สวัสดีค่ะ
นี่เป็นกระทู้แรกที่หัดเขียนบทความยาวๆ เนื่องจากแวดวงเพื่อนสนิทพากันผิดหวังกับบทสรุปในซีซั่นสุดท้ายกัน และเราเป็นคนส่วนน้อยที่รู้สึกว่าชอบก็เลยอยากพูดอะไรบ้างเท่านั้นเองค่ะ
ทั้งหมดนี้จึงเป็นทัศนคติและความคิดเห็นส่วนตัว ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ
[คำเตือน: กระทู้นี้มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญ]
Games of Thrones เป็นซีรีส์เลือดเย็นที่พาคนดูเข้าไปในโลกแฟนตาซีแล้วในตอนท้ายก็ตบหน้ากันด้วยความจริง
ถ้าตอนจบแบ่งคนดูเป็นสองฝั่งคือ ชอบ-ไม่ชอบ เราอยู่ในฝั่งที่ชอบนะคะ 5555
ตอนที่รบกับไวท์วอค์เกอร์นี่มัน The Lord of the Ring ชัดๆ ขาดแค่แหวนกับกอลลั่ม (แล้วถ้าใต้กำแพงมีช่องว่างอยู่ด้วยละก็...ใช่เลย LOTR ชัดๆ 555)
แต่สิ่งที่ขัดในซีซั่นนี้จริงๆ เลยคือ ความรีบเหมือนต้องตัดจบ มันทำลายเสน่ห์ที่ซีซั่นก่อนๆ ทำไว้หมดเลย บรรยากาศความมืด ความหนาว ความไว้ใจไม่ได้ในแดนเหนือหายไปหมด
แล้วพอน้ำแข็งมาเจอกับไฟ(เปรียบเทียบ)ในซีนรบก็วุ่นวายไม่ต่างอะไรจากการตะลุมบอน
ยกเว้นตอนที่แม่มดแดงร่ายเวทมนต์ให้ดาบไฟลุกซึ่งเป็นซีนที่งดงามและมีพลัง หรือว่าจริงๆ แล้วความหวังและปาฎิหาริย์ที่แท้จริงก็คือแม่มดแดงไม่ใช่แม่มังกร?
เมื่อพูดถึงบทสรุปของตัวละครแต่ละตัวเราก็รู้สึกเศร้าแต่ไม่ประหลาดใจ เพราะมันตลกร้ายมากๆ (ในที่นี้ขอพูดถึงตัวละครที่น่าสนใจนะคะ)
จุดจบของเจมี่กับเซอร์ซี่ควรพังทลายปรอทแตกกว่านี้ เพราะเซอร์ซี่ก็เคยบอมบ์คนอื่น แล้วซีรีส์ก็เคยทำไว้ขลังมากๆ
สองแฝดนี้ควรพังทลายไปพร้อมกับกิเลสของตัวเองทั้งคู่ ไม่โรแมนติคแถมยังน่าอดสู ถึงบทจะเหมือนรีบไม่มีเวลาแล้ว แต่ทีเรียนก็แสดงออกได้สะเทือนใจ เจ็บใจและบีบคั้น
...เอาหล่ะค่ะ ขอเริ่มต้นด้วยการอวยตัวละครที่เราชอบที่สุดก่อนนะคะ
1. ทีเรียน แลนนิสเตอร์
ออกตัวไว้ก่อนเลยว่าเราชอบตัวละครตัวนี้มากๆ เริ่มจากการเป็นคนแคระเจ้าสำราญกลายมาเป็นมือขวาของกษัตริย์ เส้นทางชีวิตของทีเรียนทั้งเศร้า ขมขื่น ตื่นเต้น ผจญภัย
ทีเรียนเป็นคนมีน้ำใจคนนึงแต่ก็ขี้แซะด้วย
เรามองว่าความกล้าหาญที่จะออกจากเส้นทางเดิมๆ นั่นแหละที่ทำให้ทีเรียนฉลาดและมองการณ์ไกล
จุดอ่อนของทีเรียนคือ ความไว้ใจมนุษย์ ซึ่งเห็นชัดในซีซั่นนี้ทำให้มองคนผิดไป
อีกอย่างทีเรียนเป็นตัวละครที่สมเหตุสมผลและมีตรรกะที่ปกติที่สุดแล้วในบรรดานักปกครอง ห่วงใยคนอื่นและไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง พูดง่ายๆ คือ เป็นคนที่มีตรรกะเพื่อมวลมนุษยชาติ
และถึงทีเรียนจะโดนประหารก็สมศักดิ์ศรีอยู่ดี
สุดท้ายมันเลยไม่สำคัญแล้วว่าทีเรียนจะตายรึเปล่า เพราะเป็นคนมีเกียรติและไม่เสียจุดยืนของตัวเอง
2. ซานซ่า สตาร์ค
ตอนแรกเราไม่ได้ชอบซานซ่าเลยนะ แต่มองอีกมุมนึงซานซ่านี่แหละที่เป็นตัวละครที่ "ผู้หญิ๊งผู้หญิง" ใสซื่อและอยู่ในวัยว้าวุ่น
ผู้หญิงทุกคนคงจะมียุคนี้เหมือนกับซานซ่าจนกระทั่งมีคนแย่ๆ คนนึงเข้ามาในชีวิต---ใครบ้างที่ไม่เคยเห็นกงจักรเป็นดอกบัว?
