สวัสดีค่าาาเพื่อนๆๆทุกคนนน
(โดยเฉพาะคนที่กำลังจะสอบIELTS)
บอกก่อนเลยนะคะ กระทู้นี้เราอยากจะมาให้กำลังใจและแนะนำคนที่เพิ่งเริ่มเตรียมตัวสอบIELTS
ตัวเราเองไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แล้วคะแนนเราก็แค่พอผ่าน แต่เรารู้ว่าตลอดการอ่านหนังสือเพื่อที่จะไปสอบ มันต้องใช้ความขยันหมั่นเพียร ความพยายาม เนื่องจากราคาสอบค่อนข้างสูงมากมาก อาจจะเป็นสิ่งที่กดดันหลายๆๆคน ใครจะดราม่าหรือว่ายังไง กดออกเลยนะคะ
เรามีเวลาเตรียมตัวในการสองแค่ 2 อาทิตย์ ไม่เคยสอบมาก่อนเลย แต่เรามีพื้นฐานภาษาอังกฤษ และ พยายามใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น (ฟังเพลง ดูหนัง คุยกับเพื่อนต่างชาติ หรือพูดคนเดียว5555555555555) เราจะพยายามแนะนำให้ดีที่สุดนะคะฮึบบบบบบ
เริ่มเลยค่าาาาาาา!
วิธีการเตรีมตัวในแต่ละ part ฉบับคนขี้แงแบบเราาา5555555555555
1. Listening
เราใช้หนังสือ Cambridge ตั้งแต่เล่ม 13 จนถึงประมาณเล่มที่ 6 แล้วก็ฟังทำแบบทดสอบไปเลย
เราจะทำ listening ทีเดียวเลย แบบไม่พัก เพราะเวลาสอบ เขาจะให้เราฟังรอบเดียว ครั้งเดียว ตลอดจนการสอบฟัง แต่จะมีเวลาให้เราย้ายคำตอบลงกระดาษคำตอบประมาณ 10 นาที สามารถหาฟัง listening ได้จาก youtube เลยนะคะ search เล่นหนังสือ และ test ชุดอะไร
เทคนิคเราคือ
- เดาคำตอบ แล้ว จด!!!!!!! จดเป็น key words ไว้ เช่น ตรงนี้น่าจะสถานที่ ตรงนี้น่าจะตัวเลข น่าจะชื่อคน แล้วเวลาเราฟัง เราจะเหมือนมีแนวทางในการฟังมากขึ้น Part แรก กับ สอง ควรจะได้เต็มนะคะ ถ้าอยากให้คะแนนออกมาดี เพราะเก็บค่อนข้างง่าย
- พยายามตาต้องไว้ รีบอ่านโจทย์ข้อต่อไปรอเลยนะคะ มือไว้ ตาไว้ หูไว้ สิ่งสำคัญมากมากๆๆๆของพาทนี้
- อ่านแล้วพยายามเข้าใจว่าบทสนทนานี้เกี่ยวกับอะไรเช่น การจองโรงแรม การแลกเปลี่ยนสินค้า เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เผื่อจะได้รู้ว่า general idea เป็นยังไง
*นอกจากฟังอันนี้แล้ว เราเป็นคนชอบดู seris มากมากๆ แล้วก็เชื่อว่า มันช่วยจริงๆ เราดูแบบ sub eng นะคะ หรือบางทีก็ไม่มีsub เลยแล้วแต่หนังเรื่องนั้น แล้วถ้าเวลาไปดูหนังโรงที่เป็นซับไทย แล้วจะพยายามไม่อ่านซับ พยายามฟังเองก่อน สำหรับเรา ส่วนยากของอันนี้คือ พาทที่มันเป็น mutiple choices อันนี้เราเองก็ไม่ค่อยทันเท่าไหร่ เพราะมันแต่อ่านช้อยส์จนฟังไม่ทันนน แงงงง*
2. Reading
เป็นpart ที่เราเสียน้ำตาเยอะที่สุดให้กับมัน55555555555 มันไม่ได้ยากนะทุกคน มันแค่หาไม่เจอ!!!! หงุดหงิดมากกกกกเวลาที่ อ๋ออ อยู่นี้เอง แนะนำนะคะะ คำตอบอยู่ในนั้นแหละจริงๆ ไม่ไปไหนเลย หาอ่าน วนในนั้น แล้วคุณก็จะเจอเอง
เทคนิคเราคือ
- เราจะแบ่งเวลาไม่เหมือนคนอื่น
เขาจะให้เรา
60 นาทีในการทำ 3 เนื้อเรื่อง เราจะแบ่งเวลาทำเป็น 17/20/23 หมายความว่า 17 นาทีแรกทำอันแรก 20 นาทีต่อมาทำอันที่สอง แล้ว 23 นาทีสุดท้ายทำอันหลังสุด เพราะว่าสำหรับเราอันแรกค่อนข้างง่าย และอันหลังค่อนข้างยาก ตอนแรกฝึกทำอาจจะทรมานนิดนึงนะคะ แต่ว่าสำหรับเรา เราว่ามันจะทำให้เราทำอันสุดท้ายได้ทัน เพราะจริงๆแล้ว reading ของ IELTS ไม่ได้ยาก แค่มันต้องใช้เวลาหา บวกกับเวลาที่ทำให้ข้อสอบนี้เป็น speed test
