. โม ซาลาห์" ติดทำเนียบ 100 บุคคลทรงอิทธิพลของ TIME

.    นอกจากรางวัลบุคคลแห่งปี หรือ Person of the Year แล้ว
นิตยสาร TIME ยังมีอีกหนึ่งธรรมเนียมปฏิบัติสำคัญที่ทำเป็นประจำทุกปี
นั่นคือการประกาศรายชื่อ 100 บุคคลทรงอิทธิพลของโลก
หรือที่รู้จักกันในชื่อ TIME 100 โดยประกาศเป็นครั้งแรกในปี 1999

    รายชื่อดังกล่าว เป็นการรวบรวมบุคคลจากทั่วทุกมุมโลกที่ชื่อเสียง
ตลอดจนผลงานของเขาและเธอผู้นั้นสามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่อสังคมโลกได้
ซึ่งนักกีฬาก็เป็นอีกกลุ่มคนที่มีชื่อปรากฎอยู่ใน TIME 100 ประจำปี 2019 ถึง 6 คน
ประกอบด้วย ไทเกอร์ วู้ดส์, เลบรอน เจมส์, นาโอมิ โอซากะ,
แคสเตอร์ เซเมนยา, อเล็กซ์ มอร์แกน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น โม ซาลาห์ ดาวยิงคนสำคัญของลิเวอร์พูล และทีมชาติอียิปต์

คือหนึ่งในนักกีฬาที่มีชื่อปรากฎอยู่ใน TIME 100 ด้วย แต่กว่าที่จะมาถึงจุดนี้ได้
เขาได้สร้างแรงกระเพื่อมอะไรต่อวงการฟุตบอลและสังคมบ้าง?
    ราชาแห่ง "เดอะ ค็อป" นับตั้งแต่ย้ายจาก โรม่า สู่ ลิเวอร์พูล

ด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์เมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2017
โม ซาลาห์ ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญ
ที่ทำให้ทีมหงส์แดงมีฟอร์มการเล่นพุ่งทะลุเพดานในทันที

    แม้ 44 ประตู จาก 52 นัดรวมทุกรายการในฤดูกาล 2017/18
จะไม่อาจช่วยให้ทีมสามารถคว้าแชมป์รายการใดๆได้ กับอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก
และรองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก  แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า
ซาลาห์มีส่วนสำคัญในการนำจิตวิญญาณของ "เครื่องจักรสีแดง" 
ที่เคยเกรียงไกรในยุค 1970s-1980s กลับมาอีกครั้ง
กับการช่วยเพิ่มมิติในเกมรุกให้วูบวาบและเฉียบขาดกว่าเดิม
แม้ในฤดูกาล 2018/19 ที่กำลังเดินทางมาถึงช่วงโค้งสุดท้าย ผลงานส่วนตัวของซาลาห์จะดร็อปลงจากเดิม

เมื่อสถิติการทำประตูของเขาทุกรายการจนถึงวันที่จบเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมคือ 23 ประตูจาก 46 นัด
จากการที่ประสบกับช่วงเวลาฟอร์มฝืด ยิงประตูไม่ได้ต่อเนื่องมาหลายนัด
แต่สำหรับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมหงส์แดง คุณค่าที่ โม ซาลาห์ มีต่อลิเวอร์พูล

ไม่ได้มีแค่เพียงจำนวนประตูที่ทำได้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…
"ช่วงที่เขาทำประตูไม่ได้ โมมีส่วนในการเล่นฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมกับลิเวอร์พูล  ตามความเห็นของผม

การช่วยเหลือทีมมากขึ้นกว่าฤดูกาลที่แล้ว  เขาเปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่
และมีส่วนอย่างมากต่อการเล่นของเรา"
"สิ่งที่โมมอบให้กับเรา ไม่ได้เพียงประตูที่เขาทำ  เขาทำงานหนัก ทุ่มเท