จากคนที่ดูไม่ออกว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี คุ้มดีคุ้มร้ายก็ได้เรียนรู้แล้วยอมรับอดีตทำให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ (Mature)
ซานซ่าต่างจากจอน สโนว์ตรงที่ใช้คนเป็น อาจจะไม่ได้มีลักษณะเป็นที่รักหรือวีรบุรุษเท่าจอน แต่ซานซ่าก็มีความเมตตาและปกป้องบ้านเกิด
สภาพแวดล้อมของชาวเหนือที่หนาวเหน็บเป็นธรรมดาที่คนจะ(เป็นโรค)หยิ่งและไม่ไว้ใจคนนอก ซีนที่มิสซานเดคุยกับเด็กในวินเทอร์เฟลบ่งบอกได้ดี ทุกฝ่ายต่างก็แปลกแยกจากกันและกัน
อย่างไรก็ตามซานซ่าก็บอกให้เปิดประตูรับคนที่จะหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ
ซานซ่าเหมาะสมแล้วที่ได้เป็นควีนแห่งแดนเหนือ
อีกอย่างเราชอบทีเรียนกับซานซ่า ซึ่งเรารู้สึกว่าตัวละคร 2 ตัวนี้เป็นเพื่อนกันจริงๆ แล้วก็เข้าใจกันแบบไม่ต้องพูด โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในห้องเก็บศพ
และสุดท้ายก็ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง
3. ธีออน เกร์จอย
คล้ายๆ กับซานซ่าคือแรกๆ ไม่ได้ชอบตัวละครตัวนี้เท่าไหร่
พูดตรงๆ เลยว่าธีออนเป็นตัวละครที่ขี้แพ้ (Loser) แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ขาดตัวละครนี้ไปไม่ได้ เพราะจริงๆแล้วธีออนไม่ใช่คนประเภทที่ไม่มีอะไรดีแต่แค่ไม่รู้จักตัวเองจริงๆ ต่างหาก
ธีออนก้ำกึ่งมากเลยว่าจะกลับบ้านหรือจะสู้เพื่อสตาร์คก็เลยเตลิดไปแบบนั้นแล้วยังหลงมัวเมาอยู่กับเรื่องตัณหาราคะ พอโดนโบลตันตัดอวัยวะเพศก็ดูเหมือนสูญเสียทุกอย่างแม้กระทั่งความนับถือตนเอง กลายเป็นตัวละครที่เกือบดำสนิทไปแล้ว
แต่สุดท้ายเราให้อภัยธีออนที่กลับมาแก้ไขในสิ่งที่ผิด ยอมรับตัวเอง ไม่มีแล้วความน้อยเนื้อต่ำใจและตายในหน้าที่อย่างกล้าหาญ
ปรบมือค่ะ
4. เดเนริส ทาร์เกเรียน
ดราคาลิสสสสสสสสสสสสสสสสสสส
เราขอเรียกคนนี้ว่าแม่มังกรนะคะ
แม่มังกรกับซานซ่าในซีซั่นแรกๆ นี่สวยใสพอกันเลยแต่เรื่องราวและเส้นทางชีวิตทำให้คนนึงสูญเสียตัวตนเดิมของตัวเอง(แม่มังกร) และอีกคนก็ค้นพบและเจอที่ของตัวเองในที่สุด (ซานซ่า)
แม่มังกรคือบทเรียนของคนที่เหลิงในอำนาจจนเผลอเล่นกับไฟโดยไม่ระวังตัว จนสุดท้ายแล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย
เราชอบตอนนึงจากซีซั่นไหนจำไม่ได้ที่แม่มังกรพูดชื่อและยศยาวๆ ของตัวเอง แล้วคนอื่นก็หัวเราะแล้วบอกประมาณว่า
"ฟังนะยัยยศยาวจริงๆ แล้วเธอมันไม่มีอะไรเลย" มันเป็นซีนที่บอกเล่าความเป็นแม่มังกรได้ดีมากๆ อีกอย่างคือไม่ใช่คนหลงตัวเองมาตั้งแต่แรก ออกจะดูเขินๆ ตอนโดนยอ แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่าง เช่น เหตุการณ์ความสูญเสีย ถูกหักหลังและการเล่นกับไฟอย่างถลำลึกทำให้กลายเป็นคนเสพติดสงคราม หรือไม่ดีเอ็นเอจากแม้ดคิงก็อาจจะมีส่วน...
