อยากทราบว่าตำแหน่งราชเลขาเทียบเท่ากับตำแหน่งใหนในขุนนางจีนค่ะ

ตามหัวข้อกระทู้เลยค่ะ

เราเป็นคนชอบอ่านนิยายแนวพีเรียดจีย้อนยุคกับพวกนิยายตะวันตกที่เกี่ยวกับพวกขุนนางอะไรทำนองนี้อ่ะค่ะ เลยเกิดความสงสัยว่าเอ๊ะ ตำแหน่งราชเลขาคนสนิทของจักรพรรดิราชาเนี่ยมันเทียบเท่ากับตำแหน่งไหนของขุนนางในราชสำนักของฮ่องเต้จีนเหรอคะ

คือเราพยายามหาข้อมูลแล้วแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ง่ายๆ คือนึกภาพไม่ออกค่ะ ตอนนี้เราเลยเข้าใจว่าราชครู(ที่เป็นอาจารย์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์ของจีน)กับราชเลขาคนสนิทของจักรพรรดิราชามีตำแหน่งเทียบเท่ากัน ในความคิดของเรานะคะ

หากถูกผิดยังไงวอนผู้รู้ช่วยตอบหน่อยนะคะคือมันคาใจมานานมากๆ (เราเป็นคนขี้สงสัยค่ะ) ขอบคุณในคำตอบล่วงหน้านะคะ โคมาวอโคมาวอ
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 4
จริงๆ ขึ้นอยู่กับว่าต้นฉบับนิยายที่คุณเจ้าของกระทู้อ่านอยู่ในสมัยไหนและแปลมาจากคำว่าอะไรด้วย เพราะตำแหน่งที่ทำหน้าที่เป็นราชเลขาของจีนในแต่ละยุคไม่เหมือนกันครับ


ตำแหน่งราชเลขานุการหรืออาลักษณ์ของราชสำนักในภาษาจีนเรียกว่า ซ่างซู (尚書) แปลตรงตัวว่า "ผู้ช่วยเหลือด้านหนังสือหรือเอกสาร(สำหรับจักรพรรดิ)" เริ่มปรากฏตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉิน ในสมัยต้นราชวงศ์ฮั่นตะวันตกยังไม่มีอำนาจมากนัก เป็นแค่ข้าราชการอาลักษณ์ในสังกัดของขุนนางตำแหน่ง เซ่าฝู่ (少府) หรือเสนาบดีกรมวังและพระคลังมหาสมบัติ

ต่อมาในรัชสมัยฮั่นอู่ตี้ (漢武帝) ได้เพิ่มความสำคัญให้ตำแหน่งซ่างซูมากขึ้นเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับเสนาบดีระดับสูงได้แก่เฉิงเซี่ยง (丞相 อัครมหาเสนาบดี) และอวี้สื่อต้าฟู (御史大夫) ซึ่งเป็นตำแหน่งซานกง (三公) หรือสามตำแหน่งบริหารสูงสุด  โดยทรงตั้งตำแหน่งราชเลขานุการฝ่ายพระราชวัง หรือ จงซูเย่เจ่อลิ่ง (中書謁者令) รับผิดชอบหนังสือราชการในพระองค์ ส่วนใหญ่เป็นขันที

จนถึงสมัยฮั่นหยวนตี้ (漢元帝) ขันทีซึ่งได้กุมตำแหน่งราชเลขานุการขึ้นมามีอิทธิพลอย่างมากในการบริหารบ้านเมือง จนถึงสมัยฮั่นเฉิงตี้ (漢成帝) เปลี่ยนชื่อตำแหน่งเป็น จงเย่เจ่อลิ่ง (中謁者令) ตำแหน่งจึงกลับมาเป็นของขุนนาง

ในสมัยฮั่นมีหลายครั้งที่ขุนนางผู้ใหญ่ยังได้รับอำนาจว่าราชการเลขานุการ (錄尚書事 ลู่ซ่างซูซื่อ) ควบคู่กับตำแหน่งที่ตนเองมีไปด้วย เช่น ฮั่วกวง (霍光) ขุนพลใหญ่ในสมัยฮั่นตะวันตกซึ่งมีตำแหน่งเป็น ต้าซือหม่าต้าเจียงจวิน (大司馬大將軍) ที่สมุหพระกลาโหมผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้รับอำนาจว่าราชการเลขานุการด้วย