และทำทุกอย่างเพื่อให้ทีมชนะ เขาเป็นเป็นตัวอย่างที่ดีของ 'นักเตะที่เล่นเพื่อทีม'
และแน่นอนว่าเขาเป็นกองหน้าระดับโลก"
"ผมไม่มีไอเดียว่าโมจะทำประตูจบที่กี่ลูกเมื่อฤดูกาลสิ้นสุด  แต่พูดตามตรงมันไม่สำคัญ

สิ่งสำคัญสำหรับเราทุกคนคือตำแหน่งทีมในพรีเมียร์ลีกเมื่อจบ 38 เกม
และผลลัพธ์ที่ได้ท้ายที่สุดในแชมเปียนส์ลีก และสำหรับโม เป้าหมายของเขา
คือทำให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จตามเป้าหมายเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ว่าในทางใดก็ตาม"
สิ่งที่ โม ซาลาห์ แสดงออกในสนาม ปรากฎให้เห็นเป็นผลลัพธ์

คือการทำให้ลิเวอร์พูลสามารถเป็นคู่แข่งชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกมาตลอดทั้งฤดูกาล 2018/19
ทำให้เหล่า เดอะ ค็อป กล้าฝันถึงวันสิ้นสุดการรอคอยว่า
แชมป์ลีกสูงสุดที่รอคอยมานาน29 ปีในปี  รวมถึงโอกาสคว้าแชมป์ยุโรปสมัย 6 ที่ใกล้ขึ้นมาอีกขั้น
เมื่อทีมหงส์แดงโผบินเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...


    ซาลาห์ เอฟเฟกต์
ประเทศอียิปต์ ดินแดนแห่งอารยธรรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ช่วงกว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาล

เข้าสู่ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อปี 2011
เมื่อประชาชนสามารถขับไล่ ฮอสนี มูบารัก ประธานาธิบดีผู้ครองอำนาจมาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปีได้สำเร็จ

    การปฏิวัติดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ "อาหรับสปริง" 
ที่ประชาชนในกลุ่มประเทศอาหรับลุกขึ้นมาประท้วงต่อต้าน
สู่การขับไล่ผู้ปกครองประเทศของตนที่ครองอำนาจและกดขี่มาอย่างยาวนาน
ทว่าฉากต่อมากลับไม่สวยหรูเหมือนในนิยาย เมื่ออียิปต์ต้องประสบกับวิกฤติการณ์ทางการเมือง

จากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆและกองทัพ นำมาซึ่งการรัฐประหารในปี 2013
ตลอดจนภัยคุกคามจากกลุ่มรัฐอิสลามหรือ IS (Islamic State)
และปัญหาทางเศรษฐกิจที่ยังคงส่งผลกระทบต่อประเทศนี้มาจนถึงปัจจุบัน
แต่ท่ามกลางความวุ่นวายต่างๆ ชาวอียิปต์ทั้งชาติจะรวมใจเป็นหนึ่งเดียวทันที

เมื่อทีมฟุตบอลทีมชาติอียิปต์มีโปรแกรมแข่งขัน…
และเมื่อ โม ซาลาห์ ยิงจุดโทษในช่วงทดเวลาเจ็บ
ทำให้ทีมฟาโรห์เฉือนชนะ คองโก 2-1  และนำอียิปต์เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2018
เขาก็ถูกยกให้มีสถานะประดุจเทพเจ้าของชาวอียิปต์ทั้งปวงโดยทันที


    "ผมคิดว่าการเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก คงเป็นช่วงเวลาที่ชาวอียิปต์มีความสุขถัดจากเหตุการณ์อาหรับสปริง
เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่พวกเราโหยหามานาน" ฮาเต็ม มาเฮอร์ นักข่าวสายกีฬาจากกรุงไคโรเผยถึงความรู้สึก
หลังอียิปต์เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ถัดจากปี 1990
ผลงานจากปลายสตั๊ดของเขาที่ทำให้ชาวอียิปต์มีความสุขมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

