เราเคยมีหวีไม้อยู่ 1 เล่ม (ลักษณะนาม ถูกต้องตาม ราชบัณฑิตยสถาน) เจอมันโดยบังเอิญ ใข้เงินแลกมาครอบครอง
--เงินไม่ได้ตีค่าสิ่งของนั้น แต่เป็นคนเราที่ตีค่าสิ่งของนั้นเอง--
หวีเล่มนี้ ไม่ใช่ของใช้ส่วนตัว แต่ถูกแชร์ร่วมกับเพื่อนในที่ทำงาน พูดติดตลกคือ
เรา(เพื่อนร่วมงาน) ต่างแลกเปลี่ยนขี้ไคลบนหัวกัน วันแล้ววันเล่า ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้น มาแบบนั้น
....จนวันนึง หวีไม้ เล่มแรกของเราหัก ครึ่งท่อน เรารู้สึกใจหาย อย่างมาก
เคยมีใครกล่าวไว้ --- สิ่งของเปลี่ยนแปลง ได้ยากกว่าผู้คน----
แต่หวีเล่มนี้ ด่วนจากเรา เร็วเกินไป โดยที่เรายังไม่พร้อมจะทำใจยอมรับเลยจริงๆ
....เรา พยายามประสานมัน หากาวมาเชื่อม หวังแค่ให้ตัวเองได้ใช้ต่อ
แต่แล้ว ก็มีเสียงคัดค้าน จากผู้คนรอบข้าง หวั่นใจว่า หวีหัก จะนำความโชคร้าย มาถึงตัว
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ --- โชคร้าย จริงๆ เกิดจาก อะไร ที่ ไม่เกี่ยวกับ หวีหัก เลยสักนิด---
หลังสิ้นเสียงคัดค้าน ของเพื่อนๆ เรากลับโยน หวีเล่มรัก ทิ้ง ถังขยะในห้องทำงาน อย่างไม่ลังเล
นั่นคือการอำลาจาก หวีไม้ เล่มแรกของเรา จากกันด้วยความรู้สึกที่คนอื่น ชี้นำ ด้วยเหตุผล
แห่งความจริงสมมุติ ที่ไม่มีอยู่จริง
การที่เราแอบเศร้า จากการสูญเสียของรัก ที่ใครอาจมองว่า ไร้สาระ --- ไม่รู้จะมีใครสังเกตเห็นไหม
... แต่จากนั้นไม่นาน พี่ของเรา ซื้อหวีไม้ไกลถึง พม่า มาฝากเรา
มันมีกลิ่นหอม เฉพาะของมันเอง เราไม่รู้ว่ามันคือ ไม้จากต้นอะไร
เราพยายามใช้มันแล้ว แต่ซี่หวี มันไม่อ่อนโยน กับหนังศีรษะเราเท่าไหร่นัก ทรงหวี เป็นแบบสี่เหลี่ยม ไม่ถนัดมือ
เราไม่เหมาะกับมัน และมันก็ไม่เหมาะกับเรา
เราเลือกที่จะเก็บใส่ลิ้นชัก เพราะเชื่อเสมอว่า... ทุกการก่อกำเนิด ใดๆ ย่อมมีความหมาย
... วันนึง หวีเล่มนี้ อาจเจอ เจ้าของที่มันเหมาะสม กว่าเรา
เรายังคงไม่มี หวีไม้ ที่พอใจ ใช้ เป็นเวลาหลายปี
ทุกครั้งที่เดินตลาด หรือเลือกซื้อของใช้ ในศูนย์การค้า และในหลายๆโอกาส เราคอยแต่มองหา หวีไม้ ที่ตัวเองต้องการ แต่ไม่เคยเจอ
เรายังคงคิดว่าเมื่อไหร่?? เราจะมีหวีไม้ ที่เราพึงพอใจสักที !!
เมื่อไม่พบ เราจึงเลิกคิดที่จะใช้ หวีไม้ในที่สุด
กระทั่ง ช่วงเย็นวันหนึ่ง เราและเพื่อนเดินเล่นในตลาดนัด ไม่ไกลจากที่ทำงาน
เพลิดเพลินกับการ ดูเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของที่ระลึก ของแต่งบ้าน และ เอร็ดอร่อย กับของทานเล่น ระหว่างทางเดิน
เราเดินกันจนสุดเส้นทาง ใกล้กับจุดที่รถจอดเพื่อจะกลับบ้านกัน
ในขณะที่เราเดินนำหน้าเพื่อน อย่างเหนื่อยล้า
และอยากนั่งพักเต็มที เพื่อนกลับตะโกนให้หยุด
... เพื่อซื้อยำมะม่วง เมนูสุดโปรดของเขากลับบ้าน เราจึงเดินไปหาเพื่อน
และกลับพบว่า...
มีร้านขายหวีไม้ หลากหลายแบบ ตั้งอยู่ข้างๆกัน อย่างไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่นัก
เราสะดุดตา กับรูปทรง หวีไม้ ที่เรามองหา.. รู้สึกได้ว่า ยิ้มอยู่ในใจ
--- ในที่สุดเราก็เจอ หวีที่เราต้องการ ---
คนขายเห็นเรา มองจ้องสินค้าอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูด ทักทาย
กล่าวถึง สรรพคุณของไม้ที่ใช้ทำ ความแตกต่างกันของหวีแต่ละเล่ม เพราะเป็นงานทำมือ
เขาอยากให้เราลองใช้ ก่อนซื้อ แต่เราปฏิเสธ หยิบขึ้นมา 1 เล่ม
ทำความรู้จักมัน ด้วยการสัมผัสแค่นั้น และยื่นเงินให้คนขาย
เรายินดี กับการค้นพบหวีไม้ เล่มใหม่ ที่ถนัดมือ อ่อนโยนกว่าเดิม
และเพื่อให้มัน เตือนใจเราว่า บางสิ่งในชีวิตก็คงเหมือนกัน
“ค้นหาให้ตาย ยังไงก็ไม่เจอ หยุดค้นหา เมื่อไหร่ ก็เจอเอง”
และต่อไป หากแม้ หวีเล่มนี้ จะหัก แต่หากมันยังทำหน้าที่ของมันได้อยู่
แม้จะถูกซ่อมแซม และไม่สมบูรณ์ มันก็ยังมีคุณค่าสำหรับเรา
หรือหาก ต้องจากลา หวีไม้เล่มใหม่นี้ ในวันนึง
ก็ขอ ขุดหลุมฝัง มัน ที่ใดที่หนึ่ง ที่หัวใจเราจะหามันเจอ
แด่.. หวีไม้ที่หักในวันนั้น
Note: หวีไม้จาก พม่า ส่งมอบให้ชายวัยกลางคนที่คุ้นเคย ผู้ที่หนังศีรษะอ่อนแอลง ไม่รู้ด้วยวัย หรือความแกว่งไกวของจิตวิญญาณ ที่มากขึ้น หวังว่าหากเขาอ่าน ความเรียงนี้จะแสดงตัว
แด่.. หวีไม้ที่หักในวันนั้น