ในสมัยฮั่นตะวันออก ได้ลดอำนาจของเสนาบดีตำแหน่งซานกงลง เพิ่มอำนาจให้ซ่างซูมากขึ้น  ในรัชสมัยฮั่นกวงอู่ตี้ (漢光武帝) มีการก่อตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า ซ่างซูไถ (尚書臺) คือสำนักราชเลขานุการ มีหัวหน้าคือ ซ่างซูลิ่ง (尚書令) คือราชเลขานุการ   รองหัวหน้าคือผูเย่ (僕射)  ในสำนักแบ่งเป็นหกแผนก (六曹) บังคับบัญชาโดยซ่างซู (尚書) 6 คน     ซ่างซูลิ่งกับผูเย่มีผู้ช่วย (丞) ซ้ายขวา  มีขุนนางตำแหน่งซื่อหลาง (侍郎) 18 คน  หลิงสื่อ (令史) 36 คนแบ่งกันอยู่ในหกแผนกจำนวนเท่ากัน

หกแผนกแบ่งออกเป็น
- ฉางซื่อเฉา (常侍曹) หรือ ลี่ปู้เฉา (吏部曹) รับผิดชอบราชการระหว่างจักรพรรดิกับเสนาบดีผู้ใหญ่
- เอ้อร์เฉียนสือเฉา (二千石曹) รับผิดชอบราชการระหว่างราชสำนักกับข้าราชการหัวเมืองที่มีศักดินา 2,000 สือขึ้นไป
- หมินเฉา (民曹) รับผิดชอบราชการที่เกี่ยวกับข้าราชการระดับล่างและสามัญชน
- เค่อเฉา (客曹) หรือ จู่เค่อเฉา (主客曹) รับผิดชอบราชการเรื่องชนเผ่านอกด่าน
- ซานกงเฉา (三公曹) รับผิดชอบราชการระหว่างจักรพรรดิและซานกง
- ตูกวนเฉา (都官曹) รับผิดชอบราชการยุติธรรม

ซ่างซูลิ่ง หรือ ราชเลขานุการ ยังคงอยู่ในสังกัดของเซ่าฝู่ มีศักดินาไม่สูงนัก แต่เป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก เพราะได้รับผิดชอบราชการฝ่ายบริหารรวมถึงหนังสือราชการและฎีกาที่จะถวายจักรพรรดิ  ในขณะที่ซานกงกลายเป็นตำแหน่งเกียรติยศที่ไม่มีอำนาจจริง

ในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นเมื่อโจโฉได้เป็นเฉิงเซี่ยง ได้ย้ายหน่วยงานของซ่างซูมาขึ้นกับเฉิงเซี่ยงโดยตรง  แต่งตั้งซุนฮก (荀彧 สวินอวี้) ที่ปรึกษาคนสนิทว่าที่ซ่างซูลิ่ง ไว้วางใจให้ดูแลราชการฝ่ายบริหารราชสำนักแทบทุกอย่าง


ในสมัยราชวงศ์เว่ย (วุย) จักรพรรดิเว่ยเหวินตี้ (魏文帝) หรือโจผี แยกซ่างซูไถออกมาเป็นหน่วยงานต่างหาก  ภายหลังถูกเปลี่ยนมาเรียกว่า ซ่างซูเสิ่ง (尚書省)     ในขณะเดียวกันได้ตั้ง จงซูเสิ่ง (中書省) สำนักราชเลขานุการพระราชวัง ขึ้นมาคานอำนาจกับซ่างซูเสิ่ง  มีหัวหน้าสองคนคือ จงซูเจี้ยน (中書監) เป็นฝ่ายซ้าย และจงซูลิ่ง (中書令) เป็นฝ่ายขวา แต่ในสมัยจิ้นยุบเหลือคนเดียว บัญชาการเจ้าพนักงานคือ จงซูหลาง (中書郎) ในสมัยจิ้นเปลี่ยนชื่อเป็น จงซูซื่อหลาง (中書侍郎)

จงซูเสิ่งรับผิดชอบงานเรื่องเอกสารราชการต่างๆ  รวมถึงการร่างพระราชโองการ (詔令) ในขณะที่ซ่างซูเสิ่งดูแลเรื่องบริหารราชการแผ่นดินเป็นหลัก    จึงกลายเป็นว่างานด้านเลขานุการถูกโอนไปให้จงซูเสิ่งแทน

