การประพฤติปฏิบัติธรรม มีหลายคนหลายท่านมีความสงสัยว่าตัวเองปฏิบัติถูกหรือเปล่า เพราะว่าการปฏิบัติที่ผิดนั้นทำให้เดินทางผิดและเสียเวลาการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เดินทางสายกลาง เอาศีลเป็นหลัก เอาธรรมเป็นหลัก
ศีลคือทางสายกลาง ธรรมคือทางสายกลาง คนเรามันมีตัวมีตน มันไม่เดินทางสายกลาง เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นประธาน การปฏิบัติที่ถูกต้อง ต้องปรับตัวเองเข้าหาศีลหาธรรม ข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นปลีกย่อยมันได้แก่พระวินัย ที่เราทำวัตรสวดมนต์ทำกิจวัตรๆ จัดว่าเป็นศีล
ศีลนี้คือการจัดการเรื่องทางกาย เพื่อที่จะเข้ามาหาทางจิตใจ เพราะว่าคนเราใจมันไม่มีตัวไม่มีตน มันต้องอาศัยกายอยู่ การปฏิบัติศีลต้องมาปฏิบัติที่กาย และการมาปฏิบัติที่กายก็คือการปฏิบัติที่ใจนั่นแหละผู้ปฏิบัติตามศีลถือว่าปฏิบัติถูก ถูกต้อง ปฏิบัติตามทางสายกลาง มีเจตนาที่จะงดเว้นในศีลทุกๆ ข้อ
ศีลนี้นะ ถ้าเราไม่มีเจตนา ถ้าเราทำผิดโดยไม่ตั้งใจ เป็นอันว่าไม่ผิดศีล ถ้าเราสงสัยอยู่แล้วฝืนทำลงไป ถึงแม้จะไม่ผิดศีลโดยตรง มันก็ผิดศีลในข้อที่สงสัย ยกตัวอย่างเช่น เราเดินไปเหยียบแมลงตายโดยที่เราไม่ตั้งใจ เราก็ไม่ผิดศีล ให้ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมให้คิดอย่างนี้ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องตามศีลแสดงว่าเราปฏิบัติถูก
การปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติเพื่อละความเห็นแก่ตัว เพราะเรามีตัวมีตนมาก มันถึงต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด มันมีอัตตาตัวตนมาก มันถึงมีภพมีชาติ มีการเวียนว่ายตายเกิด การประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ทุกท่านทุกคนเน้นการเสียสละ เน้นการละความเห็นแก่ตัว
การรักษาศีลก็ให้เป็นผู้เสียสละ ละความเห็นแก่ตัว ละความมักง่ายของตัวเอง รู้จักเสียสละไม่ตามใจตัวเอง ถ้าเราปฏิบัติเพื่อเสียสละ เพื่อปล่อยวาง เพื่อไม่มีตัวมีตน
ชื่อว่าเราปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเรามีความสงสัย พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอาธรรมตัดสิน 8 ประการ มาตัดสินการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
ถ้าเราติดสุขติดสบาย เราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านนั้นก็ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำเกียจคร้านมันเป็นปัญหาใหญ่ มันทำให้ทุกคนติดทุกคนหลง ทำให้ทุกคนไม่เข้าถึงคุณธรรม เรามีความยากจน ไม่มีคุณธรรมก็เนื่องมาจากเราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ติดสุขติดสบาย ความสุขความสบายนี้แหละ มันเป็นสิ่งที่ร้อยรัด เป็นเครื่องพันธนาการผูกเข้าไว้ นี้ถือว่าด่านใหญ่ของชีวิต ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่านักเรียนนักศึกษา ไม่ว่าพระ ไม่ว่าชี ไม่ว่าโยม ถูกความขี้เกียจขี้คร้านมันเล่นงานทุกคน