- เวลาอ่านจบ 1 พารากราฟ เราชอบเขียนสรุปสั้นๆ ไว้ข้างๆพารากราฟว่าเนื้อหาของส่วนนี้เกี่ยวกับอะไรเช่น the benefits of water ประมาณสัก 1-2 ประโยค เผื่อว่าตอนหลังเรากลับมาหาคำตอบมันก็จะได้ง่าย และ ประหยัดเวลาหามากขึ้นนะคะ (เราเองไม่ได้เก่งมาก ก็ทำแค่บางพารากราฟที่คิดว่าคำตอบน่าจะอยู่ในนั้น)
- ขีดเส้นใต้ วงกลมคำสำคัญ!!!! สำคัญมากมากมากๆๆๆๆๆๆ ชื่อคน ปีพ.ศ ตัวเอียง คำหนา ชื่อเฉพาะ ควรขีดเส้น หรือวงกลมนะคะ เพราะส่วนใหญ่มันจะเป็น key messages ที่อาจจะอยู่ในทั้งคำตอบ และ คำถาม
- ไม่ต้องกลัวนะคว่า บทความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ แล้วอ่าววว ไม่ได้เรียนสายวิทย์มาทำยังไง ไม่ต้องกลัวนะคะ เราเองไม่ได้เรียนมา แต่เราว่ามันอ่านเข้าใจได้ เพราะข้อสอบเขา หยิบยกมาแค่บางส่วน อ่านแล้วหาคำตอบพอ เรื่องไหนเข้าใจได้ เข้าใจ แต่ถ้าเรื่องไหนไม่เข้าใจ หาคำตอบ หา key ideas แล้วตอบก็พอแล้วววว
*สิ่งที่เราว่าง่ายคือ พาทที่ให้เราหาคำศัพท์ จาก passage แล้วนำมาเติม แบบนี้เราว่าควรจะทำให่ส่วนนี้ได้คะแนนดีๆ เผื่อที่จะได้ให้คะแนน reading ออกมาดีนะคะ*
3. Writing
ถ้าพูดตรงๆเลย เราใช้แต้มบุญเก่าที่เรามีมาด้วยย และ เราต้องขอขอบคุณ IELTS LIZ เพราะเราผ่านเพราะนางจริงๆๆๆๆๆ เราเข้าไปนั่งอ่านวิธีการเขียน ทั้งในเว็บ และ youtube ของนางทั้งหมดทุกคลิป ทุกessay ที่นางเขียน
website:
https://ieltsliz.com/
youtube:
https://www.youtube.com/results?search_query=liz
แต่ถ้าเวลาเราอยากเรียนแกรมม่าเพิ่มเติม หรือหาข้อมูลเกี่ยวกับไวยกรณ์และการใช้ เราจะดูคนที่ชื่อดัม (English Lessons with Adam) ในyoutube
https://www.youtube.com/user/EnglishTeacherAdam
เทคนิคเราคือ
- เราจะอ่าน essay ที่นางเขียนแล้วมา highlight คำหรือประโยคที่เราคิดว่ามันสวย และสามารถเอาไปใช้ต่อได้ ศัพท์ที่เขียนแล้วดูดี หรือ phrase บางอันที่คิดว่าแล้วจะทำให้คะแนนเพิ่ม เราจะหยิบออกมา แล้วจดแยกลงไปในสมุดของเรา เราใช้วิธีนี้ ทั้ง task 1 และ task 2
- Task 1 คือศัพท์เฉพาะที่เอาไว้เขียน graph, pie chart, bar graph ตรงนี้คือเราจะไปหาศัพท์มาเลย แล้วก็ศึกษาวิธีการใช้ และ รูปประโยคต่างๆ
- Take 2 เราจะพยายามใช้ complex sentences ไม่ใช้ simple sentences เลย ดูเรื่องแกรมม่า สะกดคำ หรือว่า word choices เยอะๆ เนื้อหาข้างในเราว่า ไม่ได้ต้องเลิศเลอเว่อร์วังขนาดนั้น เอาให้แค่สมเหตุสมผล และมีน้ำหนัก support thesis ของเราได้ ก็โอเคแล้วววว
4. Speaking
เราเป็นคนพูดเยอะเป็นทุนเดิม แล้วไม่ค่อยกลัวการพูดเท่าไหร่ ส่วนนี้เราเลยไม่ได้ฝึกอะไรมากมาย ส่วนใหญ่เราจะไปดูว่ามี topic อะไรบาง แล้วก็ชอบนึกคำตอบไว้ในใจ แต่เราไม่ได้เขียนนะ เพราะเราไม่อยากจะ ฟิคว่า เราจะตอบแบบนี้ เพราะบางครั้งเราก็ไม่ได้ตอบแบบเดิม เปลี่ยนไปตามอารมณ์
เทคนิคเราคือ