จะว่าไปก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ตำนานดาวยิงแห่งทีมชาติไอวอรี่โคสต์
ทำให้กับบ้านเกิดเมืองนอนของเขาในอดีต เพราะนอกจากจะนำทีมช้างดำเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในปี 2006 แล้ว
ทุกคำพูดที่เอ่ยออกจากปาก ยังมีส่วนช่วยให้สงครามกลางเมืองซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2002 ยุติลงในปี 2007
และนี่คือเหตุผลที่ TIME เลือกดร็อกบาเป็น 1 ใน 100 บุคคลทรงอิทธิพลของโลกในปี 2010

    และหาก ดร็อกบา คือบุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์ของไอวอรี่โคสต์แล้ว
สิ่งที่ ซาลาห์ ทำ ก็ส่งผลให้เขามีความสำคัญกับประเทศอียิปต์ไม่ต่างกัน
ดังที่ โมฮาเหม็ด ฟารัค อาเมอร์ ประธานคณะกรรมการเยาวชนและกีฬาของรัฐสภาอียิปต์เปิดเผยกับ The Guardian
ว่า "โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีความสำคัญกับอียิปต์มาก เพราะเขาเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของชาติไปแล้ว
เหมือนกับที่ ตุตันคาเมน และ ปิรามิด เป็นสัญลักษณ์ของชาติเรานั่นแหละ"
ไม่เพียงเท่านั้น ซาลาห์ ยังเปรียบเสมือนแรงบันดาลใจของชาวอียิปต์ทั้งประเทศ

เพราะทุกการกระทำที่เขามีส่วนเกี่ยวข้อง ประชาชาชาวอียิปต์จะสนับสนุนและพร้อมทำตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
เห็นได้จากเมื่อมีการแข่งขัน โดยตัดสินด้วยผลโหวตคราใด
ชาวอียิปต์ โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นใหม่ๆ จะพร้อมทุ่มโหวตให้อย่างไม่ลังเล
และเมื่อซาลาห์ปรากฎตัวในโฆษณาต่อต้านยาเสพติดของอียิปต์
จะมีคนโทรเข้ามาที่สายด่วนบำบัดผู้เสพยาเพิ่มขึ้นถึง 400% เพียงชั่วข้ามคืน


    เหตุดังกล่าว โซลาวา อิบราฮิม อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแองเกลีย รัสกิน สรุปไว้ว่า
"ด้วยอิทธิพลที่มี  และเรื่องราวอันเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมหาศาลในอียิปต์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เอฟเฟกต์ นั้นมีจริง"
มุมมองใหม่จากชายคนหนึ่ง
อิทธิพลของ โม ซาลาห์ ที่มีต่อชาวอียิปต์และลิเวอร์พูลนั้นมากมาย

ถึงขนาดที่พวกเขาขนานนามให้เป็น  "ราชาแห่งอียิปต์ยุคใหม่" 
ถึงขนาดที่ บริติช มิวเซียม ต้องนำรองเท้าสตั๊ดที่เขาใส่ มาจัดแสดง


    โดย นีล สเปนเซอร์ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ในส่วนของอียิปต์โบราณและซูดาน เผยเหตุผลว่า 
"รองเท้าของซาลาห์ได้บอกกล่าวเรื่องราวของไอคอนแห่งอียิปต์ยุคใหม่
ที่ผลงานของเขาในสหราชอาณาจักรได้สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก"
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของซาลาห์ไม่ได้ส่งแรงกระเพื่อมเพียงเท่านั้น

แต่ยังได้เปลี่ยนทัศนคติของผู้คนทั่วโลกที่มีต่อศาสนาอิสลามอีกด้วย
ตลอดช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่า

ภาพลักษณ์ของศาสนาอิสลามในสายตาชาวโลกนั้นเปรียบเสมือนผู้ร้าย
จากการที่มีกลุ่มหัวรุนแรงหลายกลุ่มเป็นแกนนำในการก่อการร้ายตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก
ทว่าซาลาห์ ผู้สร้างผลงานสนั่นวงการฟุตบอลในภาพลักษณ์อันนอบน้อม