ความขี้เกียจขี้คร้านจัดว่าเป็นสิ่งเสพติด เป็น "กามสุขัลลิกานุโยค" ถ้าเราติดมันแล้วเขาเรียกว่ามันมีโทษ ปกติคนเรามันจะมีอาชีพ มีการดำรงชีวิตด้วยความสุข
แต่ถ้าเราไปติด เขาไม่เรียกว่ากามคุณแล้ว เขาเรียกว่า "กามโทษ"
พระพุทธเจ้าท่านให้เรารับประทานอาหาร ให้ร่างกายพักผ่อน ให้กายให้ใจสบาย เพื่อมีกำลังที่จะสร้างบารมีสร้างความดี แต่ท่านไม่ให้เราติด ถ้าเราติดแสดงว่าเราปฏิบัติผิด เพราะว่าคนติด ก็ยกตัวอย่างเช่น เราทำงาน เราได้เงินเดือน เรานอนกินเงินเดือนให้หมดเสียก่อน เราถึงไปทำงาน เงินเดือนของเรามันก็ย่อมหมด นั่นแสดงว่าเรากินของเก่า กินบุญเก่า ถ้าเราไปติดสุขติดสบายมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติผิด ไม่เป็นผู้เดินทางสายกลาง
ความดีเป็นสิ่งที่จะต้องทำ "ทำสมํ่าเสมอ" มันจะหยุดไม่ได้ถ้าเราหยุดก็แปลว่าเราตาย "เราตายจากคุณงามความดี" ที่สังคมมีปัญหา โลกมีปัญหา ปัญหาใหญ่มันมาจากความขี้เกียจขี้คร้าน ตัวเองก็ไม่เจริญ ครอบครัว สังคม ประเทศชาติก็ไม่เจริญ เพราะตัวเองติดสุข ติดความขี้เกียจขี้คร้านแท้ๆ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาความสุขทางร่างกาย ต้องเอาความสุขในการเสียสละ ในการละความเห็นแก่ตัว คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจแต่เรื่องวัตถุ แต่เรื่องจิตเรื่องใจยังไม่ค่อยเข้าใจกัน คิดว่าความสุขมันได้มาจากวัตถุ ได้มาจากการกิน การนอน การเล่น
ความสุขได้มาจากเสียสละ ได้มาจากการละความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่มีตัวตนมาก เราเป็นผู้ให้ เราก็มีความสุขความดับทุกข์ อย่างเราทำงานมันไม่มีความทุกข์นะ ถ้าใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจอยู่กับการทำงาน เรามีความเสียสละ ใจมันวางของหนัก วางความขี้เกียจขี้คร้าน วางตัววางตน เพราะตัวตนทำให้เราทุกข์ เราเครียด เรามีปัญหา
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่อยู่ด้วยตัวด้วยตน อยู่ด้วยความเครียด ไม่ได้อยู่ในทางสายกลาง เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ ทำไมดีใจเสียใจ ก็เพราะมีตัวมีตน เมื่อมีตัวมีตน โลกธรรมก็ครอบงำใจ
ถ้าเราคิดว่าเป็นผู้ชายเราก็เป็นทุกข์ ถ้าเราคิดว่าเป็นผู้หญิงมันก็เป็นทุกข์ ถ้าเราเป็นโน่นเป็นนี่ เราก็เป็นทุกข์ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ถ้าเราไม่รู้จัก เราจะแบกทุกข์นะ
ถ้าเรามาเดินตามทางสายกลาง เราไม่ได้เอาตัวเอง เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เอาศีลเอาธรรมเป็นที่ตั้ง ทุกข์จะมาจากไหน เพราะเราไม่มีตัวไม่มีตน พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกท่านทุกคนกลับมาหาศีลหาธรรมอย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติของเราจะได้ถูกต้อง
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นผู้รู้จัก "โภชเนมัตตัญญุตา" รู้จักประมาณในการบริโภค เพราะความสุขที่เราได้รับทางกายให้เรารู้จักพอประมาณ อย่าได้ไปลุ่มหลง ถ้าเราลุ่มหลงก็เปรียบเสมือนปลามันกินเหยื่อแล้วก็ไปติดเบ็ด