- บางทีเราชอบหาคลิปในyoutube เช่น Ielts speaking band 7.5-8 แล้วก็ดูว่าเขาใช้คำอะไรบาง แล้วพยายามจดออกมา แล้วก็ดูว่า วิธีการตอบ ท่าที น้ำเสียง เขาทำยังไง แล้วก็จดไว้เลยว่าเราควรทำแบบนี้ เรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพราะบางที speaking มันค่อนข้างจะ flexible เหมือนเทียบกับอันอื่นๆ มันไม่ได้มีอะไรตายตัว
- เวลาเราตอบคำถาม เราใช้ S T A R technique ในการตอบทุกครั้งจริงๆๆๆๆๆ ซึ่งเราว่ามันดีมากมากมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
วิธีการใช้คือ S = Situation / T = Task / A = Action / R = Result
สมมุติว่าคำถามคือ What is the biggest mistake in your life?
ในหัวตอนนั้นของเรา คงมีเป็นสิบๆๆอย่างที่อยากจะตอบแต่ควรจะเลือกมาแค่ 1 อย่างที่ดีที่สุดในการตอบ โดยเริ่มจาก
1. Situation ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น = ตอนนั้นย้อนหลับไปม.ปลาย ก่อนที่จะเข้ามหาลัย
2. Task สิ่งที่ต้องไป = ฉันควรต้องตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อที่จะสอบเข้ามหาลัย
3. Action การกระทำ = สอบไม่ตั้งใจเรียน โดดเรียนเล่นตลอด ไม่ฟังใคร หนีเที่ยว
4. Result ผลลัพธ์ = สอบตก ติดเอฟ เกือบโดยายบลาๆๆๆๆ
อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะคิดในหัวตลอดว่าเราจะ organize คำตอบเรายังไง เพราะเราชอบพูดเยอะโดยที่ไม่สนใจว่า เนื้อหามันเรียงลำดับเข้าใจรึเปล่า แต่เวลาเราใช้ STAR มันทำให้เรารู้ว่าเราควรพูดอะไรต่อไป อันนี้สามารถใช้ได้กับทุกๆๆๆ speaking testนะคะ ไม่ว่าจะเป็น สอบเข้า สัมภาษณ์งาน ทั้งภาษาอังกฤษ และ ไทย
สิ่งที่ควรจะมีในการสอบไอเอล
1. หนังสือเลยที่ควรจะมี คือ cambridge office IELTS เราทำตั้งแต่เล่ม 7 ถึง 13 แต่ตอนนี้คิดว่าล่าสุดน่าจะมี 14 เราซื้อจากร้านใต้ศูนย์หนังสือจุฬา เป็นร้านป้ายสีเขียวๆ สามารถเดินเข้าไปบอกได้เลยว่าอยากซื้อหนังสือไอเอล หรือจริงๆในเน็ตมีไฟล์แจกนะคะ ลองหาดูได้ แต่เราถนัดทำในกระดาษมากกว่า


2. Flash card สำหรับเรา เราว่ามันสำคัญมากมากๆๆๆๆๆ เวลาเราทำ reading and listening แล้วเจอศัพท์ที่แปลไม่ออก เราจะเป็นดิก แล้วทำความเข้าใจ แล้วจะจดลงใน flash card ทุกคำ เราจะนำสิ่งนี้ติดตัวเราตลอดเวลา ว่างก็จะหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน อ่านน้า อ่านหลัง จดกว่าจะจำได้ เราเชื่อว่าคัพท์ของไอเอลมันวนนะ อ่านไปเรื่อยๆ ท่องไปเรื่อยๆ จะเจอคำเดิมๆๆ

3. เกมส์ แน่นอน อ่านไปเรื่อยๆก็ต้องคลายเครียด เราแนะนำเกมส์ชื่อ Hidden Hotel” เป็นเกมส์ที่เราเล่นตอนจะสอบไอเอล เล่นเกมส์ได้คลายความเครียดแล้วก็ได้ความรู้ เพราะว่าเกมส์นี้เป็นเกมส์หาของทุกคนนเหมือนเราต้องหาของ โดยที่เขาจะให้ศัพท์ภาษาอังกฤษเรามา ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคำไหนเราไม่รู้เราก็จะเปิดดิก แล้วก็จดคำที่ไม่รู้ลงไปใน flash card เหมือนเดิม

4. Note to yourself เราชอบเขียนอะไรแบบนี้ให้กำลังใจตัวเอง เพราะเราชื่อว่า ร้อยคนให้กำลังใจเรา ไม่เท่ากับตัวเราเองที่ให้กำลังใจนะคะ
อยากจะมอบกำลังให้ให้เพื่อนๆหลายๆคน
