นั่งรถไฟไปปีนัง 3 วัน 2 คืน ด้วยงบ 2,500 บาท

กระทู้สนทนา
ตะลุยเมือง Street Art กินอาหาร ถ่ายรูปกันให้จุใจ
.........นั่งรถไฟไปปีนัง ด้วยงบจี๊ดเดียววววว.........

เราคิดทริปนี้กันตั้งแต่ ต.ค. 2561 กะจะไปจริงๆช่วง มี.ค. 2562 
แต่ด้วยเหตุผลล้านแปดดดดดดดด ของชาวทริป

ทำให้เราต้องเลื่อนทริป จนมาสรุปลงตัวในวันหยุดยาว 18-20 พฤษภาคม 2562
........ใช้เวลาตั้งแต่วางแผนจนได้ไป ครึ่งปีกันเลยทีเดียว.......

พอได้วันที่จะไปแล้วเราก็มาจองที่พักกันจาก agoda ซึ่งขอบอกว่า ที่พักที่เราจองนี้ เราเคยไปพักมาแล้ว ประทับใจมากกกกกก
ซึ่ง 1 ห้อง พักได้ 4 คน ราคาก็ตกอยู่ที่ คนละ 450 บาท/คืน/คน เท่านั้นเอง

หลังจากได้ที่พัก เราก็เตรียมตัวไปแลกเงิน RM กัน
ซึ่งในทริปนี้ เรากำหนดไว้ให้ไม่เกิน 2,000 บาทต่อคนเท่านั้น บร๊ะเจ้า***

เรทตอนที่เราแลกอยู่ที่ 1 RM = 7.57 บาท
ไปกัน 4 คน แลกเงินทั้งหมด 8,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 1,056 RM จ้า  ฟินสุดดดดดด


เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลยยย..........

          18 พฤษภาคม 2562
เราถึงสถานีรถไฟหาดใหญ่ ตั้งแต่ 06.30 น. มาซื้อตั๋วรถไฟ หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ ราคาต่อคน คนละ 50 บาท
เริ่มออกจาก สถานีรถไฟหาดใหญ่ เวลา 07.30 น.
เช้าสุดอะไรสุด จริงงงงงง
เราใช้เวลาจากสถานีรถไฟหาดใหญ่ ไปถึง สถานีปาดังเบซาร์ ประมาณ 45 นาที เท่านั้นเอง
ซึ่งสถานีปาดังเบซาร์จะมีทั้งฝั่งไทย และฝั่งมาเลเซีย ให้เราไปลงฝั่งมาเลเซียได้เลยจ้า
อย่าเผลอลงฝั่งไทยล่ะเดี๋ยวจะไปไม่ถึงปีนัง *-*


ถึงแว้ว สถานีรถไฟปาดังเบซาร์ ฝั่งมาเลเซีย พอลงรถไฟปุ๊บก้เดินเข้าแถว ผ่าน ตม. กันเลยจ้าาาาา

เมื่อผ่าน ตม. มาแล้ว ให้เดินขึ้นชั้น 2 ไปซื้อตั๋วรถไฟ KTM สถานีปลายทาง Butterworth เลยจ้า
จองรถเที่ยวเร็วสุดก็คือ 10.25 น. (เวลาท้องถิ่นของมาเลเซียนะ)
ราคาค่าตั๋วรถไฟฟ้า 11.40 RM /คน/เที่ยว


พอ 10.20 น. รถไฟก็มาเทียบชานชาลา ให้เราขึ้นรถไฟ แล้วเลือกที่นั่งกันตามสบายได้เลย
บรรยากาศภายในรถไฟของมาเลย์นั้น ขอบอกเลยสบายมาก เสียอย่างเดียว เบาะปรับไม่ได้อ่า เศร้าแปป T...T


เราใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 2 ชม ก็ถึงสถานี Butterworth แว้ว


ลงรถไฟ แล้วเราก็เดินขึ้นไปชั้น 2 เพื่อแสดงตั๋วรถไฟที่ขาออก ขอย้ำว่าตั๋วรถไฟอย่าให้หายน๊าาาา
แล้วก็เดินลงมาชั้นล่างอีกรอบ เพื่อจะเดินไปยังท่าเรือ Ferry 

เราเดินตามทางมาได้เลยนะไม่ต้องกลัวหลง เพราะท่าเรืออยู่ใกล้นิดเดียวเอง
พอถึงท่าเรือ เราก็ซื้อตั๋ว ตกคนละ 1.20 RM เฉพาะขาไปนะ ขากลับนั้น ฟรีจ้าาาาาาาาาาาาาา

เสร็จแล้วก็ขึ้นเรือได้เลยยยยย



จากท่าเรือ มาเกาะปีนัง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที 
 เมื่อถึงเกาะแล้ว ก็จะมีท่ารถเมล์ อยู่ที่ ท่าเรือเลยจ้า

เราเลือกขึ้นรถเมลล์ฟรี ไปยังตึก Komtar เพื่อจะต่อรถเมล์ไปที่พักแถวถนน Jalan Burma
ซึ่งรถเมล์ฟรี จะเขียนว่า CAT เราสามารถขึ้นได้เลยย แต่ต้องสังเกตุนิดนึงนะว่า CAT สายไหน จะมี CAT1 CAT2 บลาๆๆๆๆ
เมื่อมาถึง Komtar แล้วเรามาต่อรถสาย 103 เพื่อจะไปยังที่พักเลยจ้า


นี่เป็นบรรยากาศรอบๆที่พักจ้า ฟินมาก ส่วนตัวมากๆๆๆ เราโคตรชอบเลยย


นี่คือบรรยากาศภายในห้องพักจ้า มี 2 ชั้น 2 เตียง พักได้ 4 คน ห้องน้ำในตัว ส่วนตัวฝุดด