การติดเบ็ดนั่นน่ะ คือเราติดสุขติดสบายให้เราทุกคนรู้จักนะ การประพฤติปฏิบัติธรรม มันต้องกลับมาหาตัวเองอย่างนี้ การทำสมาธิก็เหมือนกัน เราก็สงสัยอยู่นั่นแหละ ว่ามันผิดหรือมันถูก การทำสมาธิก็คือการเสียสละ การละความเห็นแก่ตัว คือการมาละความโลภ ความโกรธ ความหลง มาเอาจิตใจอยู่กับลมเข้าอยู่กับลมออก เรามาเสียสละเรามาปล่อยมาวาง ไม่เอาอะไร เพราะตัวเราเองมันก็ไม่มีตัวมีตนอยู่แล้ว
ที่ว่าเรามีตัวมีตนก็เพราะว่าเราเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาอะไร ให้เรามาปล่อย ให้เรามาวาง ถ้าเราเอามันมีความทุกข์ เดี๋ยวเอาความสุขความสงบ เอาไม่ปวดแข้งปวดขา เดี๋ยวมันก็มีความทุกข์แน่ บางคนอาจจะคิดในใจว่า ถ้าไม่เอาจะมานั่งทำไม? ไม่ใช่เรามานั่งเอาอะไร เรามานั่งปล่อยนั่งวางนั่งเสียสละ เพราะว่าสาเหตุของทุกข์เกิดจากการเกิด "การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์รํ่าไป ไม่ว่าเกิดทางกาย เกิดทางใจ" ถ้าเราเสียสละมากๆ เราปล่อยวางทุกอย่าง จิตใจของเราก็จะได้สัมผัสกับความสงบเอง เราอย่าได้ไปคิดว่าทำเพื่อเอามรรคผลเอานิพพาน เพื่อเห็นโน่นเห็นนี่อย่างที่เขาคุยกัน เพราะคนเรามันติดนิสัยจะเอา ทำอะไรก็แต่จะเอา พระพุทธเจ้าท่านให้เรามานั่งสมาธิ มาปล่อยมาวาง เราก็ยังจะเอาอยู่นั่นแหละ
เรานั่งสมาธิ เรามานั่งเพื่อเสียสละ เพื่อปล่อย เพื่อวาง เพื่อใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัว สมาธิคือตัวความสุขของชีวิต คนเรานะถ้าไม่มีตัวไม่มีตน มันมีความสุข เราเห็นไหม ได้ยินไหมที่ครูบาอาจารย์ท่านนั่งสมาธิท่านปฏิบัติธรรม เกิดปีติเกิดสุขจนน้ำตาร่วง เพราะแต่ก่อนเราไปหลงแบกหลงถือ หลงเป็นแต่คนเอาอยู่นั่น จิตใจของคนเรานี้มันแย่นะ มันเป็นผู้เอา ที่ประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาเรื่องพระเวสสันดร ที่ท่านให้ทานเสียสละ อย่างนี้แหละดี แล้วก็ถูกต้อง ถ้าท่านไม่เสียสละ ไม่ละไม่วาง พระพุทธเจ้าของเราก็ไม่บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มันเป็นความดีเป็นบารมีของเรานะ ความเสียสละ การปล่อยการวาง
เราดูตาพราหมณ์ชูชกนั้นมีแต่ความโลภ มีแต่ขอ ผลที่สุดเรื่องมันจบมาตรงที่พราหมณ์ชูชกท้องแตกตาย ก็เพราะความโลภ เรานี้ก็เหมือนกันนะ มันก็มีเชื้อสายตาชูชกพอสมควรนะ นี่เราจะมาเปลี่ยนสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์ของพระพุทธเจ้า มาเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เรานั่งสมาธิ เรามาเสียสละ กายให้มันเป็นกาย ใจก็ให้มันเป็นใจ อย่าไปยุ่งกัน ให้มันสงบ ให้มันปราศจากนิวรณ์ ทำสมาธิไปก่อน สมาธิก็คือตัวความสงบ ความเย็น เป็นตัวบ่มปัญญา
คนเรามันปัญญามากมันฟุ้งซ่าน ต้องอาศัยสมาธิ ก็คือตัวความสงบความเย็น บางทีนั่งไปนิดเดียวก็กลัว วุ่นวาย เพราะความอยากมันบีบคั้น มันก็อยากเจริญปัญญาวิปัสสนาอีกแล้ว สมาธิมันยังไม่ได้ ดันไปเอาปัญญา อย่างนี้ไม่ถูก มันเป็นความบีบคั้นของเรานะ มันเป็นความอยาก
ชีวิตประจำวันจึงเป็นชีวิตที่เร่าร้อน เผาตัวเองด้วยความอยาก อยากมีอยากเป็น ไม่อยากเสีย ไม่อยากพลัดพราก มันเป็นอยู่ด้วยความอยาก การปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เรามารู้จักความอยาก มาละความอยาก ไม่ใช่มาเพิ่มความอยาก