เราเป็นคนขี้แงมากมาก ร้องไห้ตอนทำแทบจะทุกครั้ง รู้สึกหลายๆอารมณืร่วมเข้าด้วยกันและ เราไม่ได้เป็นคนเก่งเลย แทบมีเวลาจำกัดในการอ่านแค่ สองอาทิตย์ แทบค่าสอบก็แสนจะแพง แล้วไม่อยากสอบหลายรอบคิดแล้วว่า ครั้งเดียวอยากให้ผ่านเลย ตอนนั้นเราเครียดมากมากๆ อ่านทุกวัน ทำทุกวันจริงๆ แรกๆเราทำแบบชิวๆไม่จับเวลา ค่อยๆๆอ่านทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ พอเราเริ่มชินกับข้อสอบแล้ว เราค่อยจับเวลาตามที่เราบอก
เคยเป็นไหม? ทุกครั้งเวลานับคะแนนหลังทำเสร็จแล้วจะเครียดทุกครั้งเวลาที่คะแนนแย่ หรือ คะแนนลด วิธีการทำของเราคือ เราจะไม่นับคะแนน แต่!!!!! ทุกครั้งเวลาข้อไหนผิด ไม่ว่าจะเป็นพาทไหนๆ เราจะทำความเข้าใจกับมัน จะค่อยๆอ่าน แก้ จนกว่าจะเข้าใจและไม่ข้ามข้อนั้น ถามใครก็ได้ หาศัพท์แปลให้หมดจนกว่าจะเข้าใจ
เหตุการณ์ ไม่นับคะแนนของเราเกิดแค่เฉพาะพาท reading ไม่รู้ทำไมเหมือนกันน ตอนนั้นเรามองว่าการที่เราไม่นับคะแนนมันทำให้เรามีกำลังใจในการทำต่อ เราไม่อยากให้แค่ตัวเลขที่ออกมา มันทำให้เราท้อ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะคะว่าเพื่อนๆมีวิธีการแบบไหนน จะนับหรือไม่นับคะแนนก็ได้
เราอยากให้ทุกคนคิดว่า มันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆในการเตรียมตัวสอบ บางคนอาจจะเป็นหลายอาทิตย์ หลายเดือน หรือเป็นปี แต่เราอยากให้มองว่า เราไม่ได้อยู่กับสิ่งนี้ไปตลอดชีวิตแน่ๆ เราทำเป็นช่วงเวลาสั้นๆถ้าเทียบกับชีวิตของเรา หลังจากที่เราได้คะแนนผลสอบอันนี้ออกมา มันอาจจะปลดล็อคเราหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การที่เราได้ไปเรียนต่อต่างประเทส ได้มหาลัยดีๆที่เราจะอยู่ หรือว่าการเลื่อนตำแหน่งงาน ทุกคนมเหตุผลข้างหลังในการสอบอยู่แล้ว ให้มองว่าสิ่งที่เราทำวันนี้ มันจะเป็นให้เราได้ในสิ่งที่เราอยากได้มาตลอด ถ้าวันไหนที่ท้อ หรือ เครียด เราขอเป็นกำลังใจเล็กๆตรงนี้ให้เสมอนะ ก้มหน้าก้มตาทำไปให้สำเร็จ แล้ววันที่เราเงยหน้าขึ้นมา สิ่งดีๆจะรอเราอยู่แน่นอน สู้ๆๆนะคะทุกคน ขอให้ได้คะแนนตามที่ใจต้องการนะะะ
เราเชื่อเสมอว่า “hard work always pays off”
ปล.ถ้าเราพิมอะไรผิดไป หรือว่าข้อมูลอะไรไม่ครบ ต้องขอโทษไว้ก่อนเลยน้าค้าาา เราแค่อยากมาให้กำลังใจ และแนะนำทริคส่วนตัวที่เราใช้ค้าาาาาา
ให้กำลังใจโครตๆๆๆๆๆ + แนะนำสำหรับคนกำลังจะเริ่มสอบ IELTS (จากคนขี้แงร้องไปทำไป)
บอกก่อนเลยนะคะ กระทู้นี้เราอยากจะมาให้กำลังใจและแนะนำคนที่เพิ่งเริ่มเตรียมตัวสอบIELTS
ตัวเราเองไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แล้วคะแนนเราก็แค่พอผ่าน แต่เรารู้ว่าตลอดการอ่านหนังสือเพื่อที่จะไปสอบ มันต้องใช้ความขยันหมั่นเพียร ความพยายาม เนื่องจากราคาสอบค่อนข้างสูงมากมาก อาจจะเป็นสิ่งที่กดดันหลายๆๆคน ใครจะดราม่าหรือว่ายังไง กดออกเลยนะคะ
เรามีเวลาเตรียมตัวในการสองแค่ 2 อาทิตย์ ไม่เคยสอบมาก่อนเลย แต่เรามีพื้นฐานภาษาอังกฤษ และ พยายามใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น (ฟังเพลง ดูหนัง คุยกับเพื่อนต่างชาติ หรือพูดคนเดียว5555555555555) เราจะพยายามแนะนำให้ดีที่สุดนะคะฮึบบบบบบ
เริ่มเลยค่าาาาาาา!
