ภาวะการซื้อขายหุ้นไทยวันนี้ (28 พ.ค.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดปรับตัวสูงในช่วงท้ายตลาดที่ 1632.04 จุด เพิ่มขึ้น 7.20 จุด หรือ 0.44% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 204,855.70 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าการซื้อขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นไทย
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เกิดจากการที่บรรดากองทุนต่างทั่วโลกได้มีการปรับน้ำหนักการลงทุน (Rebalancing) ตาม MSCI ที่การปรับน้ำหนักการลงทุนครั้งใหญ่ ราว 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดย เป็นของเอเชียประมาณ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
โดยในส่วนของไทย MSCI ได้มีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก 2.4% เป็น 2.9% จากการนำ NDVR เข้าคำนวณในดัชนี ซึ่งในการปรับน้ำหนักกองทุนได้มีแนวทางปฏิบัติด้วยซื้อ-ขายในราคาปิด (ATC) ในวันที่ 28 พฤษภาคมทั่วโลก จึงทำให้วอลุ่ม Match กันด้วยมูลค่าสูง ซึ่งหากตัดมูลค่าการซื้อขายตามปกติออกไปราว 50,000 ล้านบาท ออกไป ก็จะเห็นภาพเม็ดเงินที่จับ Match กัน ราว 150,000 ล้านบาท แบ่งฝั่งซื้อฝั่งขายออกไป ก็จะเท่ากับ 2.3 พันล้านเหรียญ
ส่วนการที่ตลาดหุ้นไทยกระโดดขึ้นมาปิดที่ 1632 จุด ทั้งๆ ที่ก่อนปิดดัชนีอยู่ที่ 1623 จุดนั้น เป็นเพราะว่า ในการจับ Match ของกองทุนอาจจะไม่สมบูรณ์เลยทีเดียวอาจจะเลยมากินในฝั่ง OFFER บ้าง หรือ เทขายฝั่ง BID บ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ โดยสิ้นวันนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท
นายมงคล ระบุว่า มูลค่าซื้อขายที่สูงจากการ Rebalancing ไม่น่าจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นไทยจะกลับมาเป็นปกติได้ในไม่ช้า แต่การที่ MSCI ปรับเพิ่มน้ำหนักในหุ้นไทย ก็อาจจะทำให้หุ้นนั้นๆ มีความโดดเด่นได้
อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นไทยยังต้องติดตามการจัดตั้งรัฐบาลในประเทศเป็นหลัก ซึ่งหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากการจัดตั้งรัฐบาลคือกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA , WHA กลุ่มก่อสร้าง CK และกลุ่มค้าปลีก HMPRO , ROBINS
ทั้งนี้มีการซื้อขายบิ๊กล็อต 46 หลักทรัพย์ 134 รายการ พบ SCC มีมูลค่าสูงสุด 6,658.63 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 460.10 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปรับพอร์ตของ MSCI อาทิ
หลักทรัพย์ รายการ จำนวนหุ้น มูลค่า (พันบาท) ราคาเฉลี่ย (บาท)
SCC 11 14,472,000 6,658,625.69 460.10
INTUCH 8 61,960,900 3,516,281.10 56.75
BDMS 10 106,185,900 2,808,301.35 26.45
SCB 4 17,837,900 2,274,332.25 127.50
BBL-F 10 9,731,400 1,908,512.91 196.12
CPN 4 14,377,900 1,045,634.70 72.73
CPALL 4 9,367,700 754,099.85 80.50
BANPU 5 48,148,800 723,746.88 15.03
EGCO 3 2,521,300 723,613.10 287.00
LH 3 66,635,900 693,013.36 10.40
RATCH 4 11,105,200 677,917.20 61.05
DTAC 4 11,071,900 537,103.77 48.51
BBL 11 2,206,800 437,085.43 198.06
TU 2 20,491,200 364,743.36 17.80
HMPRO 1 17,538,200 298,149.40 17.00
SCB-F 1 2,312,000 294,780.00 127.50
KBANK-F 3 1,479,600 276,377.46 186.79
PTT 2 4,059,500 191,736.38 47.23
เฉลิมชัย ศิรินันทวิทยา รายงาน
ภาวะการซื้อขายหุ้นไทยวันนี้ (28 พ.ค.) ปริมาณมากกว่า 200,000 ล้านบาท จาก ...ข้อมูล ทันหุ้น...