เราปฏิบัติเดี๋ยวเดียวเราก็อยากได้สำเร็จ มันไม่ใช่สำเร็จได้ง่ายขนาดนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างฐานชีวิตประจำวันของเรา มีความสุขในการเดินอริยมรรคต่างๆ มีมรรคเป็นทางให้เราเดินตั้ง 8 ข้อ ในชีวิตประจำวัน ให้เราทำฐานชีวิตของเราให้มีความสุข ให้มีความสุขในการทำงาน ให้มีความสุขในการพูด การกระทำของเราในชีวิตประจำวันต้องประกอบด้วยความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว
บางคนก็คิดนะ คิดในใจว่าเราเสียสละ เราละความเห็นแก่ตัว เราไม่ยากจนแย่เหรอ? ไม่จน ไม่ยากจน มีแต่รวย คนเรานะ ถ้าเราเสียสละนะ เครดิตมันดี คนอื่นเขาเคารพนับถือ ผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อน บริวารก็รัก รักเพราะเราไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เขาเกลียดเรา ไม่พอใจเรา เพราะเราเป็นผู้ที่ไม่เสียสละ ความเห็นแก่ตัวมันปิดกั้นเราไม่ให้เจริญทั้งทางวัตถุและคุณธรรม
เราทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อคุณธรรม ทำงานเพื่อเสียสละ ส่วนเงินเดือนหรือความรวยมันเป็นผลของการกระทำ ถ้าเราทำดีมันก็รวย เราได้ทั้งงานได้ทั้งคุณธรรม ใจของเรามันก็มีสวรรค์ในชีวิตประจำวัน มันต้องดีกว่าใจของเราตกนรกทั้งวัน
ต้องมีความสุขในการพูด พูดดี พูดเพราะ พูดสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เอาแพ้เอาชนะ พูดเพื่อเกิดความสามัคคีปรองดองกัน คำพูดนี้มันมีปัญหาเยอะ เพราะคนเรามันพูดออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลง
'อริยมรรค' คือ 'ทางเดินของนักปฏิบัติ'
ศีลคือทางสายกลาง ธรรมคือทางสายกลาง คนเรามันมีตัวมีตน มันไม่เดินทางสายกลาง เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นประธาน การปฏิบัติที่ถูกต้อง ต้องปรับตัวเองเข้าหาศีลหาธรรม ข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นปลีกย่อยมันได้แก่พระวินัย ที่เราทำวัตรสวดมนต์ทำกิจวัตรๆ จัดว่าเป็นศีล
ศีลนี้คือการจัดการเรื่องทางกาย เพื่อที่จะเข้ามาหาทางจิตใจ เพราะว่าคนเราใจมันไม่มีตัวไม่มีตน มันต้องอาศัยกายอยู่ การปฏิบัติศีลต้องมาปฏิบัติที่กาย และการมาปฏิบัติที่กายก็คือการปฏิบัติที่ใจนั่นแหละผู้ปฏิบัติตามศีลถือว่าปฏิบัติถูก ถูกต้อง ปฏิบัติตามทางสายกลาง มีเจตนาที่จะงดเว้นในศีลทุกๆ ข้อ
ศีลนี้นะ ถ้าเราไม่มีเจตนา ถ้าเราทำผิดโดยไม่ตั้งใจ เป็นอันว่าไม่ผิดศีล ถ้าเราสงสัยอยู่แล้วฝืนทำลงไป ถึงแม้จะไม่ผิดศีลโดยตรง มันก็ผิดศีลในข้อที่สงสัย ยกตัวอย่างเช่น เราเดินไปเหยียบแมลงตายโดยที่เราไม่ตั้งใจ เราก็ไม่ผิดศีล ให้ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมให้คิดอย่างนี้ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องตามศีลแสดงว่าเราปฏิบัติถูก
การปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติเพื่อละความเห็นแก่ตัว เพราะเรามีตัวมีตนมาก มันถึงต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด มันมีอัตตาตัวตนมาก มันถึงมีภพมีชาติ มีการเวียนว่ายตายเกิด การประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ทุกท่านทุกคนเน้นการเสียสละ เน้นการละความเห็นแก่ตัว