ก็ทำให้ทัศนคติของผู้คนที่เคยมีต่อศาสนาอิสลามเปลี่ยนไป…
กาหลิบ ข่าน ประธานแห่งมัสยิด ชีค อับดุลลาห์ กิลเลียม ในเมืองลิเวอร์พูล เผยว่า 

"โมคือผู้ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของเด็กๆ ทุกสีผิว, เชื้อชาติ และความเชื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน"
"เขานำความสนุกมาสู่เด็กๆ รวมถึงภาพลักษณ์ที่เป็นบวกมากขึ้นสำหรับศาสนาอิสลามมาสู่ผู้คนในสังคม

นี่เป็นของขวัญที่เราจะไม่มีวันลืม"


    ขณะที่ มูมิน ข่าน ประธานเจ้าหน้าที่ของมัสยิดแห่งเดียวกันก็เสริมว่า 
"เขาเป็นแบบอย่างที่ดีอย่างที่ไม่มีใครต้องสงสัย ทั้งสำหรับชุมชนชาวมุสลิมและอื่นๆ
ทั้งในสหราชอาณาจักรและทั้งโลก"
"ต้องยอมรับว่า เขาช่วยเปลี่ยนการรับรู้ของผู้คนที่มีต่อความเชื่อของอิสลามที่เคยเป็นไปในทางลบให้เปลี่ยนไป

นี่คือต้นแบบที่เรามองหา และผู้คนชอบเขามากในการนำทุกคนเข้าหากัน"
และแม้แต่ สตีฟ ร็อตเธอร์แฮม ผู้ว่าการเขตเมืองลิเวอร์พูลก็ยังรู้สึกในทางเดียวกัน

โดยชี้ว่า "การทำลายความเกลียดกลัวที่มีต่อศาสนาอิสลาม (Islamophobia) ด้วยลำพังเพียงคนเดียวนั้น
ถือเป็นความสำเร็จที่เป็นปรากฎการณ์"
"สิ่งที่ซาลาห์ทำในวันนี้ ผมคิดว่ามันเหมือนกับตอนที่ จอห์น บาร์นส์ ทำให้กับสังคมคนผิวดำในยุค 1980s เลยล่ะ"
ทุกประตู, ทุกการแอสซิสต์ และทุกการกระทำของเขาทั้งในและนอกสนาม

ทำให้ โม ซาลาห์ ถูกยกย่องจากนิตยสาร TIME ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลทรงอิทธิพลของโลกประจำปี 2019
ซึ่งหากสรุปความดีงามและแรงกระเพื่อมทางบวกต่อสังคมที่เกิดขึ้น   
บางทีสิ่งที่ จอห์น โอลิเวอร์ พิธีกรคนดังจากรายการ Last Week Tonight ทางสถานีโทรทัศน์ HBO
และเป็นแฟนทีมลิเวอร์พูลตัวยง เขียนคำนิยมถึงซาลาห์ในการติดทำเนียบ TIME 100
คงเป็นสิ่งที่บอกกล่าวเรื่องราวได้ดีที่สุดแล้ว...

    "โม ซาลาห์ เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลก แต่การเป็นมนุษย์ของเขามันดีกว่านั้นเสียอีก"
"ผมเองก็ไม่อาจจินตนาการถึงแรงกดดันที่มาจากความสำเร็จ และความรักที่มีในตัวเขาได้หรอกนะ

แต่ทั้งๆที่เขาเป็นไอคอนของทั้งชาวอียิปต์, แฟนบอลลิเวอร์พูล และชาวมุสลิม
เขาก็ยังคงความสุภาพ, ช่างคิด, ความมีน้ำใจ และความตลกเอาไว้ได้
ที่สำคัญคือ เขายังเล่นฟุตบอลด้วยความสุข และความสุขนั้นสามารถส่งต่อสู่คนอื่นๆได้อีกด้วย"
"บอกตรงๆ ผมโคตรรักเขาเลยว่ะ"


Main stand สนับสนุนเนื้อหา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่