ถึงกระนั้น ตำแหน่งซ่างซูลิ่งยังคงเป็นตำแหน่งสูงสุดในงานฝ่ายราชเลขานุการ (แต่ดูแลงานบริหารแทน) ในสมัยหลังบางครั้งมีอำนาจเรียกได้ว่าเสมออัครมหาเสนาบดี แต่หลายครั้งตำแหน่งนี้ก็ถูกปล่อยว่าง   และในบางครั้งก็ยังมีการมอบตำแหน่งผู้ว่าราชการเลขานุการ (錄尚書事) ให้กับเสนาบดีผู้ใหญ่เหมือนกับในสมัยฮั่น


ในสมัยราชวงศ์จิ้นยังได้ก่อตั้ง เหมินเซี่ยเสิ่ง (門下省) หรือ "สำนักใต้ประตู" ทำหน้าที่ดูแลเขตพระราชฐาน เป็นที่ปรึกษาให้จักรพรรดิและตรวจสอบหนังสือราชการขึ้นอีกสถาบันหนึ่ง หัวหน้าเรียกว่าเหมินเซี่ยซื่อจง (門下侍中)  ทำให้โครงสร้างการปกครองของราชสำนักแยกออกเป็นสามสำนัก (三省)

ในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตก หน้าที่การร่างเอกสารราชการรับผิดชอบโดยหัวหน้าซ่างซูเสิ่งโดยตรง แต่ในสมัยจิ้นตะวันออกงานเอกสารถูกโอนไปให้หน่วยงานของเหมินเซี่ยเสิ่ง คือ ซ่านจี้เสิ่ง (散騎省) และ ซีเสิ่ง (西省)



เมื่อถึงราชวงศ์สุยและถัง ได้จัดการปกครองแบบสามสำนักหกกรม (三省六部) คือสำนักทั้งสามที่ได้กล่าวมา แต่มีการปฏิรูปราชการในซ่างซูเสิ่ง หรือสำนักราชเลขาธิการใหม่ โดยเปลี่ยนแผนกทั้งหกเป็นหกกรม (六部) แต่ละกรมบังคับบัญชาโดยซ่างซู  มีรองหัวหน้าคือซื่อหลาง  ประกอบด้วย

- ลี่ปู้ (吏部) คือ กรมมหาดไทย
- ฮู่ปู้ (戶部) คือ กรมคลัง
- หลี่ปู้ (禮部) คือ กรมพิธีการ
- ปิงปู้ (兵部) คือ กรมกลาโหม
- สิงปู้ (刑部) คือ กรมยุติธรรม
- กงปู้ (工部) คือ กรมโยธาธิการ

จะเห็นได้ว่าคำว่า ซ่างซู ที่เดิมหมายถึงอาลักษณ์หรือเลขานุการได้เปลี่ยนความหมายเป็น "เสนาบดี" เจ้ากรมต่างๆ  ซ่างซูเสิ่งกลายเป็นหน่วยงานฝ่ายบริหารแบบเต็มตัว

ในสมัยถังเกาจู่ ตั้งถังไท่จงเป็นซ่างซูลิ่ง มีอำนาจเทียบเท่าเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายบริหาร แต่เนื่องจากมีอำนาจมาก นับตั้งแต่สมัยถังไท่จงเป็นต้นมาจึงไม่ค่อยแต่งตั้งตำแหน่งนี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะแต่งตั้งแต่ตำแหน่งรองหัวหน้าคือ ซ่างซูผูเย่ (尚書僕射) สองคน


จงซูเสิ่ง ซึ่งกลายเป็นหน่วยงานที่ดูแลงานด้านเลขานุการแทน ในสมัยสุยเรียกว่า เน่ยสื่อเสิ่ง (內史省) หรือ เน่ยซูเสิ่ง (內書省)  

ในสมัยถังมีการเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง เช่น ในสมัยถังเกาจงเรียกว่า ซีไถ (西臺 หอประจิม) ในสมัยอู่เจ๋อเทียนเรียกว่า เฟิ่งเก๋อ (鳳閣 ศาลาหงส์) คือ ในสมัยถังเสวียนจงเรียกว่า จื่อเวยเสิ่ง (紫微省 สำนักม่วงน้อย)  บางครั้งกลับมาเรียกว่าจงซูเสิ่งตามเดิม