วิธีการเตรีมตัวในแต่ละ part ฉบับคนขี้แงแบบเราาา5555555555555
1. Listening
เราใช้หนังสือ Cambridge ตั้งแต่เล่ม 13 จนถึงประมาณเล่มที่ 6 แล้วก็ฟังทำแบบทดสอบไปเลย
เราจะทำ listening ทีเดียวเลย แบบไม่พัก เพราะเวลาสอบ เขาจะให้เราฟังรอบเดียว ครั้งเดียว ตลอดจนการสอบฟัง แต่จะมีเวลาให้เราย้ายคำตอบลงกระดาษคำตอบประมาณ 10 นาที สามารถหาฟัง listening ได้จาก youtube เลยนะคะ search เล่นหนังสือ และ test ชุดอะไร
- เดาคำตอบ แล้ว จด!!!!!!! จดเป็น key words ไว้ เช่น ตรงนี้น่าจะสถานที่ ตรงนี้น่าจะตัวเลข น่าจะชื่อคน แล้วเวลาเราฟัง เราจะเหมือนมีแนวทางในการฟังมากขึ้น Part แรก กับ สอง ควรจะได้เต็มนะคะ ถ้าอยากให้คะแนนออกมาดี เพราะเก็บค่อนข้างง่าย
- พยายามตาต้องไว้ รีบอ่านโจทย์ข้อต่อไปรอเลยนะคะ มือไว้ ตาไว้ หูไว้ สิ่งสำคัญมากมากๆๆๆของพาทนี้
- อ่านแล้วพยายามเข้าใจว่าบทสนทนานี้เกี่ยวกับอะไรเช่น การจองโรงแรม การแลกเปลี่ยนสินค้า เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เผื่อจะได้รู้ว่า general idea เป็นยังไง
*นอกจากฟังอันนี้แล้ว เราเป็นคนชอบดู seris มากมากๆ แล้วก็เชื่อว่า มันช่วยจริงๆ เราดูแบบ sub eng นะคะ หรือบางทีก็ไม่มีsub เลยแล้วแต่หนังเรื่องนั้น แล้วถ้าเวลาไปดูหนังโรงที่เป็นซับไทย แล้วจะพยายามไม่อ่านซับ พยายามฟังเองก่อน สำหรับเรา ส่วนยากของอันนี้คือ พาทที่มันเป็น mutiple choices อันนี้เราเองก็ไม่ค่อยทันเท่าไหร่ เพราะมันแต่อ่านช้อยส์จนฟังไม่ทันนน แงงงง*
2. Reading
เป็นpart ที่เราเสียน้ำตาเยอะที่สุดให้กับมัน55555555555 มันไม่ได้ยากนะทุกคน มันแค่หาไม่เจอ!!!! หงุดหงิดมากกกกกเวลาที่ อ๋ออ อยู่นี้เอง แนะนำนะคะะ คำตอบอยู่ในนั้นแหละจริงๆ ไม่ไปไหนเลย หาอ่าน วนในนั้น แล้วคุณก็จะเจอเอง
เทคนิคเราคือ
- เราจะแบ่งเวลาไม่เหมือนคนอื่น เขาจะให้เรา 60 นาทีในการทำ 3 เนื้อเรื่อง เราจะแบ่งเวลาทำเป็น 17/20/23 หมายความว่า 17 นาทีแรกทำอันแรก 20 นาทีต่อมาทำอันที่สอง แล้ว 23 นาทีสุดท้ายทำอันหลังสุด เพราะว่าสำหรับเราอันแรกค่อนข้างง่าย และอันหลังค่อนข้างยาก ตอนแรกฝึกทำอาจจะทรมานนิดนึงนะคะ แต่ว่าสำหรับเรา เราว่ามันจะทำให้เราทำอันสุดท้ายได้ทัน เพราะจริงๆแล้ว reading ของ IELTS ไม่ได้ยาก แค่มันต้องใช้เวลาหา บวกกับเวลาที่ทำให้ข้อสอบนี้เป็น speed test
- เวลาอ่านจบ 1 พารากราฟ เราชอบเขียนสรุปสั้นๆ ไว้ข้างๆพารากราฟว่าเนื้อหาของส่วนนี้เกี่ยวกับอะไรเช่น the benefits of water ประมาณสัก 1-2 ประโยค เผื่อว่าตอนหลังเรากลับมาหาคำตอบมันก็จะได้ง่าย และ ประหยัดเวลาหามากขึ้นนะคะ (เราเองไม่ได้เก่งมาก ก็ทำแค่บางพารากราฟที่คิดว่าคำตอบน่าจะอยู่ในนั้น)
