้ชายมารวมกันเยอะๆ ก็จะมีคาแร็กเตอร์แบบบ้าๆ บอๆ สนุกสนาน ไปทำนั่นทำนี่ จัดงานปาร์ตี้สังสรรค์ในคณะบ่อยๆ จนกระทั่งเราสามารถปรับตัว แล้วสนุกไปกับมันได้ จากนั้นก็กลายเป็นคนแบบนี้ ไม่ค่อยขี้อายแล้ว
GQ: อะไรที่ช่วยปลดล็อกให้กลายเป็นคนกล้าแสดงออกได้
Ter: คงเป็นตอนที่เล่นละครเวที เพราะว่าจะมีเวิร์กช็อปที่ทำให้เรากล้าแสดงออก ซึ่งเราต้องทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อละลายพฤติกรรมตัวเองออกไป
GQ: แต่ความตลกนั้นไม่ได้มาจากการปลดล็อกหรือเปล่า เราว่าจริงๆ แล้วต้องมาจากพรสวรรค์ของตัวเองมากกว่า
Ter: จริงๆ แล้วผมอาจจะมีความตลกซ่อนอยู่ในตัว แต่ผมไม่กล้าปล่อยมุก ไม่กล้าปล่อยอะไร ผมก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าความตลกมาตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็คือ มันมาแล้ว (หัวเราะ)
GQ: ตอนย้ายวิชาที่จะเรียน ที่บ้านคุณคัดค้านไหม เพราะเอาจริงๆ ใครก็อยากให้ลูกเป็นหมอ เป็นด็อกเตอร์เก่งๆ กันทั้งนั้
Ter: ที่บ้านผมพวกเขาไม่เข้าใจเลย แต่ผมก็อธิบายไปว่าผมอยากจะเรียนจริงๆ แล้วเขาก็ถามว่าเรียนภาพยนตร์นี่มันเรียนเกี่ยวกับอะไร ผมก็บอกว่าผมไม่รู้ (หัวเราะ)
GQ: เขาคงถามต่อด้วยว่า จบแล้วจะไปทำอาชีพอะไรอีกใช่ไห
Ter: ผมพูดเลยว่าผมไม่รู้ (หัวเราะ) แต่ผมรู้แค่ว่าผมอยากเรียนอันนี้ เขาก็โอเค อยากเรียนก็ไปเรียนให้ดีที่สุด เราก็เลยพยายาม และผมก็ตั้งใจว่าจะต้องเข้านิเทศศาสตร์ จุฬาฯ สาขาภาพยนตร์นี้ให้ได้
GQ: เมื่อได้เข้าไปแล้ว เชื่อว่าคุณก็คงรู้ว่าจริงๆ แล้วการเรียนภาพยนตร์ พอจบมาแล้วไม่ต้องทำหนังอย่างเดียว ไม่ต้องไปเป็นผู้กำกับอย่างเดียวเสมอไป เวลาเราเข้าไปเรียนอะไรบางอย่าง เราจะรู้ว่าสิ่งที่ได้มานั้นจะสามารถแตกยอดไปทำอะไรอย่างอื่นได้เยอะแยะมากมาย
Ter: ใช่ครับ ผมก็เพิ่งรู้ตอนนั้นว่าไม่ต้องเรียนภาพยนตร์ก็เป็นผู้กำกับได้ ถ้าเราใส่ใจในการเล่าเรื่อง บางทีเราไม่ต้องรู้ว่าขนาดภาพใกล้ ภาพกว้างคืออะไร แค่เรามีความรู้สึกอย่างนี้ แล้วเรารู้ว่าต้องทำอย่างไร จัดการอย่างไร ก็เป็นผู้กำกับได้ แต่สิ่งที่ผมได้จากการเรียนนิเทศศาสตร์คือ ผมได้สังคม ผมได้เรียนรู้การทำงานเยอะแยะมากมาย ผมไปออกกองถ่ายหนัง ได้ไปเห็นการทำงานของทุกคน แล้วผมก็รู้สึกว่าสนุกมาก สนุกยิ่งกว่าตอนนั่งเรียนในห้องเรียนแบบเมื่อก่อนเสียอีก
GQ: คนสมัยนี้ไม่อยากทํางานประจํากันเลย เขาก็อยากจะเป็นฟรีแลนซ์ อยากจะเป็นเจ้าของกิจการ อยากจะเป็นสตาร์ตอัป ซึ่งงานของคุณเองก็เรียกว่าเป็นคนทำงานแบบไม่ประจำเหมือนกัน คุณมองคนที่ทำงานออฟฟิศอย่างไร เพราะเราเองก็มองว่าการมีงานประจำ ก็เป็นความมั่นคงบางอย่างของชีวิตเหมือนกัน
