ด้วยความซุกซนของเด็กน้อยน่ารัก แบรน สตร้าก ที่ปีนขึ้นไปที่หอคอย แต่กลับไปเห็นฉากอันน่าฉงนและงุนงงกับสิ่งที่เจมี่กำลังซั่มกับเซอซี่อย่างออกรสชาติ
จนถึงประโยคที่แจมี่พูดกับเซอซี่ก่อนที่จะผลักแบรนตกหอคอย The things we do for love จนกลายเป็นคนพิการในซีซั่น1 ตอนที่1 นำไปเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวมหากาพย์ แห่งสงคราม Game of throne ในที่สุด
และประโยคนั้นก็ถูกนำมาใช้อีกครั้งในซีซั่น8 ตอนที่ 2 เมื่อ แบรน ได้พูดขึ้นมาตอกย้ำถึงเหตุผลทุกอย่างที่เจมี่ทำ The things we do for love
และคราวนี้กลับกัน กลายเป็นเจมี่ที่ตกตะลึงกับคำพูดของแบรน ซึ่งสูญเสียความทรงจำหลังจากตกจากหอคอยเป็น Bran the broken แต่กลับย้อนคำพูดนั้นใส่ตัวเองอย่างเจ็บปวด
ถ้าไม่มี The things we do for love ในวันนั้นก็ไม่มี King Bran the broken ในวันนี้ ขอขอบคุณ Game of throne ที่ให้ความบันเทิงมาตลอด 8 ซีซั่น 9 ปี สำหรับซีรีย์อันดับ1 ในใจผมตลอดกาล ปีหน้าจะดูอะไรกันต่อดีนะ...
จาก The things we do for love สู่ King Bran the broken
ด้วยความซุกซนของเด็กน้อยน่ารัก แบรน สตร้าก ที่ปีนขึ้นไปที่หอคอย แต่กลับไปเห็นฉากอันน่าฉงนและงุนงงกับสิ่งที่เจมี่กำลังซั่มกับเซอซี่อย่างออกรสชาติ
จนถึงประโยคที่แจมี่พูดกับเซอซี่ก่อนที่จะผลักแบรนตกหอคอย The things we do for love จนกลายเป็นคนพิการในซีซั่น1 ตอนที่1 นำไปเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวมหากาพย์ แห่งสงคราม Game of throne ในที่สุด
และประโยคนั้นก็ถูกนำมาใช้อีกครั้งในซีซั่น8 ตอนที่ 2 เมื่อ แบรน ได้พูดขึ้นมาตอกย้ำถึงเหตุผลทุกอย่างที่เจมี่ทำ The things we do for love
และคราวนี้กลับกัน กลายเป็นเจมี่ที่ตกตะลึงกับคำพูดของแบรน ซึ่งสูญเสียความทรงจำหลังจากตกจากหอคอยเป็น Bran the broken แต่กลับย้อนคำพูดนั้นใส่ตัวเองอย่างเจ็บปวด
ถ้าไม่มี The things we do for love ในวันนั้นก็ไม่มี King Bran the broken ในวันนี้ ขอขอบคุณ Game of throne ที่ให้ความบันเทิงมาตลอด 8 ซีซั่น 9 ปี สำหรับซีรีย์อันดับ1 ในใจผมตลอดกาล ปีหน้าจะดูอะไรกันต่อดีนะ...