- ขีดเส้นใต้ วงกลมคำสำคัญ!!!! สำคัญมากมากมากๆๆๆๆๆๆ ชื่อคน ปีพ.ศ ตัวเอียง คำหนา ชื่อเฉพาะ ควรขีดเส้น หรือวงกลมนะคะ เพราะส่วนใหญ่มันจะเป็น key messages ที่อาจจะอยู่ในทั้งคำตอบ และ คำถาม
- ไม่ต้องกลัวนะคว่า บทความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ แล้วอ่าววว ไม่ได้เรียนสายวิทย์มาทำยังไง ไม่ต้องกลัวนะคะ เราเองไม่ได้เรียนมา แต่เราว่ามันอ่านเข้าใจได้ เพราะข้อสอบเขา หยิบยกมาแค่บางส่วน อ่านแล้วหาคำตอบพอ เรื่องไหนเข้าใจได้ เข้าใจ แต่ถ้าเรื่องไหนไม่เข้าใจ หาคำตอบ หา key ideas แล้วตอบก็พอแล้วววว
*สิ่งที่เราว่าง่ายคือ พาทที่ให้เราหาคำศัพท์ จาก passage แล้วนำมาเติม แบบนี้เราว่าควรจะทำให่ส่วนนี้ได้คะแนนดีๆ เผื่อที่จะได้ให้คะแนน reading ออกมาดีนะคะ*
3. Writing
ถ้าพูดตรงๆเลย เราใช้แต้มบุญเก่าที่เรามีมาด้วยย และ เราต้องขอขอบคุณ IELTS LIZ เพราะเราผ่านเพราะนางจริงๆๆๆๆๆ เราเข้าไปนั่งอ่านวิธีการเขียน ทั้งในเว็บ และ youtube ของนางทั้งหมดทุกคลิป ทุกessay ที่นางเขียน
website: https://ieltsliz.com/
youtube: https://www.youtube.com/results?search_query=liz
แต่ถ้าเวลาเราอยากเรียนแกรมม่าเพิ่มเติม หรือหาข้อมูลเกี่ยวกับไวยกรณ์และการใช้ เราจะดูคนที่ชื่อดัม (English Lessons with Adam) ในyoutube
https://www.youtube.com/user/EnglishTeacherAdam
เทคนิคเราคือ
- เราจะอ่าน essay ที่นางเขียนแล้วมา highlight คำหรือประโยคที่เราคิดว่ามันสวย และสามารถเอาไปใช้ต่อได้ ศัพท์ที่เขียนแล้วดูดี หรือ phrase บางอันที่คิดว่าแล้วจะทำให้คะแนนเพิ่ม เราจะหยิบออกมา แล้วจดแยกลงไปในสมุดของเรา เราใช้วิธีนี้ ทั้ง task 1 และ task 2
- Task 1 คือศัพท์เฉพาะที่เอาไว้เขียน graph, pie chart, bar graph ตรงนี้คือเราจะไปหาศัพท์มาเลย แล้วก็ศึกษาวิธีการใช้ และ รูปประโยคต่างๆ
- Take 2 เราจะพยายามใช้ complex sentences ไม่ใช้ simple sentences เลย ดูเรื่องแกรมม่า สะกดคำ หรือว่า word choices เยอะๆ เนื้อหาข้างในเราว่า ไม่ได้ต้องเลิศเลอเว่อร์วังขนาดนั้น เอาให้แค่สมเหตุสมผล และมีน้ำหนัก support thesis ของเราได้ ก็โอเคแล้วววว
4. Speaking
เราเป็นคนพูดเยอะเป็นทุนเดิม แล้วไม่ค่อยกลัวการพูดเท่าไหร่ ส่วนนี้เราเลยไม่ได้ฝึกอะไรมากมาย ส่วนใหญ่เราจะไปดูว่ามี topic อะไรบาง แล้วก็ชอบนึกคำตอบไว้ในใจ แต่เราไม่ได้เขียนนะ เพราะเราไม่อยากจะ ฟิคว่า เราจะตอบแบบนี้ เพราะบางครั้งเราก็ไม่ได้ตอบแบบเดิม เปลี่ยนไปตามอารมณ์
เทคนิคเราคือ