เมื่อหลักการ ศีลธรรมและความถูกต้องถูกเผาทำลายวอดวายไปอย่างนั้น การปกครองของแม่มังกรจึงไม่ใช่อุดมคติอันดีที่ต้องการสร้างโลกเสรีแบบเดิม แต่มันเป็นการทำลายล้างต่างหาก
เรื่องตลกร้ายอีกอย่างคือ กองทัพของแม่มังกรส่วนใหญ่มีแต่ทหารชายขอบทั้งนั้น...อย่างกับซีรีส์กำลังบอกเราว่า หลักการและอุดมคติของแม่มังกรเป็นได้แค่หยาดทิพย์ชโลมใจของผู้คนที่ถูกเขี่ยออกนอกระบบเท่านั้นแหละ
เส้นทางการต่อสู้ของแม่มังกรถูกขีดให้อยู่ฝั่งคนชายขอบตั้งแต่แรกแล้วรึเปล่า?
อีกอย่างจะแน่ใจได้ยังไงว่าประชาชนในคิงส์แลนดิ้งหรืออาณาจักรอื่นๆ อยากเปิดโลกเสรีกับพวกคนเถื่อน?
5. จอน สโนว์กับแบรน สตาร์ค
คือขอเรียกจอน สโนว์แบบเดิมก็แล้วกัน เพราะซีซั่นนี้ทำให้ติดคำพูดว่า จอนเอ๊ยจอน 5555
ความตลกร้ายจริงๆ มันอยู่ตรงนี้
คนนึงเหมือนวีรบุรุษแต่ถูกผลักไสให้ไปอยู่ชายขอบกำแพง ส่วนอีกคนพิการและไม่ปกติกลับได้ครอบครองอาณาจักรทั้ง 7 ก็เจ็บกันไป
จริงๆ จอนน่าสงสารสมฉายาหมาป่าผู้โดดเดี่ยว ในซีซั่นแรกๆ จอนก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น และกล้าลุกขึ้นสู้ปกป้องเพื่อน แต่เพราะอย่างนั้นถึงถูกไนท์วอชมองว่าเป็นตัวประหลาด ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ใช่ข้ออ่อนด้อยแต่เรามองว่าจอนอยู่ผิดที่ผิดทางมากกว่า
จอนเอ๊ยแกคิดเหรอว่าโลกที่คนบกพร่องหรืออาชญากรมันจะมีสัจจะกับความเห็นอกเห็นใจกันน่ะ
พอถึงวิกฤติจริงๆ ในซีซั่นสุดท้ายถึงกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้แต่มันก็สายไปแล้ว
เราบอกว่าจอนเหมือนวีรบุรุษเพราะบุคคลิกแมนๆ ดาร์คๆ ซึ่งคนอื่นก็ชื่นชอบและให้เครดิตในการทำสงครามกับจอนมากกว่าแม่มังกร
แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้าจอนยังเป็นจอนอยู่แบบนี้ เขาก็จะเป็นนักปกครองที่ดีไม่ได้เช่นกัน
คนที่ตรรกะจัดและเอาแต่ปกป้องความคิดกับความรู้สึกตัวเองจะไปปกป้องหรือปกครองใครได้เหรอจอน
ส่วนแบรนก็ไม่มีความรู้สึกหรือกิเลสใดๆ อีกต่อไปแล้ว ทั้งจอนและแบรนใครปกครองก็เหมือนหุ่นยนต์มากกว่าคนทั้งนั้น
ในตอนสุดท้ายทั้งๆ ที่มีสิทธิ์ในการปกครองโดยสายเลือด ทั้งๆ ที่ฆ่าแม่มังกร ก็ยังมีโอกาสนะจอน แต่ก็ไม่ชิงเพื่อให้ได้มา...เราก็ยังมองบนว่าจอนนี่มันจอนจริงๆ
แต่ถ้าพูดแบบไม่ใจร้ายเกินไปเราคิดว่าจอนก็กำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่งั้นก็คงไม่บอกเรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเองให้แม่มังกรกับน้องๆ ฟังหรอก อีกอย่างมันดูเหมือนคนที่พยายามมีแพชชั่นแต่ยังติดอยู่กับความคิดของตัวเอง
ถ้าแม่มังกรคือไฟร้อน ส่วนจอนคือไฟเย็น ตอนที่จอนเอามีดแทงแม่มังกรเรานึกถึงบทกวี
Ice and Fire ของโรเบิร์ต ฟรอสต์
Some say the world will end in fire,
Some say in ice.
