
เรียกได้ว่าทริปนี้เป็นทริปทวีปแอฟริกาครั้งแรกในชีวิตของผมเลยครับ ที่เลือกไปที่นี่สืบเนื่องจากว่าได้เห็นรูปถ่ายของรุ่นพี่ที่ไปปีนเขาในอุทยานแห่งชาติ Tsingy de Bemaraha แล้วเกิดอยากไปลองบ้าง (ทั้งๆที่ตัวเองก็กลัวความสูง) รุ่นพี่ก็เลยให้ facebook ของไกด์มา จากนั้นก็เริ่มๆ เตรียมตัว แล้วก็ตกลงตารางเที่ยวกับค่าใช้จ่ายกับไกด์ครับ

อันนี้จะเป็นตารางเที่ยวที่ตกลงกับไกด์ไว้ 15 วัน ปรับรายละเอียดตามที่ได้ไปมาจริงๆ นับจริงๆแล้วมีวันเที่ยว 13 วัน หักวันไปกับวันกลับ จากที่ได้ยินกิตติศัพท์ความไม่ปลอดภัยของเมือง Antananarivo หรือเรียกย่อๆ ว่า Tana เมืองหลวงประเทศนี้ตอนกลางคืน ก็เลยเลือกเที่ยวบินที่มาถึงตอนก่อนตะวันตกดิน สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ผมก็ได้ไปกับ Kenya Airways โดยไปต่อเครื่องที่ Nairobi ประเทศ Kenya
ส่วนแผนที่ด้านล่างนี้เป็นสรุปสถานที่ที่ไปมาคร่าวๆ ซึ่งเดี๋ยวจะลงรายละเอียดอีกครั้งครับ

มาดากัสการ์เป็นประเทศเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงขนาดที่ว่าตอนเดินทางจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งทิวทัศน์ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่โดยรวมแล้วผมรู้สึกว่าประเทศนี้ภาพรวมคล้ายประเทศไทยครับ ความเป็นอยู่คืออยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านใกล้ๆ แหล่งน้ำ พืชที่ปลูกก็จะเป็นพวกกล้วย มะม่วง มะละกอ บางพื้นที่มีการปลูกนาข้าว ทำอิฐ ทำเครื่องใช้อะลูมิเนียม ขุดทอง หรือทำอัญมณี บ้านของชาวบ้านพื้นถิ่นก็จะสร้างด้วยไม้ ต้นไผ่ มุงด้วยใบไม้หรือหญ้าแห้ง ดูแล้วก็ไม่ต่างจากประเทศ tropical ต่างๆ แถวทางบ้านเราเลย จุดเด่นของประเทศนี้จะอยู่ที่สีของดินที่ออกแดงๆ ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ ในแถบภาคกลางของเกาะซึ่งมีลักษณะเป็น Highland ด้วยดินที่มีสีแดงนี้เองทำให้มาดากัสการ์ได้ชื่อว่าเป็น The Red Island นอกจากนี้ยังมีพืชและสัตว์แปลกๆ ที่หาดูได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เช่นต้นเบาบับ ที่มีถึง 6 จาก 8 สายพันธุ์รวมอยู่บนเกาะนี้ หรือตัว Lemur หลากหลายสายพันธุ์ รวมทั้ง Fossa ที่เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของพวก Lemur

ที่มาดากัสการ์นี้แบ่งเป็นทั้งหมด 6 จังหวัด มีชนเผ่าที่แตกต่างกันถึง 18 ชนเผ่า สำหรับภาษา ที่นี่ใช้ภาษา Malagasy เป็นหลักในการสื่อสาร รองลงมาก็จะเป็นภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และจีนนิดหน่อยครับ ใครที่มีพื้นฐานภาษาฝรั่งเศสก็จะเที่ยวสนุกขึ้นมาก เพราะคนที่นี่บางคนพูดอังกฤษไม่ได้ หรือพูดได้แต่อังกฤษแต่พูดฝรั่งเศสไม่ได้ หรือพูดไม่ได้ทั้งสองภาษาเลยก็มี รวมถึงเมนูในร้านอาหารหรือป้ายประกาศต่างๆ ในโรงแรม ก็จะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก
ส่วนเรื่องอาหารขึ้นชื่อของที่นี่คือวัว Zebu ซึ่งเป็นวัวพันธุ์ท้องถิ่น ถ้าเป็นฝั่งตะวันตกก็จะโด่งดังเรื่องอาหารทะเลและกุ้ง Lobster การสั่งอาหารที่นี่ทำได้ทั้งสั่งเป็น Full course และ A la carte เลยครับ เมนูต่างๆ ก็น่าจะคุ้นเคยถูกปากคนไทยพอสมควร ส่วนอาหารเช้าก็มักจะเป็นขนมปังพร้อมกับเนยและแยม

เซบู สัตว์ประจำท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและความเชื่อกับชาวมาลากาซี่
การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
1. ฉีดวัคซีน – ก่อนอื่นต้องไปฉีดวัคซีนก่อนวันเดินทางอย่างน้อย 10 วัน เนื่องจากเราจะต้องไปต่อเครื่องที่ประเทศ Kenya ในกรณีขอผมไม่ได้เดินทางไปจากไทย ก็ไปปรึกษา Travel clinic ครับ คุณหมอก็แนะนำว่าให้ฉีดวัคซีนไข้เหลืองกับไทฟอยด์ ฉีดเสร็จเราจะได้สมุดเล่มเหลืองมา ซึ่งพอถึงเวลาจริงๆ ทั้งสนามบิน Kenya และ Madagascar ก็ไม่ได้ตรวจอะไร แต่ก็ถือว่าไปฉีดเพื่อความปลอดภัยของตัวเองแล้วก็เผื่อมีการตรวจประวัติย้อนหลังด้วยครับ
2. ติดต่อไกด์ – ตามที่ได้เล่าไปว่าไกด์คนนี้ผมได้ข้อมูลมาจากรุ่นพี่ที่แนะนำให้ก็เลยวางใจอยู่ก่อนแล้วประมาณหนึ่ง พอได้ไปเจอจริงๆ ก็เรียกว่าค่อนข้างประทับใจ เดี๋ยวผมจะลงรายละเอียดการติดต่อไกด์คนนี้ไว้อีกครั้ง เผื่อมีคนสนใจครับ โดยตอนติดต่อกันก็คุยใน Facebook Messenger บอกไปว่าเราอยากไปที่ไหนบ้าง ไกด์ก็จะจัดตารางตามวันมาให้ดูอีกครั้ง โดยของผมเป็นโปรแกรม 15 วัน 14 คืน ราคา 1,700 ยูโร รวมค่าไกด์และคนขับรถ 1 คน ค่าที่จอดรถและบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ค่าจองโรงแรมพร้อมอาหารเช้า โดยเงินก้อนนี้ผมขอมาจ่ายเป็นเงินสดกับมือเลย (ไม่กล้าโอนล่วงหน้า กลัวโดนเชิด) ซึ่งไกด์คนนี้ก็ตกลงครับ สิ่งที่จะต้องจ่ายเพิ่มเองคือ อาหารกลางวัน อาหารเย็น แล้วก็ทิปสำหรับ Local guide ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งทริปนี้อาจจะดูแพงเพราะผมไปคนเดียว แต่ถ้าไปหลายๆ คน ก็น่าจะประหยัดลงมาก เพราะโรงแรมส่วนใหญ่นอนได้ 2-3 คน ก็จะหารค่าโรงแรมค่ารถกันได้อีกครับ
3. เตรียมของ – ของใช้ที่ขาดไม่ได้เลย ได้แก่
- ยากันยุง เพราะประเทศนี้ยุงชุมมากๆ โดยเฉพาะเวลาไปเดินป่า
- ไฟฉายสำหรับเดินป่าหรือถ้ำ หรือใช้ในโรงแรมบางแห่งที่จะมีการตัดไฟตอนกลางคืน
- ร่มหรือเสื้อกันฝน สำหรับคนที่จะไปเขตป่าฝนทางตะวันออก
- Power bank เนื่องจากการเดินทางไปแต่ละที่ใช้เวลานานมากๆ จากถนนที่ไม่ค่อยดี รวมถึงโรงแรมบางแห่งใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะมีการกำหนดเวลาการเปิดไฟฟ้าให้ใช้ด้วย
- ที่สำคัญคือรองเท้าดีๆ สักคู่หนึ่งสำหรับเดินป่าและปีนเขา
- กล้องถ่ายรูปพร้อมเลนส์ซูม สำหรับถ่ายสัตว์
4. แลกเงิน – สามารถแลกเป็นเงิน Euro ไปก่อน แล้วค่อยไปแลกเป็นเงิน Ariary ที่สนามบินใน Madagascar ได้ครับ โดย 1 บาทจะเท่ากับประมาณ 100 Ariary สำหรับทริปนี้ผมใช้เงินทั้งหมด 1,700 euro ตามที่ตกลงกับไกด์ รวมกับ 400 Euro สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ

ธนบัตร Ariary แบบต่างๆ ที่นี่ไม่ใช้เหรียญกันครับ
5. วีซ่า - สำหรับวีซ่าของประเทศมาดากัสก้าร์จะเป็นแบบ Visa on Arrival ทำที่สนามบินได้เลย ค่าวีซ่าถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 25 ยูโร สามารถอยู่ในประเทศได้ 30 วัน
[CR] [CR] ลุยเดี่ยว Madagascar 15 วัน 14 คืน
เรียกได้ว่าทริปนี้เป็นทริปทวีปแอฟริกาครั้งแรกในชีวิตของผมเลยครับ ที่เลือกไปที่นี่สืบเนื่องจากว่าได้เห็นรูปถ่ายของรุ่นพี่ที่ไปปีนเขาในอุทยานแห่งชาติ Tsingy de Bemaraha แล้วเกิดอยากไปลองบ้าง (ทั้งๆที่ตัวเองก็กลัวความสูง) รุ่นพี่ก็เลยให้ facebook ของไกด์มา จากนั้นก็เริ่มๆ เตรียมตัว แล้วก็ตกลงตารางเที่ยวกับค่าใช้จ่ายกับไกด์ครับ
ส่วนแผนที่ด้านล่างนี้เป็นสรุปสถานที่ที่ไปมาคร่าวๆ ซึ่งเดี๋ยวจะลงรายละเอียดอีกครั้งครับ
มาดากัสการ์เป็นประเทศเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงขนาดที่ว่าตอนเดินทางจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งทิวทัศน์ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่โดยรวมแล้วผมรู้สึกว่าประเทศนี้ภาพรวมคล้ายประเทศไทยครับ ความเป็นอยู่คืออยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านใกล้ๆ แหล่งน้ำ พืชที่ปลูกก็จะเป็นพวกกล้วย มะม่วง มะละกอ บางพื้นที่มีการปลูกนาข้าว ทำอิฐ ทำเครื่องใช้อะลูมิเนียม ขุดทอง หรือทำอัญมณี บ้านของชาวบ้านพื้นถิ่นก็จะสร้างด้วยไม้ ต้นไผ่ มุงด้วยใบไม้หรือหญ้าแห้ง ดูแล้วก็ไม่ต่างจากประเทศ tropical ต่างๆ แถวทางบ้านเราเลย จุดเด่นของประเทศนี้จะอยู่ที่สีของดินที่ออกแดงๆ ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ ในแถบภาคกลางของเกาะซึ่งมีลักษณะเป็น Highland ด้วยดินที่มีสีแดงนี้เองทำให้มาดากัสการ์ได้ชื่อว่าเป็น The Red Island นอกจากนี้ยังมีพืชและสัตว์แปลกๆ ที่หาดูได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เช่นต้นเบาบับ ที่มีถึง 6 จาก 8 สายพันธุ์รวมอยู่บนเกาะนี้ หรือตัว Lemur หลากหลายสายพันธุ์ รวมทั้ง Fossa ที่เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของพวก Lemur
ที่มาดากัสการ์นี้แบ่งเป็นทั้งหมด 6 จังหวัด มีชนเผ่าที่แตกต่างกันถึง 18 ชนเผ่า สำหรับภาษา ที่นี่ใช้ภาษา Malagasy เป็นหลักในการสื่อสาร รองลงมาก็จะเป็นภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และจีนนิดหน่อยครับ ใครที่มีพื้นฐานภาษาฝรั่งเศสก็จะเที่ยวสนุกขึ้นมาก เพราะคนที่นี่บางคนพูดอังกฤษไม่ได้ หรือพูดได้แต่อังกฤษแต่พูดฝรั่งเศสไม่ได้ หรือพูดไม่ได้ทั้งสองภาษาเลยก็มี รวมถึงเมนูในร้านอาหารหรือป้ายประกาศต่างๆ ในโรงแรม ก็จะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก
ส่วนเรื่องอาหารขึ้นชื่อของที่นี่คือวัว Zebu ซึ่งเป็นวัวพันธุ์ท้องถิ่น ถ้าเป็นฝั่งตะวันตกก็จะโด่งดังเรื่องอาหารทะเลและกุ้ง Lobster การสั่งอาหารที่นี่ทำได้ทั้งสั่งเป็น Full course และ A la carte เลยครับ เมนูต่างๆ ก็น่าจะคุ้นเคยถูกปากคนไทยพอสมควร ส่วนอาหารเช้าก็มักจะเป็นขนมปังพร้อมกับเนยและแยม
การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
1. ฉีดวัคซีน – ก่อนอื่นต้องไปฉีดวัคซีนก่อนวันเดินทางอย่างน้อย 10 วัน เนื่องจากเราจะต้องไปต่อเครื่องที่ประเทศ Kenya ในกรณีขอผมไม่ได้เดินทางไปจากไทย ก็ไปปรึกษา Travel clinic ครับ คุณหมอก็แนะนำว่าให้ฉีดวัคซีนไข้เหลืองกับไทฟอยด์ ฉีดเสร็จเราจะได้สมุดเล่มเหลืองมา ซึ่งพอถึงเวลาจริงๆ ทั้งสนามบิน Kenya และ Madagascar ก็ไม่ได้ตรวจอะไร แต่ก็ถือว่าไปฉีดเพื่อความปลอดภัยของตัวเองแล้วก็เผื่อมีการตรวจประวัติย้อนหลังด้วยครับ
2. ติดต่อไกด์ – ตามที่ได้เล่าไปว่าไกด์คนนี้ผมได้ข้อมูลมาจากรุ่นพี่ที่แนะนำให้ก็เลยวางใจอยู่ก่อนแล้วประมาณหนึ่ง พอได้ไปเจอจริงๆ ก็เรียกว่าค่อนข้างประทับใจ เดี๋ยวผมจะลงรายละเอียดการติดต่อไกด์คนนี้ไว้อีกครั้ง เผื่อมีคนสนใจครับ โดยตอนติดต่อกันก็คุยใน Facebook Messenger บอกไปว่าเราอยากไปที่ไหนบ้าง ไกด์ก็จะจัดตารางตามวันมาให้ดูอีกครั้ง โดยของผมเป็นโปรแกรม 15 วัน 14 คืน ราคา 1,700 ยูโร รวมค่าไกด์และคนขับรถ 1 คน ค่าที่จอดรถและบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ค่าจองโรงแรมพร้อมอาหารเช้า โดยเงินก้อนนี้ผมขอมาจ่ายเป็นเงินสดกับมือเลย (ไม่กล้าโอนล่วงหน้า กลัวโดนเชิด) ซึ่งไกด์คนนี้ก็ตกลงครับ สิ่งที่จะต้องจ่ายเพิ่มเองคือ อาหารกลางวัน อาหารเย็น แล้วก็ทิปสำหรับ Local guide ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งทริปนี้อาจจะดูแพงเพราะผมไปคนเดียว แต่ถ้าไปหลายๆ คน ก็น่าจะประหยัดลงมาก เพราะโรงแรมส่วนใหญ่นอนได้ 2-3 คน ก็จะหารค่าโรงแรมค่ารถกันได้อีกครับ
3. เตรียมของ – ของใช้ที่ขาดไม่ได้เลย ได้แก่
- ยากันยุง เพราะประเทศนี้ยุงชุมมากๆ โดยเฉพาะเวลาไปเดินป่า
- ไฟฉายสำหรับเดินป่าหรือถ้ำ หรือใช้ในโรงแรมบางแห่งที่จะมีการตัดไฟตอนกลางคืน
- ร่มหรือเสื้อกันฝน สำหรับคนที่จะไปเขตป่าฝนทางตะวันออก
- Power bank เนื่องจากการเดินทางไปแต่ละที่ใช้เวลานานมากๆ จากถนนที่ไม่ค่อยดี รวมถึงโรงแรมบางแห่งใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะมีการกำหนดเวลาการเปิดไฟฟ้าให้ใช้ด้วย
- ที่สำคัญคือรองเท้าดีๆ สักคู่หนึ่งสำหรับเดินป่าและปีนเขา
- กล้องถ่ายรูปพร้อมเลนส์ซูม สำหรับถ่ายสัตว์
4. แลกเงิน – สามารถแลกเป็นเงิน Euro ไปก่อน แล้วค่อยไปแลกเป็นเงิน Ariary ที่สนามบินใน Madagascar ได้ครับ โดย 1 บาทจะเท่ากับประมาณ 100 Ariary สำหรับทริปนี้ผมใช้เงินทั้งหมด 1,700 euro ตามที่ตกลงกับไกด์ รวมกับ 400 Euro สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ
5. วีซ่า - สำหรับวีซ่าของประเทศมาดากัสก้าร์จะเป็นแบบ Visa on Arrival ทำที่สนามบินได้เลย ค่าวีซ่าถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 25 ยูโร สามารถอยู่ในประเทศได้ 30 วัน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น