การรักษาศีลก็ให้เป็นผู้เสียสละ ละความเห็นแก่ตัว ละความมักง่ายของตัวเอง รู้จักเสียสละไม่ตามใจตัวเอง ถ้าเราปฏิบัติเพื่อเสียสละ เพื่อปล่อยวาง เพื่อไม่มีตัวมีตน
ชื่อว่าเราปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเรามีความสงสัย พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอาธรรมตัดสิน 8 ประการ มาตัดสินการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
ถ้าเราติดสุขติดสบาย เราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านนั้นก็ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำเกียจคร้านมันเป็นปัญหาใหญ่ มันทำให้ทุกคนติดทุกคนหลง ทำให้ทุกคนไม่เข้าถึงคุณธรรม เรามีความยากจน ไม่มีคุณธรรมก็เนื่องมาจากเราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ติดสุขติดสบาย ความสุขความสบายนี้แหละ มันเป็นสิ่งที่ร้อยรัด เป็นเครื่องพันธนาการผูกเข้าไว้ นี้ถือว่าด่านใหญ่ของชีวิต ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่านักเรียนนักศึกษา ไม่ว่าพระ ไม่ว่าชี ไม่ว่าโยม ถูกความขี้เกียจขี้คร้านมันเล่นงานทุกคน
ความขี้เกียจขี้คร้านจัดว่าเป็นสิ่งเสพติด เป็น "กามสุขัลลิกานุโยค" ถ้าเราติดมันแล้วเขาเรียกว่ามันมีโทษ ปกติคนเรามันจะมีอาชีพ มีการดำรงชีวิตด้วยความสุข
แต่ถ้าเราไปติด เขาไม่เรียกว่ากามคุณแล้ว เขาเรียกว่า "กามโทษ"
พระพุทธเจ้าท่านให้เรารับประทานอาหาร ให้ร่างกายพักผ่อน ให้กายให้ใจสบาย เพื่อมีกำลังที่จะสร้างบารมีสร้างความดี แต่ท่านไม่ให้เราติด ถ้าเราติดแสดงว่าเราปฏิบัติผิด เพราะว่าคนติด ก็ยกตัวอย่างเช่น เราทำงาน เราได้เงินเดือน เรานอนกินเงินเดือนให้หมดเสียก่อน เราถึงไปทำงาน เงินเดือนของเรามันก็ย่อมหมด นั่นแสดงว่าเรากินของเก่า กินบุญเก่า ถ้าเราไปติดสุขติดสบายมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติผิด ไม่เป็นผู้เดินทางสายกลาง
ความดีเป็นสิ่งที่จะต้องทำ "ทำสมํ่าเสมอ" มันจะหยุดไม่ได้ถ้าเราหยุดก็แปลว่าเราตาย "เราตายจากคุณงามความดี" ที่สังคมมีปัญหา โลกมีปัญหา ปัญหาใหญ่มันมาจากความขี้เกียจขี้คร้าน ตัวเองก็ไม่เจริญ ครอบครัว สังคม ประเทศชาติก็ไม่เจริญ เพราะตัวเองติดสุข ติดความขี้เกียจขี้คร้านแท้ๆ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาความสุขทางร่างกาย ต้องเอาความสุขในการเสียสละ ในการละความเห็นแก่ตัว คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจแต่เรื่องวัตถุ แต่เรื่องจิตเรื่องใจยังไม่ค่อยเข้าใจกัน คิดว่าความสุขมันได้มาจากวัตถุ ได้มาจากการกิน การนอน การเล่น
ความสุขได้มาจากเสียสละ ได้มาจากการละความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่มีตัวตนมาก เราเป็นผู้ให้ เราก็มีความสุขความดับทุกข์ อย่างเราทำงานมันไม่มีความทุกข์นะ ถ้าใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจอยู่กับการทำงาน เรามีความเสียสละ ใจมันวางของหนัก วางความขี้เกียจขี้คร้าน วางตัววางตน เพราะตัวตนทำให้เราทุกข์ เราเครียด เรามีปัญหา