From what I've tasted of desire
I hold with those who favor fire.
But if it had to perish twice,
I think I know enough of hate
To say that for destruction ice
Is also great
And would suffice.
---Robert Frost
ถ้าโลกแตกครั้งแรกคือตอนที่แม่มังกรเผาคิงส์แลนดิ้ง โลกแตกครั้งที่สองก็คือตอนที่จอนเอามีดแทงหัวใจแม่มังกรนั่นแหละ
จะไฟร้อนหรือไฟเย็นมันก็เผาคนได้ทั้งนั้น
คนนึงแตกสลายดับสูญ
ส่วนอีกอีกคนก็ตายทั้งเป็น
สุดท้าย ถ้าตัดเรื่องชาติกำเนิดและอาณาจักรทั้ง 7 ออกไป บางทีคาสเซิลแบล็คนี่แหละที่เหมาะกับจอน และบางทีการได้อยู่กับเพื่อนรักและหมาที่รักจอนก็อาจจะละลายน้ำแข็งได้บ้าง...
6. อาร์ยา สตาร์ค
อาร์ยาเป็นคนที่รู้จักตัวเองมาตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วเดินทางไปตามนั้น
เราชื่นชมความเด็ดเดี่ยวของอาร์ยามากๆ นะคะ บวกกับสกิลตรีนแมวเราจึงชอบมากที่ซีรีส์เล่าเรื่องราวสงครามไฟท่วมผ่านอาร์ยา
ในขณะเดียวกันเราก็รู้สึกว่าอาร์ยาผูกพันกับจอนประมาณนึงเลย
ตอนที่บอกจอนว่าจะไม่กลับไปทางเหนืออีกเลยทำให้บทสรุปของสองพี่น้องมันเศร้าและน่าใจหายอย่างบอกไม่ถูก
และในตอนสุดท้ายเราดีใจที่อาร์ยาเติบโตแล้วก็กล้าหาญที่จะเลือกเส้นทางของตัวเอง
นี่เป็นอีกตัวละครที่แข็งแกร่งมากจริงๆ
_________________________________________________________________________________________________________
จากบัลลังก์เหล็กสุดท้ายก็กลายเป็นสภาโจ๊ก
ไม่ว่าจะพยายามแก้ไขยังไงโลกก็จะหมุนมาที่จุดเดิมคือ คนใหญ่คนโตจะมีอำนาจกดขี่ชนชั้นที่ต่ำกว่า(และกินกันไปอีกเป็นทอดๆ ....)
