สวัสดีครับ สำหรับประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่าหลายๆคนก็คงได้เคยไปสัมผัสกันมาบ้างแล้ว ส่วนตัวผมเองก็ไปมาแล้ว 3 ครั้ง ปีนี้ตอนแรกก็กะว่าจะไม่ไป แต่เจอตั๋ว Low Cost ราคาไม่แพงมาก ตอนเดือนมี.ค. อยู่ๆก็เลยหุนหันกดซื้อมาซะเลย โดยทริปของผมคือเดินทางไปเที่ยวกับแฟนในเมืองเขตคันโต ได้แก่ นาริตะ - โตเกียว - คาวากูชิโกะ - ชิบะ เดินทาง 10-16 พ.ค. 62 ซึ่งเป็นช่วงเกือบๆปลายฤดูใบไม้ผลิ กำลังจะเข้าฤดูร้อนแล้ว ใครเคยไปมาแล้วก็ถือว่ามาอัพเดตกันอีกทีนะครับ
จุดประสงค์ของทริปนี้ไม่มีอะไรมาก
1. ไปเที่ยวฟูจิ (ยังไม่เคยไป)
2. ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบเน้นธรรมชาติ ชนบทบ้าง ในเมืองชิบะ
3. ตามหาฟิกเกอร์ที่เล็งอยู่ที่โตเกียว
4. ทดสอบการถ่ายภาพของ Huawei P30 Pro (เพิ่งถอยออกมาเพื่อทริปนี้เลยครับ 55)
5. กิน กิน กิน และ กิน
ทุกภาพ ถ่ายจากกล้องของ Huawei P30 Pro บางรูปไม่แต่ง บางรูปก็ Process บ้างนิดหน่อยครับ
ไปออกเดินทางพร้อมกันเลยดีกว่าครับ

===============
Day 1 10/5/19 Bangkok - Narita
เราเดินทางกันด้วยสายการบินของ NokScoot ที่ออกโปรตั๋วช่วงเดือน มี.ค. ได้ตั๋วราคาประมาณ 8,xxx รวมทุกอย่างแล้ว ได้น้ำหนักกระเป๋า 20 กก. แต่เราก็ตัดสินใจจ่ายค่าจองที่นั่งเพิ่มอีกคนละ 650 บาท สำหรับที่นั่งโซน Silent เพราะอยากได้ความเป็นส่วนตัว + กลัวเสียงวุ่นวายของเด็กๆ ซึ่งเครื่องจะออกจากสนามบินดอนเมืองตอนตี 2.20 นาที
เรามาถึงดอนเมืองกันประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ก็เจอแถวคนต่อคิวเช็คอินกันยาวเหยียดสุดๆ (ไม่มีเช็คอินออนไลน์) ดีที่เราจองที่นั่งกันไว้แล้ว ก็เลยไปนั่งหาอะไรกินรอเวลาอื่นก่อนอยู่เกือบชั่วโมง พอประมาณใกล้ๆตี 1 ถึงเริ่มไปต่อแถว ซึ่งก็สั้นลงพอสมควร แต่ก็ยังเหลือคนเยอะอยู่ดี
สภาพแถวเช็คอินตอนตี 1 นี่แน่นน้อยลงเยอะแล้วนะครับ แต่คนยังมากอยู่ดี เพลานั้นก็เริ่มง่วงมากแล้วเหมือนกัน

หลังจากรอเวลาเกตเปิดตอนประมาณตี 1.40 ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกัน
ที่นั่งโซน Silent ก็จะกว้างขวางกว่าปกติหน่อย ที่นั่งคนก็จองไม่เต็ม ผมกับแฟนนั่งกัน 2 คน สบายเลย (แต่เนื่องจากเป็น Low Cost ก็เลยไม่มีจอทีวีไว้เล่นเกมดูหนัง แถมไม่มีอาหาร ถ้าอยากกินต้องสั่งเพิ่มเอง : แต่ก็ไม่เป็นไร ณ เวลานั้นนี่ อยากนอนมากกว่าอยู่แล้ว 55)