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่อยู่ด้วยตัวด้วยตน อยู่ด้วยความเครียด ไม่ได้อยู่ในทางสายกลาง เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ ทำไมดีใจเสียใจ ก็เพราะมีตัวมีตน เมื่อมีตัวมีตน โลกธรรมก็ครอบงำใจ
ถ้าเราคิดว่าเป็นผู้ชายเราก็เป็นทุกข์ ถ้าเราคิดว่าเป็นผู้หญิงมันก็เป็นทุกข์ ถ้าเราเป็นโน่นเป็นนี่ เราก็เป็นทุกข์ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ถ้าเราไม่รู้จัก เราจะแบกทุกข์นะ
ถ้าเรามาเดินตามทางสายกลาง เราไม่ได้เอาตัวเอง เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เอาศีลเอาธรรมเป็นที่ตั้ง ทุกข์จะมาจากไหน เพราะเราไม่มีตัวไม่มีตน พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกท่านทุกคนกลับมาหาศีลหาธรรมอย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติของเราจะได้ถูกต้อง
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นผู้รู้จัก "โภชเนมัตตัญญุตา" รู้จักประมาณในการบริโภค เพราะความสุขที่เราได้รับทางกายให้เรารู้จักพอประมาณ อย่าได้ไปลุ่มหลง ถ้าเราลุ่มหลงก็เปรียบเสมือนปลามันกินเหยื่อแล้วก็ไปติดเบ็ด
การติดเบ็ดนั่นน่ะ คือเราติดสุขติดสบายให้เราทุกคนรู้จักนะ การประพฤติปฏิบัติธรรม มันต้องกลับมาหาตัวเองอย่างนี้ การทำสมาธิก็เหมือนกัน เราก็สงสัยอยู่นั่นแหละ ว่ามันผิดหรือมันถูก การทำสมาธิก็คือการเสียสละ การละความเห็นแก่ตัว คือการมาละความโลภ ความโกรธ ความหลง มาเอาจิตใจอยู่กับลมเข้าอยู่กับลมออก เรามาเสียสละเรามาปล่อยมาวาง ไม่เอาอะไร เพราะตัวเราเองมันก็ไม่มีตัวมีตนอยู่แล้ว
ที่ว่าเรามีตัวมีตนก็เพราะว่าเราเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาอะไร ให้เรามาปล่อย ให้เรามาวาง ถ้าเราเอามันมีความทุกข์ เดี๋ยวเอาความสุขความสงบ เอาไม่ปวดแข้งปวดขา เดี๋ยวมันก็มีความทุกข์แน่ บางคนอาจจะคิดในใจว่า ถ้าไม่เอาจะมานั่งทำไม? ไม่ใช่เรามานั่งเอาอะไร เรามานั่งปล่อยนั่งวางนั่งเสียสละ เพราะว่าสาเหตุของทุกข์เกิดจากการเกิด "การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์รํ่าไป ไม่ว่าเกิดทางกาย เกิดทางใจ" ถ้าเราเสียสละมากๆ เราปล่อยวางทุกอย่าง จิตใจของเราก็จะได้สัมผัสกับความสงบเอง เราอย่าได้ไปคิดว่าทำเพื่อเอามรรคผลเอานิพพาน เพื่อเห็นโน่นเห็นนี่อย่างที่เขาคุยกัน เพราะคนเรามันติดนิสัยจะเอา ทำอะไรก็แต่จะเอา พระพุทธเจ้าท่านให้เรามานั่งสมาธิ มาปล่อยมาวาง เราก็ยังจะเอาอยู่นั่นแหละ
เรานั่งสมาธิ เรามานั่งเพื่อเสียสละ เพื่อปล่อย เพื่อวาง เพื่อใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัว สมาธิคือตัวความสุขของชีวิต คนเรานะถ้าไม่มีตัวไม่มีตน มันมีความสุข เราเห็นไหม ได้ยินไหมที่ครูบาอาจารย์ท่านนั่งสมาธิท่านปฏิบัติธรรม เกิดปีติเกิดสุขจนน้ำตาร่วง เพราะแต่ก่อนเราไปหลงแบกหลงถือ หลงเป็นแต่คนเอาอยู่นั่น จิตใจของคนเรานี้มันแย่นะ มันเป็นผู้เอา ที่ประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาเรื่องพระเวสสันดร ที่ท่านให้ทานเสียสละ อย่างนี้แหละดี แล้วก็ถูกต้อง ถ้าท่านไม่เสียสละ ไม่ละไม่วาง พระพุทธเจ้าของเราก็ไม่บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มันเป็นความดีเป็นบารมีของเรานะ ความเสียสละ การปล่อยการวาง