สภาโจ๊กของแบรนดูเงอะงะจนเหมือนตลกคาเฟ่ แถมจบแบบทำเหมือนกับว่าการต่อสู้ของแม่มังกรไม่เคยเกิดขึ้น บัลลังก์เหล็กถูกเผาแต่อำนาจก็ยังคงสืบทอดต่อไป และไม่มีอะไรเปลี่ยน
แบรนจะต่างอะไรกับเซอร์ซี่ที่ไม่สนใจและไม่เข้าใจประชาชน
เมื่อการต่อสู้เพื่อความฝันและอุดมคติที่สวยงามของแม่มังกรมาบรรจบกับความจริง เราจึงเห็นด้วยที่ซีรีส์จบแบบนี้ค่ะ
Unpopular opinion จากฝั่งคนที่ชอบ Game of Thrones ซีซั่น8
นี่เป็นกระทู้แรกที่หัดเขียนบทความยาวๆ เนื่องจากแวดวงเพื่อนสนิทพากันผิดหวังกับบทสรุปในซีซั่นสุดท้ายกัน และเราเป็นคนส่วนน้อยที่รู้สึกว่าชอบก็เลยอยากพูดอะไรบ้างเท่านั้นเองค่ะ
ทั้งหมดนี้จึงเป็นทัศนคติและความคิดเห็นส่วนตัว ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ
[คำเตือน: กระทู้นี้มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญ]
Games of Thrones เป็นซีรีส์เลือดเย็นที่พาคนดูเข้าไปในโลกแฟนตาซีแล้วในตอนท้ายก็ตบหน้ากันด้วยความจริง
ถ้าตอนจบแบ่งคนดูเป็นสองฝั่งคือ ชอบ-ไม่ชอบ เราอยู่ในฝั่งที่ชอบนะคะ 5555
ตอนที่รบกับไวท์วอค์เกอร์นี่มัน The Lord of the Ring ชัดๆ ขาดแค่แหวนกับกอลลั่ม (แล้วถ้าใต้กำแพงมีช่องว่างอยู่ด้วยละก็...ใช่เลย LOTR ชัดๆ 555)
แต่สิ่งที่ขัดในซีซั่นนี้จริงๆ เลยคือ ความรีบเหมือนต้องตัดจบ มันทำลายเสน่ห์ที่ซีซั่นก่อนๆ ทำไว้หมดเลย บรรยากาศความมืด ความหนาว ความไว้ใจไม่ได้ในแดนเหนือหายไปหมด
แล้วพอน้ำแข็งมาเจอกับไฟ(เปรียบเทียบ)ในซีนรบก็วุ่นวายไม่ต่างอะไรจากการตะลุมบอน
ยกเว้นตอนที่แม่มดแดงร่ายเวทมนต์ให้ดาบไฟลุกซึ่งเป็นซีนที่งดงามและมีพลัง หรือว่าจริงๆ แล้วความหวังและปาฎิหาริย์ที่แท้จริงก็คือแม่มดแดงไม่ใช่แม่มังกร?
เมื่อพูดถึงบทสรุปของตัวละครแต่ละตัวเราก็รู้สึกเศร้าแต่ไม่ประหลาดใจ เพราะมันตลกร้ายมากๆ (ในที่นี้ขอพูดถึงตัวละครที่น่าสนใจนะคะ)
จุดจบของเจมี่กับเซอร์ซี่ควรพังทลายปรอทแตกกว่านี้ เพราะเซอร์ซี่ก็เคยบอมบ์คนอื่น แล้วซีรีส์ก็เคยทำไว้ขลังมากๆ
สองแฝดนี้ควรพังทลายไปพร้อมกับกิเลสของตัวเองทั้งคู่ ไม่โรแมนติคแถมยังน่าอดสู ถึงบทจะเหมือนรีบไม่มีเวลาแล้ว แต่ทีเรียนก็แสดงออกได้สะเทือนใจ เจ็บใจและบีบคั้น
...เอาหล่ะค่ะ ขอเริ่มต้นด้วยการอวยตัวละครที่เราชอบที่สุดก่อนนะคะ
1. ทีเรียน แลนนิสเตอร์
ออกตัวไว้ก่อนเลยว่าเราชอบตัวละครตัวนี้มากๆ เริ่มจากการเป็นคนแคระเจ้าสำราญกลายมาเป็นมือขวาของกษัตริย์ เส้นทางชีวิตของทีเรียนทั้งเศร้า ขมขื่น ตื่นเต้น ผจญภัย
ทีเรียนเป็นคนมีน้ำใจคนนึงแต่ก็ขี้แซะด้วย
เรามองว่าความกล้าหาญที่จะออกจากเส้นทางเดิมๆ นั่นแหละที่ทำให้ทีเรียนฉลาดและมองการณ์ไกล
จุดอ่อนของทีเรียนคือ ความไว้ใจมนุษย์ ซึ่งเห็นชัดในซีซั่นนี้ทำให้มองคนผิดไป
อีกอย่างทีเรียนเป็นตัวละครที่สมเหตุสมผลและมีตรรกะที่ปกติที่สุดแล้วในบรรดานักปกครอง ห่วงใยคนอื่นและไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง พูดง่ายๆ คือ เป็นคนที่มีตรรกะเพื่อมวลมนุษยชาติ
และถึงทีเรียนจะโดนประหารก็สมศักดิ์ศรีอยู่ดี
สุดท้ายมันเลยไม่สำคัญแล้วว่าทีเรียนจะตายรึเปล่า เพราะเป็นคนมีเกียรติและไม่เสียจุดยืนของตัวเอง
2. ซานซ่า สตาร์ค
ตอนแรกเราไม่ได้ชอบซานซ่าเลยนะ แต่มองอีกมุมนึงซานซ่านี่แหละที่เป็นตัวละครที่ "ผู้หญิ๊งผู้หญิง" ใสซื่อและอยู่ในวัยว้าวุ่น
ผู้หญิงทุกคนคงจะมียุคนี้เหมือนกับซานซ่าจนกระทั่งมีคนแย่ๆ คนนึงเข้ามาในชีวิต---ใครบ้างที่ไม่เคยเห็นกงจักรเป็นดอกบัว?
จากคนที่ดูไม่ออกว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี คุ้มดีคุ้มร้ายก็ได้เรียนรู้แล้วยอมรับอดีตทำให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ (Mature)
ซานซ่าต่างจากจอน สโนว์ตรงที่ใช้คนเป็น อาจจะไม่ได้มีลักษณะเป็นที่รักหรือวีรบุรุษเท่าจอน แต่ซานซ่าก็มีความเมตตาและปกป้องบ้านเกิด
สภาพแวดล้อมของชาวเหนือที่หนาวเหน็บเป็นธรรมดาที่คนจะ(เป็นโรค)หยิ่งและไม่ไว้ใจคนนอก ซีนที่มิสซานเดคุยกับเด็กในวินเทอร์เฟลบ่งบอกได้ดี ทุกฝ่ายต่างก็แปลกแยกจากกันและกัน
อย่างไรก็ตามซานซ่าก็บอกให้เปิดประตูรับคนที่จะหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ
ซานซ่าเหมาะสมแล้วที่ได้เป็นควีนแห่งแดนเหนือ
อีกอย่างเราชอบทีเรียนกับซานซ่า ซึ่งเรารู้สึกว่าตัวละคร 2 ตัวนี้เป็นเพื่อนกันจริงๆ แล้วก็เข้าใจกันแบบไม่ต้องพูด โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในห้องเก็บศพ
และสุดท้ายก็ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง
3. ธีออน เกร์จอย
คล้ายๆ กับซานซ่าคือแรกๆ ไม่ได้ชอบตัวละครตัวนี้เท่าไหร่
พูดตรงๆ เลยว่าธีออนเป็นตัวละครที่ขี้แพ้ (Loser) แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ขาดตัวละครนี้ไปไม่ได้ เพราะจริงๆแล้วธีออนไม่ใช่คนประเภทที่ไม่มีอะไรดีแต่แค่ไม่รู้จักตัวเองจริงๆ ต่างหาก
ธีออนก้ำกึ่งมากเลยว่าจะกลับบ้านหรือจะสู้เพื่อสตาร์คก็เลยเตลิดไปแบบนั้นแล้วยังหลงมัวเมาอยู่กับเรื่องตัณหาราคะ พอโดนโบลตันตัดอวัยวะเพศก็ดูเหมือนสูญเสียทุกอย่างแม้กระทั่งความนับถือตนเอง กลายเป็นตัวละครที่เกือบดำสนิทไปแล้ว
แต่สุดท้ายเราให้อภัยธีออนที่กลับมาแก้ไขในสิ่งที่ผิด ยอมรับตัวเอง ไม่มีแล้วความน้อยเนื้อต่ำใจและตายในหน้าที่อย่างกล้าหาญ
ปรบมือค่ะ
4. เดเนริส ทาร์เกเรียน
ดราคาลิสสสสสสสสสสสสสสสสสสส
เราขอเรียกคนนี้ว่าแม่มังกรนะคะ
แม่มังกรกับซานซ่าในซีซั่นแรกๆ นี่สวยใสพอกันเลยแต่เรื่องราวและเส้นทางชีวิตทำให้คนนึงสูญเสียตัวตนเดิมของตัวเอง(แม่มังกร) และอีกคนก็ค้นพบและเจอที่ของตัวเองในที่สุด (ซานซ่า)
แม่มังกรคือบทเรียนของคนที่เหลิงในอำนาจจนเผลอเล่นกับไฟโดยไม่ระวังตัว จนสุดท้ายแล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย
เราชอบตอนนึงจากซีซั่นไหนจำไม่ได้ที่แม่มังกรพูดชื่อและยศยาวๆ ของตัวเอง แล้วคนอื่นก็หัวเราะแล้วบอกประมาณว่า
"ฟังนะยัยยศยาวจริงๆ แล้วเธอมันไม่มีอะไรเลย" มันเป็นซีนที่บอกเล่าความเป็นแม่มังกรได้ดีมากๆ อีกอย่างคือไม่ใช่คนหลงตัวเองมาตั้งแต่แรก ออกจะดูเขินๆ ตอนโดนยอ แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่าง เช่น เหตุการณ์ความสูญเสีย ถูกหักหลังและการเล่นกับไฟอย่างถลำลึกทำให้กลายเป็นคนเสพติดสงคราม หรือไม่ดีเอ็นเอจากแม้ดคิงก็อาจจะมีส่วน...