กว่าเครื่องจะออกก็เกือบตี 2.40 ผมนี่น็อคไปแล้ว ตื่นมาอีกทีประมาณ 7 โมงกว่า อีกชม.ครึ่งก็ถึงพอดี
อากาศที่เห็นจากบนเครื่อง น่าจะสดใสพอดูเลย

10.30 เครื่องลงจอดที่สนามบินนาริตะ อุณหภูมิวันนี้ประมาณ 24 องศา แดดแรงพอสมควรเลยครับ

หลังจากผ่านตม.และรับกระเป๋า พวกเราก็เดินทางเข้า รร. ที่เมืองนาริตะ โดยนั่ง JR จากสนามบินมาลงสถานีนาริตะ ค่าตั๋ว 260 เยน ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึง
รร. ที่พวกเราพัก ชื่อ Welco Narita อยู่ติดกับสถานีรถไฟเลย สะดวกสบายมากๆ

มาถึงประมาณเที่ยงกว่าๆ ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน (เช็คอินได้ตอนบ่าย 2) เลยฝากกระเป๋าไว้ที่ รร. ก่อน แล้วค่อยออกไปเดินเที่ยว
อันนี้ถ่ายตอนกลับ รร. มาอีกรอบ ในห้องพักกว้างพอสมควร ประมาณ รร.3 ดาวในไทย (แต่สำหรับญี่ปุ่น นี่คือกว้างสุดที่ผมเคยพักมาละครับ 55 ถ้าในโตเกียวไม่ต้องพูดถึง แคบกว่านี้ครึ่งนึงได้) ค่าห้องคืนละ 10,800 เยน (หารกัน 2 คน ตกคนละ 5,400 เยน หรือประมาณ 1,500 บาทต่อคืน)

ห้องน้ำครับ รร.ญี่ปุ่นห้องน้ำก็จะออกแนวพลาสติกๆ แคบๆหน่อย แต่ชักโครกก็ยังมีระบบล้างก้นอัตโนมัตินะ 55

หลังจากฝากกระเป๋าแล้ว ก็ถึงเวลาไปหาอะไรกินกัน โดยร้านที่เราเล็งไว้ก็คือร้าน Kawatoyo ร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดังในย่านถนน Omotesando อยู่ห่างจาก รร.ประมาณ 800 เมตร
ถนนเส้น Omotesando เป็นถนนคนเดิน สะอาดสะอ้านมากๆ 2 ข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย โดยเฉพาะร้านซอฟต์ครีมและร้านขนมเซมเบ้ 55

ถึงแล้วครับ ร้าน Kawatoyo ปกติได้ข่าวคนเยอะมากจนต้องเข้าคิวรอ แต่ตอนผมไป สบายมาก ได้กินเลย ไม่ต้องรอคิว

ที่นี่ เขาจะแล่ปลา ย่างปลากันสดๆเลย ไม่ใช่ฉีกจากซองสำเร็จรูปเหมือนบ้านเรา แล่กันตรงหน้าร้านนี่แหละ

บรรยากาศภายในร้าน เราได้นั่งชั้น 2 ก่อนขึ้น ต้องถอดรองเท้าใส่ถุงพลาสติกที่ทางร้านจัดไว้ให้ด้วย ตอนผมไป มีคนไทยไปกินกันหลายโต๊ะพอสมควร

ข้าวหน้าปลาไหลที่นี่ หลักๆจะมีให้เลือกตามไซส์ เล็ก กลาง ใหญ่ ตั้งแต่ 2,xxx เยน จนถึง 4,xxx เยน ผมสั่งแบบไซส์เกือบใหญ่สุด รวม vat รวมค่าบริการแล้ว net 3,700 เยน
เปิดกล่องมา หน้าตายั่วยวนมวาก

