คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ผมขอแบ่งราคะเป็น 2 ส่วน คือ
1. ราคะที่สัมปยุตด้วยมิจฉาทิฎฐิ (ราคะ + มิจฉาทิฎฐิ)
2. ราคะที่วิปปยุตจากมิจฉาทิฎฐิ (ราคะเพียวๆ)
ราคะประเภทที่ 1 เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ได้กำหนดรู้อกุศลกรรมบถ 10 (ไม่รู้บาป) หรือเคยกำหนดได้แต่ในขณะนั้นได้ลืมตัวเผลอไผลไป
ราคะประเภทที่ 2 เกิดแก่บุคคลผู้กำหนดรู้อกุศลกรรมบถ 10 อยู่ (รู้บาป)
กามราคะ คือ ราคะประเภททื่ 1 +2
รูปราคะ คือ ราคะประเภทที่ 2 อย่างเดียว
***************************
แม้พระอนาคามีบังเกิดในชั้นสุทธาวาส แลดูต้นกัลปพฤกษ์ในวิมานอุทยาน (สวนสวรรค์) เปล่งอุทานว่า สุขหนอ สุขหนอ. ความโลภในภพ ตัณหาในภพ ย่อมเป็นอันพระอนาคามียังละไม่ได้เลย เพราะพระอนาคามีนั้นยังละตัณหาไม่ได้ ชื่อว่าอกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมเสื่อมไป ย่อมยังอัตภาพที่มีทุกข์นั่นแลให้เกิดขึ้น พึงทราบว่า ยังเป็นผู้มีภพไม่สิ้นสุดนั่นแหละ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=198
1. ราคะที่สัมปยุตด้วยมิจฉาทิฎฐิ (ราคะ + มิจฉาทิฎฐิ)
2. ราคะที่วิปปยุตจากมิจฉาทิฎฐิ (ราคะเพียวๆ)
ราคะประเภทที่ 1 เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ได้กำหนดรู้อกุศลกรรมบถ 10 (ไม่รู้บาป) หรือเคยกำหนดได้แต่ในขณะนั้นได้ลืมตัวเผลอไผลไป
ราคะประเภทที่ 2 เกิดแก่บุคคลผู้กำหนดรู้อกุศลกรรมบถ 10 อยู่ (รู้บาป)
กามราคะ คือ ราคะประเภททื่ 1 +2
รูปราคะ คือ ราคะประเภทที่ 2 อย่างเดียว
***************************
แม้พระอนาคามีบังเกิดในชั้นสุทธาวาส แลดูต้นกัลปพฤกษ์ในวิมานอุทยาน (สวนสวรรค์) เปล่งอุทานว่า สุขหนอ สุขหนอ. ความโลภในภพ ตัณหาในภพ ย่อมเป็นอันพระอนาคามียังละไม่ได้เลย เพราะพระอนาคามีนั้นยังละตัณหาไม่ได้ ชื่อว่าอกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมเสื่อมไป ย่อมยังอัตภาพที่มีทุกข์นั่นแลให้เกิดขึ้น พึงทราบว่า ยังเป็นผู้มีภพไม่สิ้นสุดนั่นแหละ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=198
แสดงความคิดเห็น
กามราคะ กับ รูปราคะ (สังโยชน์ที่4 กับ 6)แตกต่างกันอย่างไร?