เรื่องที่เราจะเล่ามันค่อนข้างยาวมาก นี้เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกของเราที่ยาวขนาดนี้ อยากให้อ่านให้จบ และช่วยเราวิเคราะห์ว่าเราจะทำยังไงกันเหตุการณ์ต่อไปนี้ดี เราขอตัดเป็น 2 ตอนคือ ตอนที่ 1 ความเป็นไปของเราและบริษัท ตอนที่ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เราถูกเลิกจ้าง เป็นข้อมูลคร่าวๆ บางส่วน เพื่อประกอบการวิเคราะห์ และช่วยตัดสินใจ มาเริ่มกันเลยดีกว่านะ หลังจากที่เราเรียนจบ ปวส. เราไปสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซื่งเป็นการสมัครงานครั้งแรก และเราก็ได้งานนั้นทันที เราสมัครงานตำแหน่ง ธุรการ เงินเดือนครั้งแรกของเราคือ 7,000 บาท บริษัทที่เราได้งานนั้น เป็นบริษัทต่างชาติ มี 2 บริษัทในสถานที่เดียวกัน ซึ่งในตอนนั้นบริษัทที่เราสมัครเพิ่งเริ่มเปิดกิจการได้เพียง 1 ปี หลังจากที่เราเข้าทำงาน บริษัท 2 แห่งนี้มีพนักงานรวมกัน 8 คน(ใช้พนักงานร่วมกัน)เราทำงานและเติบโตขึ้นมาพร้อมกับบริษัทปัจจุบัน อายุงานบริษัท 15 ปี อายุงานเราก่อนออก 13 ปี 5 เดือน งานที่เราทำในช่วงแรกคือ งานทุกอย่างที่เจ้านายสั่ง เดือนแรกๆที่เรามาทำงานเรารู้สึกเบื่อมาก หัวหน้าไม่ได้สอนงานเรา อาจเป็นเพราะยังไม่มีงานมากพอ (ห้วหน้างานเป็นเลขาเจ้านาย)เราต้องหางานทำเอง พอเข้าปีที่สอง เจ้านายซื้อคอนโด งานทุกอย่างที่เกี่ยวกับคอนโดตกมาอยู่ที่เรา เราดีใจมากที่เราจะไม่ต้องว่างงานอีกแล้ว เราตั้งใจ ทำงานเต็มที่ จนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หลังจากจบงานชิ้นแรกเราได้ปรับเงินเดือนขึ้นเป็น 9000 บาท และได้เลื่อนต่ำแหน่งเป็นเลขา ระหว่างที่เราได้ทำงานนั้นเราได้หาที่เรียนต่อซึ่งเราโชคดีมาก ม.ราชภัฏแห่งหนึ่งได้เปิดศูนย์การเรียนใกล้ๆที่เราทำงาน และเปิดสอนเฉพาะวันอาทิตย์วันเดียว แรกๆเจ้านายเราก็ไม่พอใจที่เราจะเรียนต่อ อาจเป็นเพราะเราอาจทำงานได้ไม่เต็มที่ เราใช้เวลาเรียน 2.5 ปี เราเรียนจบและได้รับปริญญา ในวันที่เราเรียนจบ เจ้านายเราร่วมแสดงความยินดีกับเราโดยให้เงินสด 10000 บาท เป็นของขวัญ และให้พนักงานในส่วนสำนักงานไปเลี้ยงแสดงความยินดีกับเราด้วย เราได้ปรับเงินเดือนขึ้นเป็น 13000 บาท ในระหว่างนั้นเราได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นลำดับเริ่มจาก ผู้ช่วยผู้จัดการ และได้ขึ้นเป็น ผู้จัดการเรื่องการเจริญเติบโตของบริษัท เรามองว่า เราทำได้ดีพอสมควร ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกๆๆปี จนถึงระดับ 100 ล้านบาท และเราใช้เงินสดในการบริหารงาน ไม่มีการกู้ยืมธนาคารแต่อย่างใด ตัดเข้าเรื่องทำงานต่อ เราได้ทำงานหลายส่วนในบริษัท เพราะระหว่างที่เราทำงานนั้น พนักงานในบริษัท ก็เข้า-ออกจากงาน สลับไปมา กรณีตำแหน่งไหนขาด เราจะสามารถทำในจุดนั้นได้ในทันที เช่น งานในฝ่ายของบัญชี การทำเช็คเพื่อรอจ่าย การออกเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินสดย่อยภายในบริษัท การเปิดเอกสารทางบัญชี ใบวางบิล ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี / ใบเสร็จรับเงิน หรือ งานในส่วนของฝ่ายบุคคล การทำเงินเดือน การหาพนักงานเข้ามาทำงานในบริษัท งานจัดซื้อ งานวางแผนในการเข้าทำงาน สต๊อคสินค้า งานในส่วนของฝ่ายขาย การประสานงานในเรื่องต่างๆ ฯลฯ งานอะไรก็ตามที่เราสามารถทำได้ เราจะไม่เกี่ยงที่จะทำ บริษัทเริ่มเติบโตและไปในทิศทางที่ดีขึ้น เราได้เรียนรู้และทำงานมากขึ้นเป็นลำดับ ช่วงระหว่างที่เราทำงานได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย เราผ่านเหตุการณ์มานับไม่ถ้วน เช่นการคอรัปชั่นของฝ่ายบัญชี การบวกราคาเพิ่มจากราคาที่ขายจริงเพื่อไปรับเงินส่วนต่างกับนายหน้าที่มาช่วยขายของให้บริษัท