ความแตกต่างจากปลาไหลที่บ้านเราก็คือ ปลาไหลที่นี่มันจะไม่มันๆ และไม่ฉ่ำซอสหวานๆเท่า แต่เนื้อจะฟูกว่า กินเข้าไปแล้วสัมผัสถึงเนื้อปลาได้มากกว่า มีความหอมจากการย่างสดๆ แต่รสจะอ่อนกว่าไม่ค่อยเน้นซอส ส่วนตัวให้ 8/10 เนื้อปลาอร่อย แต่รสจางไปหน่อย
หลังจากทานปลาไหลเสร็จแล้ว เราก็เดินต่ออีกนิดไปไหว้พระที่วัด Shinshoji Temple วัดที่ใครแวะมาที่นาริตะ ก็ต้องมาไหว้พระขอพรกันสักครั้ง


ภายในวัดพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่เราเดินได้ไม่หมด แค่มาไหว้พระที่ศาลเจ้าใหญ่เสร็จ เดินรอบๆสักพัก ได้เวลาเช็คอินประมาณบ่าย 2 โมงก็กลับไปเช็คอินที่โรงแรมเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปต่อ
พอเช็คอิน และพักผ่อนตามอัธยาศัยสักพัก จนถึงเวลาประมาณบ่าย 3 ครึ่ง เราก็เตรียมออกเดินทางไปยังเมือง “ซาวาระ” เมืองเก่าทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดชิบะ ที่ได้รับฉายาว่า “Little Edo” กันต่อ โดยต้องนั่งรถไฟ JR จากสถานีนาริตะไปประมาณ 30 นาที *แต่ถ้าใครจะไป โปรดระวังว่า รถไฟมันไม่ได้มาถี่นะครับ แต่ละขบวนมาห่างกันเกือบ 1 ชม.ครึ่ง! อย่างเราไปถึงสถานีตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง ปรากฏ รถไฟออก 16.30 น. ต้องนั่งรออยู่เกือบ 1 ชม.เลยทีเดียว
ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เราก็มาถึงเมืองซาวานะกันตอนประมาณ 5 โมงกว่าๆ
ขนาดหน้าสถานี ยังสร้างให้ดูโบร่ำโบราณเลยทีเดียว

จากหน้าสถานี เดินต่อไปที่ย่าน Little Edo ซึ่งเป็นถนนคนเดินเลียบคลองยาวประมาณ 1 กิโลกว่า ต้องเดินไปประมาณ 800 เมตร กว่าจะถึงก็เมื่อยพอตัว
ถึงแล้วครับย่าน Little Edo

ตั้งแต่มาถึงที่นาริตะ จนกระทั่งถึงเมืองซาวาระ ความรู้สึกก็คือ เมืองชนบทย่านนี้นั้นมันเงียบสงบมากจริงๆ ยิ่งเทียบกับโตเกียวยิ่งห่างกันลิบลับ ที่นี่ แทบไม่มีผู้คนเดินจอแจ ไม่มีความวุ่นวาย อากาศก็ดี๊ดี บ้านเมืองก็แสนสะอาด ได้เดินกินลมชมวิว สูดอากาศบริสุทธิ์ไปตลอดทาง นี่แหละครับ คือนิยามของความสงบสุขอย่างแท้จริง

อาจเป็นเพราะเป็นวันธรรมดา แถมไม่ใช่ช่วง High Season เท่าไหร่ และเวลาก็เริ่มเย็นแล้ว นักท่องเที่ยวเลยน้อย ร้านรวงต่างๆก็ปิดทำการ (ตอนแรกว่าจะนั่งเรือ ก็เลยไม่ได้นั่ง) เราเลยได้แต่มาเดินชิวถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันแค่นั้น แต่ก็ถือว่า ได้บรรยากาศการท่องเที่ยวที่เงียบสงบไปอีกแบบ ก็สบายใจดีเหมือนกัน

เดินกันจนเมื่อย ถึงประมาณ 6 โมงกว่า ก็เตรียมตัวขึ้นรถไฟกลับนาริตะกัน
บรรยากาศยามเย็นที่หน้าสถานี