Ter: ผมนับถือคนที่ทำงานประจำนะ เคยคุยกับคนที่ทำงานฟรีแลนซ์ และทำงานประจำ รายละเอียดของชีวิตจะต่างกันมาก โดยเฉพาะความมีระบบและระเบียบ คนที่ทำงานประจำเขาจะมีตรงนี้ ซึ่งสำหรับผมเขาชนะเลิศมาก เพราะเขาคือคนที่ต้องเข้าทำงานตรงเวลาทุกวัน มีเป้าหมายในแต่ละวันชัดเจนมาก ในขณะที่บางคนทำงานฟรีแลนซ์จะล่องลอย เดี๋ยวค่อยทำก็ได้ เดี๋ยวค่อยไปทำที่บ้าน ระบบระเบียบในชีวิตของเขาจะต่ำมาก แต่งานที่รับมาทำ จะต้องทำให้มันดีมากๆ ดีที่สุดในชีวิตของเขา เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่า คุณจะได้งานแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไหม แล้วคนเป็นฟรีแลนซ์นั้นเกิดขึ้นทุกวัน ในแต่ละวันมีคนที่เก่งกว่าคุณเกิดขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนทำงานประจำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวัน คือการทำงานจนเชี่ยวชาญ จนไม่สามารถมีคนที่จะทำงานนี้ได้ดีกว่าเราในวันรุ่งขึ้นได้ ดังนั้นผมก็เลยรู้สึกว่าคนทำงานฟรีแลนซ์ควรจะเอาอย่างคนทำงานประจำในการสร้างระบบระเบียบให้ชีวิต และต้องบริหารเวลาให้ได้
GQ: คุณบริหารงานหรือจัดระบบระเบียบให้กับการทำงานของตัวเองอย่างไร
Ter: ผมพยายามทำอะไรเป็นอย่างๆ ไป ไม่ค่อยทำอะไรเยอะ ปัญหาอย่างหนึ่งของฟรีแลนซ์คือ ทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันมากเกินไป เขาต้องรับงานมาเยอะๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะอยู่ไม่ได้ รับงานแค่งานเดียวเขาอยู่ไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วความน่ากลัวของการเป็นฟรีแลนซ์ คือถ้าคุณทำงานพลาดแค่ครั้งเดียว ต่อไปเขาก็ไม่จ้างคุณแล้ว บริษัทที่จ้างเขามีฟรีแลนซ์คนอื่นๆ เป็นตัวเลือกมากมายเลยที่จะมาแทนที่คุณ ดังนั้นเขาไม่มีที่ว่างสำหรับความผิดพลาด ถ้าคุณอยากเป็นฟรีแลนซ์ คุณก็ต้องรับความเสี่ยงนี้ด้วย เพราะในอนาคตคุณอาจจะไม่ได้มีงานเยอะๆ ได้ตลอดหรอก
GQ: ในวันนี้คุณเข้าใจเรื่องของวงการบันเทิงไทยมากน้อยแค่ไหน
Ter: เอาจริงๆ ผมก็ยังไม่เข้าใจขนาดเต็มร้อย เพราะวงการบันเทิงเปลี่ยนไปทุกวัน วงการบันเทิงสมัยก่อนกับวงการบันเทิงสมัยนี้มันก็ไม่เหมือนกัน อย่างสมัยที่ผมเล่นเรื่อง ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ผมเหนื่อยมาก เพราะว่ายังแสดงไม่ดีพอ ก็ต้องพยายามตั้งใจมากๆ แต่ยิ่งพยายามตั้งใจ มันก็ยิ่งทำไม่ได้ กลายเป็นสิ่งที่กดดันผมมากๆ เพราะการเป็นนักแสดงถ้าเราไปเครียดกับสิ่งที่เรากำลังจะเล่น สุดท้ายก็เล่นไม่ได้ แต่ของแบบนี้ก็ต้องมีแหละ การที่เราจะผ่อนคลายให้ได้ ก็ต้องจัดการกับมัน เรียนรู้มัน เหมือนเราหัดขี่จักรยาน เราก็ต้องฝึกฝนก่อน แล้วต่อไปเราจะไม่รู้สึกว่าตัวเองขี่จักรยานอยู่ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดที่เราขี่ได้โดยที่ไม่รู้สึกว่าขี่ได้เนี่ย เราต้องเก่งก่อน แล้วต้องฝึกบ่อยๆ ต้องล้มบ่อยๆ การเป็นนักแสดงก็เหมือนกัน
GQ: ล้มมาเยอะแค่ไหน กว่าจะมาประสบความสำเร็จใน กวน มึน โฮ
Ter: ล้มดังมากเลยครับ เพราะผมได้นักแสดงยอดแย่ รางวัลมะเฟืองเน่า จากเรื่อง โปรแกรมหน้าวิญญาณอาฆาต ตอนนั้นผมท้อขนาดที่บอกตัวเองเลยว่า พอแล้ว ไม่เอาแล้วการเป็นนักแสดง เพราะเรื่องนี้ผมรับบทนำแบบเต็มตัวเลย เราก็ตั้งใจเต็มที่เลย พอได้รางวัลนี้มาก็คิดว่าตัวเองกลับไปอยู่เบื้องหลัง ไปเขียนบทอย่างเดิมแหละดีแล้ว
GQ: เป็นไปได้ว่าในปีนั้น ไม่มีนักแสดงหน้าใหม่คนไหนที่มีผลงานโดดเด่นแบบคุณก็ได้ เพราะเราก็ไม่เห็นว่าเรื่องนั้นจะแย่ตรงไหน คนจัดงานก็เลยไม่รู้ว่าจะมอบให้ใครดีที่จะเป็นไฮไลต์ของงาน เลยมอบๆ ให้เต๋อ ฉันทวิชช์ไปเถอะ เอาฮา
Ter: ไม่รู้เหมือนกัน แต่คนที่พูดเตือนสติผมตอนนั้นคือ พี่โต้ง (บรรจง ปิสัญธนะกูล) เขาพูดว่า “เฮ้ย! ถ้าจะเลิกเล่นหนังไปเลยก็ได้นะ หรือจะเลิกเป็นนักแสดงก็ได้ แต่หลังจากนี้ไป สมมติว่าหน้าของเราจะผุดขึ้นมาในความทรงจำของใครสักคน ความทรงจำนั้นจะเป็นคนที่ได้รางวัลยอดแย่แล้วเลิกนะ อยากให้ชีวิตเป็นอย่างนั้นเหรอ” ผมเลยคิดได้ แล้วเขาก็บอกว่ามาช่วยกันทำโปรเจ็กต์หนังด้วยกัน แล้วเล่นให้ดีที่สุด ก็เลยกลายเป็น กวน มึน โฮ
(มีต่อ ด้านล่างค่ะ)
GQ Thailand | 'เต๋อ - ฉันทวิชช์' จากเด็กดีสู่พระเอกสายฮา 10 ปีในวงการบันเทิงที่ครบทุกอรรถรส
บรรณาธิการแฟชั่น: กำพล ลิขิตกาญจนกุล
เรื่อง: ทรรศน หาญเรืองเกียรติ
ถ้าให้ลองนึกถึงนักแสดงนำชายในบ้านเรา ว่ามีใครบ้างที่สามารถการันตีได้ว่าภาพยนตร์ที่เขาแสดงนำนั้นจะสามารถเรียกคนดู และทำรายได้ให้กับ Box Office ในประเทศไทยได้อย่างน่าชื่นใจ หนึ่งในลิสต์ของคุณยังไงก็ต้องมี ‘เต๋อ’ - ฉันทวิชช์ ธนะเสวี อยู่ในนั้นด้วยแน่นอน ด้วยบุคลิกที่เป็นกันเอง ความกวน ความตลกที่ทำให้คนดูรู้สึกเป็นมิตร จึงไม่แปลกใจที่ใครต่อใครจะเอ็นดูหนุ่มหน้าคมคนนี้ และให้การสนับสนุนเขามาอย่างต่อเนื่อง แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เขาเองก็เกือบถอดใจหันหลังให้กับการแสดงมาแล้ว ยิ่งถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตด้วยแล้ว ตอนนั้นถ้าเขาตัดสินใจเลือกทางเดินเดิม ไม่แน่ว่าจากพระเอกสายฮาอาจจะกลายเป็นพนักงานประจำที่ทำงานอย่างเคร่งเครียด แทนที่จะเป็นนักแสดงที่พวกเรารักก็ได้
GQ: คุณกลายมาเป็นเต๋อ ฉันทวิชช์ ในทุกวันนี้ได้อย่างไร คนที่กวนๆ ตลกๆ ห่ามๆ สนุกสนานเฮฮา เป็นคนที่เอนเตอร์เทนคนอื่นได้
GQ: อะไรที่ช่วยปลดล็อกให้กลายเป็นคนกล้าแสดงออกได้
GQ: แต่ความตลกนั้นไม่ได้มาจากการปลดล็อกหรือเปล่า เราว่าจริงๆ แล้วต้องมาจากพรสวรรค์ของตัวเองมากกว่า