ลืมบอกชื่อที่พักไปเลย อิอิ
นี่เลย Rg Heritage Boutique
ไปตำกันได้เลยจ้าใน agoda  ราคาเบาๆ

หลังจากที่เก็บกระเป๋าสัมภาระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เราก็ออกไปตะลุยเมืองปีนังกันเลยยย

ที่แรกที่เราจะไปก็ไม่ไกลจากที่พักเลยจ้า ห่างจากที่พักไม่ถึง 200 เมตรเท่านั้น

วัดไทย หรือวัดไทยไชยมังคลาราม เป็นวัดไทย ตั้งอยู่เลขที่ 17 ถนนพม่า เขตปูเลาติกุส รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย
 โดยตัววัดตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับ วัดพม่าธรรมิการาม ซึ่งเป็นวัดพม่าที่มีชื่อเสียงของรัฐปีนัง
วัดไชยมังคลารามเป็นวัดไทยที่มีชื่อเสียงมานานบนเกาะปีนัง โดยภายในอุโบสถมีพระนอนยาวที่สุดในประเทศมาเลเซีย โดยมีความยาว 108 ฟุต
สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2500 โดยมีชื่อว่าพระพุทธชัยมงคล 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานนามให้ในคราวเสด็จประพาสเมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2505


วัดไชยมังคลารามเป็นวัดเก่าแก่ สร้างในปี พ.ศ. 2388 มีอายุกว่า 160 ปี สร้างโดยบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ซึ่งเป็นบริษัทการค้าของอังกฤษในนามของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ศิลปะของวัดไชยมังคลารามนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะไทย พม่า และจีนเข้าด้วยกัน ซึ่งทำให้วัดแห่งนี้มีสีสันสะดุดตา ดูแปลกไปจากวัดในประเทศไทย ที่เน้นศิลปะที่อ่อนช้อย แต่ศิลปะของวัดแห่งนี้จะเป็นแบบเรียบ ไม่มีการแกะสลัก
ทำลวดลายให้ดูวิจิตรมากนัก

แล้ววันที่เรามาเนี่ยเป็นวันวิสาขบูชาพอดี ก็เลยถือโอกาสเวียนเทียน ทำบุญ เบิกฤกษ์กับทริปในครั้งนี้หน่อย อิอิ
เสร็จจากวัดไทยเราก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามไปวัดพม่ากันต่อเลย

วัดพม่า หรือ วัดพม่าธรรมิการาม
โดดเด่นด้วยการใช้สีแดงสลับทองดึงดูดสายตา มีรูปปั้นช้างหินขาวสองเชือกยืนพิทักษ์อยู่หน้าทางเข้าที่ประดับประดาอย่างสวยงาม
เมื่อมองเข้ามา สายตาคุณจะสะดุดกับเสาหลักสีทอง หลังคาโค้งสีทองที่เรียงกันเป็นแถวอย่างยิ่งใหญ่ และยอดเจดีย์ทรงกรวยสีทองวาววับ
วัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในปีนังแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1803 เมื่อเดินเข้ามาด้านใน คุณจะพบกับภาพวาดมากมาย จิตรกรรมฝาผนัง และรูปปั้นต่างๆ
ทั้งหมดนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์และตำนานของพระพุทธศาสนา 

วัดนี้สร้างขึ้นโดยชาวพม่าที่มาตั้งรกรากอยู่ในบริเวณรอบๆ ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ที่นี่เป็นวัดพม่าเพียงแห่งเดียวในปีนัง อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป วัดนี้ได้ขยายขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีภาพวาดและรูปปั้นที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศที่นับถือศาสนาพุทธหลายๆ ประเทศ

ใช้เวลาค่อยๆ เดินสำรวจสถานที่สวดมนต์ภาวนาแห่งนี้ รับรองว่าคุณจะต้องไม่พลาดหอสวดมนต์หลักที่มีรูปปั้นสิงห์คู่หน้าตาดุดันยืนปกปักรักษาอยู่ ภายในหอสวดมนต์ คุณจะพบกับพระพุทธรูปใหญ่ที่ยืนตระหง่านและเป็นสีทองเกือบทั้งกาย ยกเว้นฝ่าพระหัตถ์สีขาวขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบ 

จากที่นี่ เดินต่อไปยังสถูป Arahant Upugatta อนุสรณ์ซึ่งมียอดแหลมและชฎาสีทองที่ประดับประดาแวววาวแห่งนี้ได้รับการเคารพบูชาอย่างมาก ผู้ที่นับถือเชื่อว่าสถูปนี้จะช่วยให้ตนผ่านอุปสรรคได้เกือบทั้งหมดในชีวิต ผู้คนนำตะกร้าผลไม้และดอกไม้มาบูชา รวมถึงจุดธูปหอมเพื่อแสดงความเคารพที่ฐาน
มองหาจิตรกรรมฝาผนังสีสันสดใสที่แสดงเรื่องราวของเจ้าชายสิทธัตถะ และกิเลนท่าทางน่าเกรงขามสองตัวที่ยืนคร่อมลูกโลกขนาดใหญ่ ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์โลก ทางด้านหลังของวัด คุณจะพบกับบ่อเก็บน้ำที่ใช้ภายในวัด ปัจจุบันบ่อนี้ไม่ได้เก็บน้ำใช้อีกต่อไป แต่กลายเป็นที่เลี้ยงปลาคาร์พและเต่าตนุแทน


หลังจากเข้าวัดเสร็จก็เย็นพอดี

เราไปหาที่กินที่ชิค ที่ฮิตที่สุดกันเลยยยยยยย

ตลาด Gurney Drive

เดี๋ยวมาต่อให้น๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่