เราดูตาพราหมณ์ชูชกนั้นมีแต่ความโลภ มีแต่ขอ ผลที่สุดเรื่องมันจบมาตรงที่พราหมณ์ชูชกท้องแตกตาย ก็เพราะความโลภ เรานี้ก็เหมือนกันนะ มันก็มีเชื้อสายตาชูชกพอสมควรนะ นี่เราจะมาเปลี่ยนสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์ของพระพุทธเจ้า มาเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เรานั่งสมาธิ เรามาเสียสละ กายให้มันเป็นกาย ใจก็ให้มันเป็นใจ อย่าไปยุ่งกัน ให้มันสงบ ให้มันปราศจากนิวรณ์ ทำสมาธิไปก่อน สมาธิก็คือตัวความสงบ ความเย็น เป็นตัวบ่มปัญญา
คนเรามันปัญญามากมันฟุ้งซ่าน ต้องอาศัยสมาธิ ก็คือตัวความสงบความเย็น บางทีนั่งไปนิดเดียวก็กลัว วุ่นวาย เพราะความอยากมันบีบคั้น มันก็อยากเจริญปัญญาวิปัสสนาอีกแล้ว สมาธิมันยังไม่ได้ ดันไปเอาปัญญา อย่างนี้ไม่ถูก มันเป็นความบีบคั้นของเรานะ มันเป็นความอยาก
ชีวิตประจำวันจึงเป็นชีวิตที่เร่าร้อน เผาตัวเองด้วยความอยาก อยากมีอยากเป็น ไม่อยากเสีย ไม่อยากพลัดพราก มันเป็นอยู่ด้วยความอยาก การปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เรามารู้จักความอยาก มาละความอยาก ไม่ใช่มาเพิ่มความอยาก
เราปฏิบัติเดี๋ยวเดียวเราก็อยากได้สำเร็จ มันไม่ใช่สำเร็จได้ง่ายขนาดนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างฐานชีวิตประจำวันของเรา มีความสุขในการเดินอริยมรรคต่างๆ มีมรรคเป็นทางให้เราเดินตั้ง 8 ข้อ ในชีวิตประจำวัน ให้เราทำฐานชีวิตของเราให้มีความสุข ให้มีความสุขในการทำงาน ให้มีความสุขในการพูด การกระทำของเราในชีวิตประจำวันต้องประกอบด้วยความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว
บางคนก็คิดนะ คิดในใจว่าเราเสียสละ เราละความเห็นแก่ตัว เราไม่ยากจนแย่เหรอ? ไม่จน ไม่ยากจน มีแต่รวย คนเรานะ ถ้าเราเสียสละนะ เครดิตมันดี คนอื่นเขาเคารพนับถือ ผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อน บริวารก็รัก รักเพราะเราไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เขาเกลียดเรา ไม่พอใจเรา เพราะเราเป็นผู้ที่ไม่เสียสละ ความเห็นแก่ตัวมันปิดกั้นเราไม่ให้เจริญทั้งทางวัตถุและคุณธรรม
เราทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อคุณธรรม ทำงานเพื่อเสียสละ ส่วนเงินเดือนหรือความรวยมันเป็นผลของการกระทำ ถ้าเราทำดีมันก็รวย เราได้ทั้งงานได้ทั้งคุณธรรม ใจของเรามันก็มีสวรรค์ในชีวิตประจำวัน มันต้องดีกว่าใจของเราตกนรกทั้งวัน
ต้องมีความสุขในการพูด พูดดี พูดเพราะ พูดสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เอาแพ้เอาชนะ พูดเพื่อเกิดความสามัคคีปรองดองกัน คำพูดนี้มันมีปัญหาเยอะ เพราะคนเรามันพูดออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลง