ระบายหลังดู John Wick Chapter 3 Parabellum ฉากแอ็คชั่นดุเดือดแต่เนื้อเรื่องอ่อน ยัดมาแต่ฉากบู๊ดูจนเบื่อ!!!

 สำหรับใครชอบหนังแนว
แอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญแนวๆยุค 80-90 ดิบๆ ดุๆ ไม่พูดพร่ำทำเพลง คงจะชอบหนังเรื่อง John Wick นะครับ เพราะทีมงานผู้สร้างดำเนินแบบการสร้างโดยการนำจุดขายดิบๆจากหนังยุค 80-90 มา และสร้างคาแร็คเตอร์ตัวพระเอกอย่าง จอห์น วิค ให้ดูดุดัน บ้าระห่ำ ฆ่าไม่เลี้ยง ที่พระเอกหนังแอ็คชั่นฝรั่งในยุคนี้ไม่มีใครทำขนาดพี่แก แกทำให้ย้อนนึกถึงหนังพวกลุงๆ ทั้งหลายในยุคก่อนอย่างหนังเรื่อง Rambo, Die Hard, Terminator เป็นต้น คือ ตอบสนองการเสพฉากแอ็คชั่นเป็นหลัก เนื้อเรื่องขอเป็นรอง

 สำหรับหนังในภาคนี้ ทุนสร้างเพิ่มขึ้นจากสองภาคแรก มาเป็น 55 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบกับหนังแอ็คชั่นในยุคนี้หลายเรื่องถือว่าลงทุนไปไม่เยอะ พวกหนัง Mission Impossible, Fast & Furious, James Bond 007 คือ ลงทุนไปมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐในการสร้างแต่ละภาค ฉากแอ็คชั่นเลยดูอลังกว่า ทีมโปรดักชั่นใหญ่กว่า ทีมนักแสดงจัดเต็มกว่า แต่สำหรับ John Wick ไม่ต้องการอะไรที่อลังการขนาดนั้น หนังเน้นความดิบๆ แบบหนังยุค 80-90 อย่างที่บอก ไม่ต้องพึ่งพา CGI หรือ ไม่มีฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อม นี่คือ หนังแอ็คชั่นดิบเลือดสาดแห่งยุคนี้เลยก็ว่าได้

 มีอีกเรื่องที่ดูแอ็คชั่นมากๆเน้นยิงกันดิบๆ สู้กันแทบทั้งเรื่องในยุคนี้ก็เรื่อง Olympus Has Fallen และ London Has Fallen หนังภาคต่อที่นำแสดงโดย Gerard Butler มาแนวเดียวกับ John Wick เลย คือ เน้นบู๊เอามันก่อน เนื้อเรื่องไม่ต้องมีอะไรมากมาย หนังมาจากค่ายหนังเดียวกันด้วย Lionsgate ค่ายนี้ก็สร้างหนังแนวๆนี้เยอะ ฮ่าๆ ส่วนเรื่อง John Wick ภาคนี้ก็ได้ผู้กำกับ กับ คนเขียนบทก็ยังคนเดิมจากสองภาคแรก 

 ใครเป็นแฟนหนังสองภาคแรกก็คงต้องตามไปดูภาคนี้ต่อในโรงภาพยนตร์แน่นอน เพราะ ตอนจบภาคสองปูเรื่องไว้ซะขนาดนั้น เสกลโลกนักฆ่าในหนังขยายออกไป จอห์น ถูกตั้งค่าหัว เหลือเวลาเพียง 1 ชั่วโมงก่อนถูกตัดหางปล่อยวัด ทิ้งตอนจบไว้น่าสนใจมาก แต่...

 พอผมดูหนังภาคนี้จบ ผมไม่ขอพูดถึงเนื้อเรื่องรายละเอียดของหนังภาคนี้นะ หลายคนน่าจะพอรู้เนื้อเรื่องคร่าวๆของหนังภาคนี้แล้วล่ะ ผมขอพูดในส่วนของความคิดเห็นส่วนตัวของผม คือ ดูเอามันอย่างเดียวครับ ถ้าคุณต้องการเสพหนังที่มี detail หรือ story หรือบท drama ดีๆ เรื่องนี้ผมไม่แนะนำครับ มันคือ หนังแอ็คชั่น non stop ที่ยัดฉากแอ็คชั่นทุกๆ 10-15 นาที โดยที่บทของหนังที่ภาคก่อนพยายามจะปูไว้อย่างน่าสนใจ มันจางหายไป มากลบด้วยฉากแอ็คชั่น เน้นยิงกัน สู้กัน อย่างเดียว ดูจน over action รู้สึกเบื่อเลย 

 ผมรู้สึกหนังสองภาคแรกสนุกกว่าภาคนี่นะ ถึงอาจจะไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้มากมายเป็นทุนเดิม แต่ผมว่าหนังสองภาคแรก  แอ็คชั่นมันไม่ยืดเยื้อเหมือนภาคนี้ แอ็คชั่น
ภาคนี้ยังคงความเป็น John Wick เหมือนสองภาคก่อน แต่ดูยาวนานขึ้น และถ้าคุณต้องการดูฉากแอ็คชั่นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเรื่องนี้ ไม่มีครับ เพราะ ฉากต่อสู้มือเปล่า ฉากขับรถไล่ล่า ฉากยิงกัน คือ เราเห็นมาจากหนังแอ็คชั่นหลายสิบเรื่องแล้ว มาดูในเรื่องนี้เลยรู้สึกไม่ได้ร้อง Wow เหมือนตอนดูหนังเรื่อง Mission Impossible ที่มีอะไรแปลกใหม่มาเซอร์ไพร์สคนดูแทบทุกภาค แต่สำหรับ John Wick ดูแอ็คชั่นจนน่าเบื่อและยืดเยื้อเกินไป เพราะส่วนใหญ่ถ่ายเป็น longtake ทั้งนั้น และท่าการต่อสู้ การใช้อาวุธ ดูซ้ำๆไงไม่รู้ เลยรู้สึกน่าเบื่อ

 หลายฉากเห็นชัดเจนว่า Keanu Reeves แสดงจริง เจ็บจริง แต่ก็มีบางฉากเห็นชัดว่าใช้ stunt double แต่น้อย ถึงว่าแกสุดยอดมากครับ ในวัย 54 ปี ที่ลงทุนแสดงบทแอ็คชั่นเองแทบทุกฉาก ไหนจะก่อนการแสดงทุกภาค แกก็ต้องไปฝึกฝนการต่อสู้และการใช้อาวุธปืนกับครูฝึกมือโปร อย่างเป็นจริงเป็นจังอีกด้วย Respect your spirit เลย เฮียคีอานู รีฟส์ 

 ภาคนี้ผมว่ามีดีตรง Halle Berry แหละ แม่สาว Strom จากเรื่อง X-Men ไตรภาค, 007 Die Another Day คือ โดยส่วนตัวผมชอบนักแสดงคนนี้จากหนังหลายเรื่อง และไม่ได้เห็นนางแสดงหนังแนวแอ็คชั่นมาซักพักแล้ว มาในเรื่องนี้ฉากบู๊นางก็ใส่เต็มไม่แพ้ คีอานู เช่นกัน แถมฉาก longtake ที่นางกับหมาของนางออกบู๊กับพวกคนร้ายเป็นสิบคน คือ ซีนนี้เดือดมาก ดูมีอะไรแปลกใหม่ในจักรวาลหนัง John Wick นิดนึงในแง่ของฉากแอ็คชั่น ที่ให้ผู้หญิงโชว์บู๊เต็มที่

 ใครที่เคยดูหนังแอ็คชั่นเอเชียเรื่อง The Raid ทั้งสองภาค อาจมีคุ้นหน้าคุ้นตา สองนักฆ่ามือมีดในเรื่องนี้นะครับ สองนักฆ่าที่ว่า แกแสดงในเรื่อง The Raid ในบท Mad Dog ในภาคแรก และอีกคนในภาคสอง ที่มาสู้กับพระเอกตอนท้ายเรื่องในห้องครัว ซึ่งแกสองคนนี้ไปโกอินเตอร์ต่อจากพระเอกเรื่อง The Raid ที่ไปแสดงคู่กับ Mark Wahlberg ในเรื่อง Mile 22 ซึ่งหนังก็เจ๊งไป แต่ในส่วนของนักแสดงสองคนนี้ ใครติดภาพแกบู๊มือเปล่ามันๆ แบบเรื่อง The Raid ถือว่ามาดูในเรื่อง John Wick ก็ยังทำแนวถนัดของแกได้ดีคงมาตรฐานไว้ครับ ฉากสู้กับจอห์น นานอยู่ และมันเลือดสาดมาก แบบสไตล์เอเชีย มือเปล่าก็ซัดกันได้ ซึ่งดูดุดันมากในซีนนี้ และใช้นักแสดงสองคนนี้จากเรื่อง The Riad ได้คุ้มค่าที่จะมาสู้กับ Keanu Reeves

 ภาคนี้มีส่วนของประวัติส่วนตัวของ จอห์น เปิดเผยเพิ่มมากขึ้นจากสองภาคแรก ไม่มาก แต่ก็ทำให้เรารู้ว่าที่มาแกมาจากไหน และองค์กรนักฆ่าก็ขยายกว้างขึ้น ไม่มากเช่นกัน ถ้าเทียบกับการพยายามปูเรื่องในภาคสอง แต่ก็ทำให้เรารู้เรื่องราวเพิ่มขึ้นอีกนิด ถ้าลดฉากแอ็คชั่นลงซัก 10-15 นาที แล้วมาใส่รายละเอียดเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์กรนักฆ่ามากขึ้น ผมคงดูแล้วสนุกกว่านี้ 

 จำนวนศพที่ตัว จอห์น วิค ฆ่าไปในภาคนี้ ผมนับไม่ทันแฮะ เยอะมากๆ ผมนึกในใจ จอห์น เฮียจะเก่งไปถึงไหนฆ่าคนแบบเยอะและดูโปรมาก ฆ่าคนเยอะเป็นกองทัพพอๆกับลุงแรมโบ้ได้เลยนะ ยังนึกเลยว่าถ้าสองคนนี้มาอยู่ในจักวาลหนังเรื่องเดียวกัน คงแย่งแข่งกันฆ่าคนสนุกเลย ฮ่าๆ

 "สรุปสั้นๆ แอ็คชั่นมากไป เนื้อเรื่องอ่อน ไม่ค่อยคืบหน้า สองภาคแรกสนุกกว่า ดูเอามันเกินนนน จนรู้สึกแอ็คชั่นมันนานน่าเบื่อ และหนังมีภาคสี่แน่นอน เพราะทิ้งท้ายตอนจบเรื่องไว้อย่างนั้น ฮ่าๆ"

 7/10 ตอบโจทย์คอแอ็คชั่นจัดหนักจัดเต็ม แต่ไม่ตอบโจทย์สำหรับคอหนังแอ็คชั่นที่เน้นบทเข้มๆแบบผม ให้ไปเยอะเพราะเห็นความเป็นนักแสดงสองคนที่ติดตสมผลงานมานาน Keanu Reeves กับ Halle Berry เป็นเครดิต ไม่งั้น ผมตัดคะแนนลงไปอีกแน่นอน แต่ถ้าคนชอบแอ็คชั่นมากๆ เลยนะ คงให้เต็ม 10 แต่ผมมองภาพรวม 

 ปล. ฉากแอ็คชั่นใครที่คิดว่าหนังจะตัดต่อภาพไว หลบมุมกล้อง แบบหนังหลายๆเรื่อง คิดผิดครับ เรื่องนี้เขาให้เห็นฉากแอ็คชั่นจริงๆ ของ Keanu Reeves และทีมงานสตั้น และภาคนี้ฉากต่อสู้มือเปล่าเยอะขึ้น อยากให้ไปดู soundtrack นะ พากย์ไทย ดูแล้วไม่อิน ใส่มุขตลกแป๊กๆมาตลอด 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่