เช่นเดียวกับเหมินเซี่ยเสิ่งที่มีการเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง ในสมัยถังเกาจงเรียก ตงไถ (東臺 หอบูรพา) ในสมัยอู่เจ๋อเทียนเรียกหลวนไถ (鸞臺 หอวิหค) ในสมัยถังเสวียนจงเรียกว่า หวงเหมินเสิ่ง (黃門省 สำนักประตูเหลือง)

ตำแหน่งหัวหน้าของทั้งสองสำนักจึงเปลี่ยนไปตามชื่อหน่วยงานด้วย

- จงซูเสิ่งมี จงซูลิ่ง (中書令)  เน่ยสื่อลิ่ง (內史令)  จื่อเวยลิ่ง (紫微令)  โย่วเซี่ยง (右相) หรือเสนาบดีขวา
- เหมินเซี่ยเสิ่งมี น่าเหยี่ยน (納言)  ซื่อจง (侍中)  หวงเหมินเจี้ยน (黃門監)  จว่อเซี่ยง (左相) หรือเสนาบดีซ้าย


จงซูเสิ่งมีหน้าที่อ่านฎีกาที่จะถวายฮ่องเต้ ทูลตอบคำถามจากฮ่องเต้ และร่างหนังสือราชการเช่นพระราชโองการ นอกจากนี้ยังรับผิดชอบในเรื่องการเดินหนังสือราชการในพระราชวังด้วย ในสำนักมีขุนนางตำแหน่งผู้ร่างหนังสือ อาลักษณ์ เสมียน รวมถึงผู้ดูแลรักษาเอกสารราชการ

เหมินเซี่ยเสิ่ง มีหน้าที่ด้านเลขานุการคือตรวจสอบเนื้อหา พิสูจน์อักษร และแก้ไขฎีกาก่อนที่จะถวายฮ่องเต้   และมีขุนนางตำแหน่งอาลักษณ์เสมียนเหมือนกัน แต่ก็มีหน้าที่หลักอื่นๆ เช่น การดูแลพระราชวัง รักษาพระราชลัญจกร


นับตั้งแต่สมัยถังไท่จง หัวหน้าของทั้งสามสำนักมีศักดิ์เป็นจ่ายเซี่ยง (宰相) หรืออัครมหาเสนาบดีเสมอกัน แต่บางครั้งก็ทรงตั้งขุนนางที่ไม่ได้เป็นหัวหน้าสามสำนักขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการราชสำนัก (參豫朝政 ชานอวี้เฉาเจิ้ง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายชื่อ) ซึ่งเสมือนกับจ่ายเซี่ยงกลายๆ

ภายหลังทรงจัดระบบใหม่ ตั้งตำแหน่ง ถงจงซูเหมินเซี่ยซานผิน (同中書門下三品) หรือ ผู้เสมอขุนนางขั้นสามแห่งจงซู-เหมินเซี่ย  เพราะหัวหน้าของจงซูเสิ่งและเหมินเซี่ยเสิ่งเป็นขุนนางขั้นสาม ให้ตำแหน่งนี้เป็นจ่ายเซี่ยงเหมือนกัน

ทั้งนี้ชื่อตำแหน่งก็เปลี่ยนตามชื่อสำนักในแต่ละรัชกาล เช่น ในรัชกาลอู่เจ๋อเทียนจะเรียกว่า ถงเฟิ่งเก๋อหลวนไถซานผิน (同鳳閣鸞臺三品)

ในสมัยถังเกาจงตั้งตำแหน่ง ถงจงซูเหมินเซี่ยผิงจางซื่อ (同中書門下平章事) หรือ ผู้เสมอขุนนางแห่งจงซู-เหมินเซี่ย มีสถานะเป็นอัครมหาเสนาบดีเหมือนกัน

ขุนนางในสมัยถังที่เคยอยู่ในตำแหน่งนี้เช่น ตี๋เหรินเจี๋ย เป็นถงเฟิ่งเก๋อหลวนไถผิงจางซื่อในสมัยอู่เจ๋อเทียนถึงสองสมัย ในสมัยที่สองได้ควบตำแหน่งหลวนไถซื่อหลาง (鸞臺侍郎) รองหัวหน้าสำนักหลวนไถ (เหมินเซี่ยเสิ่ง) แล้วได้เลื่อนเป็นน่าเหยียนหัวหน้าสำนัก  ภายหลังได้เป็น เน่ยสื่อ (內史) หัวหน้าสำนักเฟิ่งเก๋อ (จงซูเสิ่ง) ยังคงเป็นจ่ายเซี่ยงอยู่


ในครึ่งหลังของราชวงศ์ถัง ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารหัวมีอำนาจมากขึ้น ทำให้บางคนอาจได้รับตำแหน่งหัวหน้าหรือรองหัวหน้าของจงซูเสิ่งด้วย ในช่วงเดียวกันสำนักฮั่นหลิน (翰林院) ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น บัณฑิตสำนักฮั่นหลิน (翰林學士) ซึ่งมีความสามารถในด้านอักษรศาสตร์ได้รับหน้าที่ในการร่างหนังสือราชการแทนจงซูเสิ่ง นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งซูมี่ย่วน (樞密院) หรือราชเลขานุการพระราชวังซึ่งเป็นขันที ทำให้อำนาจของจงซูเสิ่งน้อยลงตามเวลา

ส่วนเหมินเซี่ยเสิ่ง ในช่วงปลายราชวงศ์ถังหน้าที่ด้านเลขานุการก็ถูกโอนกลับไปให้จงซูเสิ่ง เหลือแต่หน้าที่ดูแลด้านพระราชวังกับพระราชลัญจกร และด้านพิธีการ ยังมีงานดูแลเอกสารบางอย่างเช่น ฎีกาที่จะถวายซ้ำ (覆奏)  รายชื่อผู้เข้าสอบเป็นขุนนาง (考帳)  ตำแหน่งอาลักษณ์เรียกว่า จี้ลู่กวน (寄祿官) ซึ่งเป็นเพียงตำแหน่งลอย
ความคิดเห็นที่ 5
ส่วนตำแหน่งราชครู มักแปลมาจากสองตำแหน่งคือ ไท่ซือ (太師) และ ไท่ฟู่ (太傅) ซึ่งเป็นตำแหน่ง ซานกง (三公) หรือสามมหาเสนาบดีสูงสุดในสมัยโจว


ไท่ซือ (太師)  ไท่ฟู่ (太傅)  ไท่เป่า (太保) สามตำแหน่งนี้มีมาแตุ่ยคโบราณ  เป็นซานกงในสมัยโจว  เป็นผู้ช่วยเหลืออบรมชี้แนะวิถีการปกครองแผ่นดินจารีตศีลธรรมจรรยาแก่โอรสสวรรค์

ซือ (師) หมายถึง ผู้เป็นอาจารย์ผู้ให้โอรสยึดถือเป็นแบบอย่าง

ฟู่ (傅) หมายถึง ผู้เป็นครูผู้อบรมโอรสสวรรค์

เป่า (保) หมายถึง ผู้พิทักษ์โอรสสวรรค์ให้สงบสุขด้วยผู้มีคุณธรรม


ด้วยความที่ไท่ซือกับไท่ฟู่ความหมายคล้ายกัน เลยมักแปลว่า "ราชครู" เหมือนกันครับ


ในสมัยโจวเฉิงหวัง  ไท่กง (เจียงจื่อหยา) เป็นไท่ซือ โจวกงเป็นไท่ฟู่


พอถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น ยกเลิกตำแหน่งไท่ซือและไท่เป่า (มีตั้งขึ้นใหม่ชั่วคราวในสมัยฮั่นผิงตี้ 漢平帝) กำหนดให้ไท่ฟู่เป็นตำแหน่งขุนนางพลเรือนสูงสุดเหนือกว่าซานกง (สมัยฮั่นตะวันออกมี ไท่เว่ย ซือถู ซือคง) ไท่ฟู่ในสมัยราชวงศ์ฮั่นถือว่ามีเกียรติยศสูงสุด แต่ไม่ได้มีอำนาจด้านบริหาร โดยปกติจะแต่งตั้งเมื่อจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เพื่อทำหน้าที่ถวายแนะนำการปกครอง และตลอดรัชกาลมักจะแต่งตั้งเพียงคนเดียว

ในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่น ตั๋งโต๊ะยึดอำนาจในราชสำนัก จึงตั้งตนเองเป็นไท่ซือ แต่อยู่ไม่นานก็โดนสังหาร



ในสมัยราชวงศ์จิ้น กลับมาใช้จารีตแบบโจว  โดยยกให้สูงกว่าซานกงสมัยฮั่น เปลี่ยนชื่อตำแหน่งไท่ซือเป็น ไท่จ่าย (太宰) แปลว่า มหานายก (เพราะคำว่า ซือ พ้องกับของกับนามเดิมของจิ้นจิ่งตี้ ซือหม่าซือ/สุมาสู) โดยจิ้นอู่ตี้ (晋武帝) ทรงตั้งซือหม่าฝู (司馬孚) หรือสุมาหูน้องชายสุมาอี้เป็นไท่จ่ายคนแรก  ทั้งสามตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินชั้นผู้ใหญ่

แต่สมัยหลังก็แยกไท่ซือกับไท่จ่ายออกเป็นคนละตำแหน่งกัน และก็มีการแต่งตั้งเรื่อยมาจนถึงสมัยราชวงศ์ชิงครับ


ในพงศาวดารถังลิ่วเตี้ยน (唐六典) ระบุว่าตำแหน่งไท่ซือ ไท่ฟู่ ไท่เป่า ถูกยกให้สูงกว่าซานกงในปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตกจึงถูกเรียกว่า ซ่างกง (上公)  ในสมัยโฮ่วเว่ย (คือเป่ยเว่ย ตงเว่ย ซีเว่ย) เรียกว่า ซานซือ (三師)  ในสมัยเป่ยโจวเรียกว่าซานกง และกลับมาเรียกซานซือในสมัยสุยถัง ยุคหลังก็ก็เรียกซานกงอีก

ในราชวงศ์ต่างๆ ทั้งถัง ซ่ง หยวน หมิง ชิง  กำหนดว่า ไท่ซือ ไท่ฟู่ ไท่เป่า เป็นขุนนางขั้นหนึ่งระดับสูง (正一品) เป็นตำแหน่งระดับสูงสุดของขุนนาง

นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งที่เรียกว่าซานเซ่า (三少) หรือ ซานกู (三孤) คือ เซ่าซือ (少师) เซ่าฟู่ (少傅) เซ่าเป่า (少保) ซึ่งรองลงมาจากซานซือด้วย ถือเป็นรองมาจากซานกง  ในสมัยหมิงและชิงจัดเป็นขุนนางขั้นหนึ่งระดับล่าง (从一品)



โดยสรุปแล้วราชครูของจีนไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกับราชเลขาครับ ราชครูถือเป็นตำแหน่งระดับสูงมีเกียรติยศเสมออัครมหาเสนาบดี  และตำแหน่งราชครูนี้ค่อนข้างตายตัวตั้งแต่โบราณ ไม่ได้เปลี่ยนไปมาเหมือนตำแหน่งราชเลขา

แต่อย่างที่กล่าวไว้ด้านบนคือในสมัยราชวงศ์หมิง ขุนนางบัณฑิตของเน่ยเก๋อซึ่งเปรียบเสมือนสำนักราชเลขาธิการอาจได้รับตำแหน่งระดับสูงควบคู่กันไปด้วยครับ

ตัวอย่างเช่น จางจวีเจิ้ง ซึ่งเป็นโสวฝู่หรือราชเลขาธิการ มีตำแหน่งสูงสุดในเน่ยเก๋อเป็นจงจี้เตี้ยนต้าเสวียซื่อ (中極殿大學士) หรือมหาบัณฑิตตำหนักจงจี้ เป็นขุนนางขั้นห้าระดับสูง (正五品) แต่ในเวลาเดียวกันยังได้รับตำแหน่งอื่นคือ เสนาบดีกรมมหาดไทย (吏部尚書 ลี่ปู้ซ่างซู) ขุนนางขั้นสองระดับสูง (正二品)  ตำแหน่งไท่ซือองค์รัชทายาท (太子太师 ไท่จื่อไท่ซือ) ขุนนางขั้นหนึ่งระดับล่าง และเป็นไท่ซือขุนนางขั้นหนึ่งระดับสูงสุดด้วยครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่