เมื่อหลักการ ศีลธรรมและความถูกต้องถูกเผาทำลายวอดวายไปอย่างนั้น การปกครองของแม่มังกรจึงไม่ใช่อุดมคติอันดีที่ต้องการสร้างโลกเสรีแบบเดิม แต่มันเป็นการทำลายล้างต่างหาก
เรื่องตลกร้ายอีกอย่างคือ กองทัพของแม่มังกรส่วนใหญ่มีแต่ทหารชายขอบทั้งนั้น...อย่างกับซีรีส์กำลังบอกเราว่า หลักการและอุดมคติของแม่มังกรเป็นได้แค่หยาดทิพย์ชโลมใจของผู้คนที่ถูกเขี่ยออกนอกระบบเท่านั้นแหละ
เส้นทางการต่อสู้ของแม่มังกรถูกขีดให้อยู่ฝั่งคนชายขอบตั้งแต่แรกแล้วรึเปล่า?
อีกอย่างจะแน่ใจได้ยังไงว่าประชาชนในคิงส์แลนดิ้งหรืออาณาจักรอื่นๆ อยากเปิดโลกเสรีกับพวกคนเถื่อน?
5. จอน สโนว์กับแบรน สตาร์ค
คือขอเรียกจอน สโนว์แบบเดิมก็แล้วกัน เพราะซีซั่นนี้ทำให้ติดคำพูดว่า จอนเอ๊ยจอน 5555
ความตลกร้ายจริงๆ มันอยู่ตรงนี้
คนนึงเหมือนวีรบุรุษแต่ถูกผลักไสให้ไปอยู่ชายขอบกำแพง ส่วนอีกคนพิการและไม่ปกติกลับได้ครอบครองอาณาจักรทั้ง 7 ก็เจ็บกันไป
จริงๆ จอนน่าสงสารสมฉายาหมาป่าผู้โดดเดี่ยว ในซีซั่นแรกๆ จอนก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น และกล้าลุกขึ้นสู้ปกป้องเพื่อน แต่เพราะอย่างนั้นถึงถูกไนท์วอชมองว่าเป็นตัวประหลาด ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ใช่ข้ออ่อนด้อยแต่เรามองว่าจอนอยู่ผิดที่ผิดทางมากกว่า
จอนเอ๊ยแกคิดเหรอว่าโลกที่คนบกพร่องหรืออาชญากรมันจะมีสัจจะกับความเห็นอกเห็นใจกันน่ะ
พอถึงวิกฤติจริงๆ ในซีซั่นสุดท้ายถึงกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้แต่มันก็สายไปแล้ว
เราบอกว่าจอนเหมือนวีรบุรุษเพราะบุคคลิกแมนๆ ดาร์คๆ ซึ่งคนอื่นก็ชื่นชอบและให้เครดิตในการทำสงครามกับจอนมากกว่าแม่มังกร
แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้าจอนยังเป็นจอนอยู่แบบนี้ เขาก็จะเป็นนักปกครองที่ดีไม่ได้เช่นกัน
คนที่ตรรกะจัดและเอาแต่ปกป้องความคิดกับความรู้สึกตัวเองจะไปปกป้องหรือปกครองใครได้เหรอจอน
ส่วนแบรนก็ไม่มีความรู้สึกหรือกิเลสใดๆ อีกต่อไปแล้ว ทั้งจอนและแบรนใครปกครองก็เหมือนหุ่นยนต์มากกว่าคนทั้งนั้น
ในตอนสุดท้ายทั้งๆ ที่มีสิทธิ์ในการปกครองโดยสายเลือด ทั้งๆ ที่ฆ่าแม่มังกร ก็ยังมีโอกาสนะจอน แต่ก็ไม่ชิงเพื่อให้ได้มา...เราก็ยังมองบนว่าจอนนี่มันจอนจริงๆ