การรับสินบนจากบริษัทผู้รับเหมาที่เราจ้างมาทำงาน การขายงานที่มีแต่ยอดขายไม่มีกำไรเข้าบริษัท ฯลฯ หลายคนอาจสงสัยว่า ยังมีบริษัทแบบนี้ด้วยหรอ ที่เราพูดแบบนี้ได้ เพราะเจ้านายของเราไม่ค่อยได้เข้ามาดูแลกิจการของบริษัท ในหนึ่งสัปดาห์ จะเข้าบริษัท ประมาณ 3 วัน ในการเข้ามาแต่ละครั้งไม่เกิน 3 ชม หรือไวที่สุด ประมาณ 30 นาทีเจ้านายจะให้นโยบาย ให้เรามาสานต่อเจตนารมย์น่าแปลกมากใช่ไหมที่เจ้าของไม่เข้ามาดูแลกิจการตนเอง ในช่วงแรกๆเจ้านายเราก็เข้ามาดูแลตลอดแต่ช่วงหลังๆ ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในบริษัท ถ้าเป็นปัญหาที่เราแก้ไขได้ เราจะแก้ไขให้เองทุกครั้ง บางเหตุการณ์เราไม่ได้รายงานเจ้านายโดยตรงเพราะมันไม่ใช่เหตุการณ์ที่ร้ายแรงมาก ที่เรากล่าวมาทั้งหมด เราไม่เคยมีส่วนได้ส่วนเสียในการคอรัปชั่นบริษัทของเราเลยแม้แต่น้อย เราคิดแค่ว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน แม้เราจะเห็นช่องทางในการทำ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ทำ ด้วยหวังว่า เราจะเติบโตต่อไปพร้อมกับบริษัทแห่งนี้ อีกอย่างที่เราไม่เลือกจะทำเพราะเรามองว่า เราเป็นคนช่วยสร้างบริษัทให้เติบโตขึ้น โดยการที่เราจะรักษาผลประโยชน์ให้บริษัทมาโดยตลอดเวลา บางครั้งเรารู้สึกขัดใจในการตัดสินใจของเจ้านายของเราเองในบางกรณี ยกตัวอย่าง พนักงานญี่ปุ่นในบริษัท ซึ่งยอดขายก็ไม่ได้มากมายพอจะเลี้ยงเงินเดือนตัวเองได้ ขายงานได้ กำไรก็ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร แต่กลับมาขอค่านายหน้าจากการขายเพิ่มขึ้น เช่น โดยปกติจะได้รับ 1 % จากยอดขาย แต่ขอเพิ่มเป็น 3 % หรือ การขอค่าเทอมขอลูกของพนักงานขายคนญี่ปุ่นบางคนในบริษัท การขอเบิกเงินการตรวจสุขภาพประจำปี ฯลฯ เป็นต้น เรื่องนี้เราเคยเตือนเจ้านายแล้วว่า บริษัทฯ ของเขาเติบโตขึ้น เรื่อยๆจนปัจจุบันมี พนักงานเกือบ 100 คน ( บริษัททำกิจการเกี่ยวกับ การดูแล ซ่อมแซม และปรับปรุง โรงงานอุตสาหกรรม ไม่ได้มีงานในส่วนการผลิต) การที่เจ้านายเราทำแบบที่เรากล่าวมาเบื้องต้น อาจทำให้การบริหารงานของเราดำเนินไปได้ยาก เพราะเกิดความเลือมล้ำภายในองค์กร แต่เราก็ไม่ได้ทัดทานอะไรมากมาย คิดเพียงว่า มันคือเงินของเขา และบริษัทของเขา ในส่วนของเรา เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น เพราะมันส่งผลเสียโดยตรงกับบริษัท ในความคิดเห็นส่วนตัว เรามองว่าเจ้านายเราค่อนข้างเอาแต่ใจ และบางครั้งไม่มีเหตุผล ที่เรากล่าวแบบนี้ เพราะเราเคยเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เราคิดแบบนั้น ยกตัวอย่าง ในส่วนของฝ่ายขาย หรือฝ่ายอื่นๆ เช่น เจ้านายเราจะชอบไล่พนักงานออก ทั้งๆที่ ไม่ได้มีความผิดโดยตรงในส่วนหน้าที่ของงาน เช่นพนักงานฝ่ายบัญชี มีหน้าที่เพิ่มเติมคือเคลียสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศโดยใช้ชิปปิ้ง ซึ่งในช่วงนั้นเจ้านายของเราสั่งซื้อสกินแคร์ยี่ห้อหนึ่งและต้องนำเข้าจากต่างประเทศ หรือ เวชภัณฑ์ บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการขอ อย. หรือ ผลิตภัณฑ์บางอย่าง ที่มีส่วนผสมอันตราย ทำให้ตอนที่สินค้าเข้ามาในประเทศไทย ต้องถูกกักไว้ที่ด่านศุลกากร หรือ ติดอยู่ที่ คลังสินค้าของบริษัทเอกชน รายใหญ่ เจ้านายของเราก็สั่งให้เรา ไล่พนักงานคนนั้นออก และเราซึ่งไม่เห็นด้วยและรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม เราจะทัดท้านในส่วนนั้น ซึ่งอาจทำให้เจ้านายของเราเกิดอาการไม่พอใจเรา และเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ
เรื่องนี้เข้าข่าย “การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม” หรือไม่ ?