- บางทีเราชอบหาคลิปในyoutube เช่น Ielts speaking band 7.5-8 แล้วก็ดูว่าเขาใช้คำอะไรบาง แล้วพยายามจดออกมา แล้วก็ดูว่า วิธีการตอบ ท่าที น้ำเสียง เขาทำยังไง แล้วก็จดไว้เลยว่าเราควรทำแบบนี้ เรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพราะบางที speaking มันค่อนข้างจะ flexible เหมือนเทียบกับอันอื่นๆ มันไม่ได้มีอะไรตายตัว
- เวลาเราตอบคำถาม เราใช้ S T A R technique ในการตอบทุกครั้งจริงๆๆๆๆๆ ซึ่งเราว่ามันดีมากมากมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
วิธีการใช้คือ S = Situation / T = Task / A = Action / R = Result
สมมุติว่าคำถามคือ What is the biggest mistake in your life?
ในหัวตอนนั้นของเรา คงมีเป็นสิบๆๆอย่างที่อยากจะตอบแต่ควรจะเลือกมาแค่ 1 อย่างที่ดีที่สุดในการตอบ โดยเริ่มจาก
1. Situation ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น = ตอนนั้นย้อนหลับไปม.ปลาย ก่อนที่จะเข้ามหาลัย
2. Task สิ่งที่ต้องไป = ฉันควรต้องตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อที่จะสอบเข้ามหาลัย
3. Action การกระทำ = สอบไม่ตั้งใจเรียน โดดเรียนเล่นตลอด ไม่ฟังใคร หนีเที่ยว
4. Result ผลลัพธ์ = สอบตก ติดเอฟ เกือบโดยายบลาๆๆๆๆ
อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะคิดในหัวตลอดว่าเราจะ organize คำตอบเรายังไง เพราะเราชอบพูดเยอะโดยที่ไม่สนใจว่า เนื้อหามันเรียงลำดับเข้าใจรึเปล่า แต่เวลาเราใช้ STAR มันทำให้เรารู้ว่าเราควรพูดอะไรต่อไป อันนี้สามารถใช้ได้กับทุกๆๆๆ speaking testนะคะ ไม่ว่าจะเป็น สอบเข้า สัมภาษณ์งาน ทั้งภาษาอังกฤษ และ ไทย
สิ่งที่ควรจะมีในการสอบไอเอล
1. หนังสือเลยที่ควรจะมี คือ cambridge office IELTS เราทำตั้งแต่เล่ม 7 ถึง 13 แต่ตอนนี้คิดว่าล่าสุดน่าจะมี 14 เราซื้อจากร้านใต้ศูนย์หนังสือจุฬา เป็นร้านป้ายสีเขียวๆ สามารถเดินเข้าไปบอกได้เลยว่าอยากซื้อหนังสือไอเอล หรือจริงๆในเน็ตมีไฟล์แจกนะคะ ลองหาดูได้ แต่เราถนัดทำในกระดาษมากกว่า
2. Flash card สำหรับเรา เราว่ามันสำคัญมากมากๆๆๆๆๆ เวลาเราทำ reading and listening แล้วเจอศัพท์ที่แปลไม่ออก เราจะเป็นดิก แล้วทำความเข้าใจ แล้วจะจดลงใน flash card ทุกคำ เราจะนำสิ่งนี้ติดตัวเราตลอดเวลา ว่างก็จะหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน อ่านน้า อ่านหลัง จดกว่าจะจำได้ เราเชื่อว่าคัพท์ของไอเอลมันวนนะ อ่านไปเรื่อยๆ ท่องไปเรื่อยๆ จะเจอคำเดิมๆๆ
3. เกมส์ แน่นอน อ่านไปเรื่อยๆก็ต้องคลายเครียด เราแนะนำเกมส์ชื่อ Hidden Hotel” เป็นเกมส์ที่เราเล่นตอนจะสอบไอเอล เล่นเกมส์ได้คลายความเครียดแล้วก็ได้ความรู้ เพราะว่าเกมส์นี้เป็นเกมส์หาของทุกคนนเหมือนเราต้องหาของ โดยที่เขาจะให้ศัพท์ภาษาอังกฤษเรามา ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคำไหนเราไม่รู้เราก็จะเปิดดิก แล้วก็จดคำที่ไม่รู้ลงไปใน flash card เหมือนเดิม
4. Note to yourself เราชอบเขียนอะไรแบบนี้ให้กำลังใจตัวเอง เพราะเราชื่อว่า ร้อยคนให้กำลังใจเรา ไม่เท่ากับตัวเราเองที่ให้กำลังใจนะคะ
อยากจะมอบกำลังให้ให้เพื่อนๆหลายๆคน
เราเป็นคนขี้แงมากมาก ร้องไห้ตอนทำแทบจะทุกครั้ง รู้สึกหลายๆอารมณืร่วมเข้าด้วยกันและ เราไม่ได้เป็นคนเก่งเลย แทบมีเวลาจำกัดในการอ่านแค่ สองอาทิตย์ แทบค่าสอบก็แสนจะแพง แล้วไม่อยากสอบหลายรอบคิดแล้วว่า ครั้งเดียวอยากให้ผ่านเลย ตอนนั้นเราเครียดมากมากๆ อ่านทุกวัน ทำทุกวันจริงๆ แรกๆเราทำแบบชิวๆไม่จับเวลา ค่อยๆๆอ่านทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ พอเราเริ่มชินกับข้อสอบแล้ว เราค่อยจับเวลาตามที่เราบอก
เคยเป็นไหม? ทุกครั้งเวลานับคะแนนหลังทำเสร็จแล้วจะเครียดทุกครั้งเวลาที่คะแนนแย่ หรือ คะแนนลด วิธีการทำของเราคือ เราจะไม่นับคะแนน แต่!!!!! ทุกครั้งเวลาข้อไหนผิด ไม่ว่าจะเป็นพาทไหนๆ เราจะทำความเข้าใจกับมัน จะค่อยๆอ่าน แก้ จนกว่าจะเข้าใจและไม่ข้ามข้อนั้น ถามใครก็ได้ หาศัพท์แปลให้หมดจนกว่าจะเข้าใจ
เหตุการณ์ ไม่นับคะแนนของเราเกิดแค่เฉพาะพาท reading ไม่รู้ทำไมเหมือนกันน ตอนนั้นเรามองว่าการที่เราไม่นับคะแนนมันทำให้เรามีกำลังใจในการทำต่อ เราไม่อยากให้แค่ตัวเลขที่ออกมา มันทำให้เราท้อ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะคะว่าเพื่อนๆมีวิธีการแบบไหนน จะนับหรือไม่นับคะแนนก็ได้
เราอยากให้ทุกคนคิดว่า มันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆในการเตรียมตัวสอบ บางคนอาจจะเป็นหลายอาทิตย์ หลายเดือน หรือเป็นปี แต่เราอยากให้มองว่า เราไม่ได้อยู่กับสิ่งนี้ไปตลอดชีวิตแน่ๆ เราทำเป็นช่วงเวลาสั้นๆถ้าเทียบกับชีวิตของเรา หลังจากที่เราได้คะแนนผลสอบอันนี้ออกมา มันอาจจะปลดล็อคเราหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การที่เราได้ไปเรียนต่อต่างประเทส ได้มหาลัยดีๆที่เราจะอยู่ หรือว่าการเลื่อนตำแหน่งงาน ทุกคนมเหตุผลข้างหลังในการสอบอยู่แล้ว ให้มองว่าสิ่งที่เราทำวันนี้ มันจะเป็นให้เราได้ในสิ่งที่เราอยากได้มาตลอด ถ้าวันไหนที่ท้อ หรือ เครียด เราขอเป็นกำลังใจเล็กๆตรงนี้ให้เสมอนะ ก้มหน้าก้มตาทำไปให้สำเร็จ แล้ววันที่เราเงยหน้าขึ้นมา สิ่งดีๆจะรอเราอยู่แน่นอน สู้ๆๆนะคะทุกคน ขอให้ได้คะแนนตามที่ใจต้องการนะะะ
เราเชื่อเสมอว่า “hard work always pays off”
ปล.ถ้าเราพิมอะไรผิดไป หรือว่าข้อมูลอะไรไม่ครบ ต้องขอโทษไว้ก่อนเลยน้าค้าาา เราแค่อยากมาให้กำลังใจ และแนะนำทริคส่วนตัวที่เราใช้ค้าาาาาา