แต่ถ้าพูดแบบไม่ใจร้ายเกินไปเราคิดว่าจอนก็กำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่งั้นก็คงไม่บอกเรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเองให้แม่มังกรกับน้องๆ ฟังหรอก อีกอย่างมันดูเหมือนคนที่พยายามมีแพชชั่นแต่ยังติดอยู่กับความคิดของตัวเอง
ถ้าแม่มังกรคือไฟร้อน ส่วนจอนคือไฟเย็น ตอนที่จอนเอามีดแทงแม่มังกรเรานึกถึงบทกวี Ice and Fire ของโรเบิร์ต ฟรอสต์
Some say the world will end in fire,
Some say in ice.
From what I've tasted of desire
I hold with those who favor fire.
But if it had to perish twice,
I think I know enough of hate
To say that for destruction ice
Is also great
And would suffice.
จะไฟร้อนหรือไฟเย็นมันก็เผาคนได้ทั้งนั้น
คนนึงแตกสลายดับสูญ
ส่วนอีกอีกคนก็ตายทั้งเป็น
สุดท้าย ถ้าตัดเรื่องชาติกำเนิดและอาณาจักรทั้ง 7 ออกไป บางทีคาสเซิลแบล็คนี่แหละที่เหมาะกับจอน และบางทีการได้อยู่กับเพื่อนรักและหมาที่รักจอนก็อาจจะละลายน้ำแข็งได้บ้าง...
6. อาร์ยา สตาร์ค
อาร์ยาเป็นคนที่รู้จักตัวเองมาตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วเดินทางไปตามนั้น
เราชื่นชมความเด็ดเดี่ยวของอาร์ยามากๆ นะคะ บวกกับสกิลตรีนแมวเราจึงชอบมากที่ซีรีส์เล่าเรื่องราวสงครามไฟท่วมผ่านอาร์ยา
ในขณะเดียวกันเราก็รู้สึกว่าอาร์ยาผูกพันกับจอนประมาณนึงเลย
ตอนที่บอกจอนว่าจะไม่กลับไปทางเหนืออีกเลยทำให้บทสรุปของสองพี่น้องมันเศร้าและน่าใจหายอย่างบอกไม่ถูก
และในตอนสุดท้ายเราดีใจที่อาร์ยาเติบโตแล้วก็กล้าหาญที่จะเลือกเส้นทางของตัวเอง
นี่เป็นอีกตัวละครที่แข็งแกร่งมากจริงๆ
_________________________________________________________________________________________________________
จากบัลลังก์เหล็กสุดท้ายก็กลายเป็นสภาโจ๊ก
ไม่ว่าจะพยายามแก้ไขยังไงโลกก็จะหมุนมาที่จุดเดิมคือ คนใหญ่คนโตจะมีอำนาจกดขี่ชนชั้นที่ต่ำกว่า(และกินกันไปอีกเป็นทอดๆ ....)
สภาโจ๊กของแบรนดูเงอะงะจนเหมือนตลกคาเฟ่ แถมจบแบบทำเหมือนกับว่าการต่อสู้ของแม่มังกรไม่เคยเกิดขึ้น บัลลังก์เหล็กถูกเผาแต่อำนาจก็ยังคงสืบทอดต่อไป และไม่มีอะไรเปลี่ยน
แบรนจะต่างอะไรกับเซอร์ซี่ที่ไม่สนใจและไม่เข้าใจประชาชน
เมื่อการต่อสู้เพื่อความฝันและอุดมคติที่สวยงามของแม่มังกรมาบรรจบกับความจริง เราจึงเห็นด้วยที่ซีรีส์จบแบบนี้ค่ะ