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เกิดจากการที่บรรดากองทุนต่างทั่วโลกได้มีการปรับน้ำหนักการลงทุน (Rebalancing) ตาม MSCI ที่การปรับน้ำหนักการลงทุนครั้งใหญ่ ราว 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดย เป็นของเอเชียประมาณ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
โดยในส่วนของไทย MSCI ได้มีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก 2.4% เป็น 2.9% จากการนำ NDVR เข้าคำนวณในดัชนี ซึ่งในการปรับน้ำหนักกองทุนได้มีแนวทางปฏิบัติด้วยซื้อ-ขายในราคาปิด (ATC) ในวันที่ 28 พฤษภาคมทั่วโลก จึงทำให้วอลุ่ม Match กันด้วยมูลค่าสูง ซึ่งหากตัดมูลค่าการซื้อขายตามปกติออกไปราว 50,000 ล้านบาท ออกไป ก็จะเห็นภาพเม็ดเงินที่จับ Match กัน ราว 150,000 ล้านบาท แบ่งฝั่งซื้อฝั่งขายออกไป ก็จะเท่ากับ 2.3 พันล้านเหรียญ
ส่วนการที่ตลาดหุ้นไทยกระโดดขึ้นมาปิดที่ 1632 จุด ทั้งๆ ที่ก่อนปิดดัชนีอยู่ที่ 1623 จุดนั้น เป็นเพราะว่า ในการจับ Match ของกองทุนอาจจะไม่สมบูรณ์เลยทีเดียวอาจจะเลยมากินในฝั่ง OFFER บ้าง หรือ เทขายฝั่ง BID บ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ โดยสิ้นวันนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท
นายมงคล ระบุว่า มูลค่าซื้อขายที่สูงจากการ Rebalancing ไม่น่าจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นไทยจะกลับมาเป็นปกติได้ในไม่ช้า แต่การที่ MSCI ปรับเพิ่มน้ำหนักในหุ้นไทย ก็อาจจะทำให้หุ้นนั้นๆ มีความโดดเด่นได้
อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นไทยยังต้องติดตามการจัดตั้งรัฐบาลในประเทศเป็นหลัก ซึ่งหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากการจัดตั้งรัฐบาลคือกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA , WHA กลุ่มก่อสร้าง CK และกลุ่มค้าปลีก HMPRO , ROBINS
ทั้งนี้มีการซื้อขายบิ๊กล็อต 46 หลักทรัพย์ 134 รายการ พบ SCC มีมูลค่าสูงสุด 6,658.63 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 460.10 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปรับพอร์ตของ MSCI อาทิ
หลักทรัพย์ รายการ จำนวนหุ้น มูลค่า (พันบาท) ราคาเฉลี่ย (บาท)
SCC 11 14,472,000 6,658,625.69 460.10
INTUCH 8 61,960,900 3,516,281.10 56.75
BDMS 10 106,185,900 2,808,301.35 26.45
SCB 4 17,837,900 2,274,332.25 127.50
BBL-F 10 9,731,400 1,908,512.91 196.12
CPN 4 14,377,900 1,045,634.70 72.73
CPALL 4 9,367,700 754,099.85 80.50
BANPU 5 48,148,800 723,746.88 15.03
EGCO 3 2,521,300 723,613.10 287.00
LH 3 66,635,900 693,013.36 10.40
RATCH 4 11,105,200 677,917.20 61.05
DTAC 4 11,071,900 537,103.77 48.51
BBL 11 2,206,800 437,085.43 198.06
TU 2 20,491,200 364,743.36 17.80
HMPRO 1 17,538,200 298,149.40 17.00
SCB-F 1 2,312,000 294,780.00 127.50
KBANK-F 3 1,479,600 276,377.46 186.79
PTT 2 4,059,500 191,736.38 47.23
เฉลิมชัย ศิรินันทวิทยา รายงาน