กว่ารถไฟจะมาก็ 19.20 น. เราเลยหาอะไรกินกันก่อน เลยแวะกินราเมงแถวๆสถานีนั่นแหละครับ
ไม่รู้จะสั่งยังไง เลยจิ้มๆเออออกับป้าเจ้าของร้านไปว่า ทงตัตสึโชยุ ก็เลยได้ชามนี้มา ราคา 700 เยน รสชาติพอไปวัดไปวาได้อยู่ เอาไป 7/10

ทานเสร็จก็ขึ้นรถไฟกลับ รร.ที่นาริตะ เป็นอันจบทริปวันแรก ก่อนที่วันพรุ่งนี้เราจะเดินทางเข้าสู่โตเกียวกันต่อ
++บันทึกการเดินทางสู่ภูมิภาคคันโต 10-16 May 2019 ด้วย Huawei P30 Pro++
จุดประสงค์ของทริปนี้ไม่มีอะไรมาก
1. ไปเที่ยวฟูจิ (ยังไม่เคยไป)
2. ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบเน้นธรรมชาติ ชนบทบ้าง ในเมืองชิบะ
3. ตามหาฟิกเกอร์ที่เล็งอยู่ที่โตเกียว
4. ทดสอบการถ่ายภาพของ Huawei P30 Pro (เพิ่งถอยออกมาเพื่อทริปนี้เลยครับ 55)
5. กิน กิน กิน และ กิน
ทุกภาพ ถ่ายจากกล้องของ Huawei P30 Pro บางรูปไม่แต่ง บางรูปก็ Process บ้างนิดหน่อยครับ
ไปออกเดินทางพร้อมกันเลยดีกว่าครับ
===============
Day 1 10/5/19 Bangkok - Narita
เราเดินทางกันด้วยสายการบินของ NokScoot ที่ออกโปรตั๋วช่วงเดือน มี.ค. ได้ตั๋วราคาประมาณ 8,xxx รวมทุกอย่างแล้ว ได้น้ำหนักกระเป๋า 20 กก. แต่เราก็ตัดสินใจจ่ายค่าจองที่นั่งเพิ่มอีกคนละ 650 บาท สำหรับที่นั่งโซน Silent เพราะอยากได้ความเป็นส่วนตัว + กลัวเสียงวุ่นวายของเด็กๆ ซึ่งเครื่องจะออกจากสนามบินดอนเมืองตอนตี 2.20 นาที
เรามาถึงดอนเมืองกันประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ก็เจอแถวคนต่อคิวเช็คอินกันยาวเหยียดสุดๆ (ไม่มีเช็คอินออนไลน์) ดีที่เราจองที่นั่งกันไว้แล้ว ก็เลยไปนั่งหาอะไรกินรอเวลาอื่นก่อนอยู่เกือบชั่วโมง พอประมาณใกล้ๆตี 1 ถึงเริ่มไปต่อแถว ซึ่งก็สั้นลงพอสมควร แต่ก็ยังเหลือคนเยอะอยู่ดี
สภาพแถวเช็คอินตอนตี 1 นี่แน่นน้อยลงเยอะแล้วนะครับ แต่คนยังมากอยู่ดี เพลานั้นก็เริ่มง่วงมากแล้วเหมือนกัน
หลังจากรอเวลาเกตเปิดตอนประมาณตี 1.40 ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกัน
ที่นั่งโซน Silent ก็จะกว้างขวางกว่าปกติหน่อย ที่นั่งคนก็จองไม่เต็ม ผมกับแฟนนั่งกัน 2 คน สบายเลย (แต่เนื่องจากเป็น Low Cost ก็เลยไม่มีจอทีวีไว้เล่นเกมดูหนัง แถมไม่มีอาหาร ถ้าอยากกินต้องสั่งเพิ่มเอง : แต่ก็ไม่เป็นไร ณ เวลานั้นนี่ อยากนอนมากกว่าอยู่แล้ว 55)
กว่าเครื่องจะออกก็เกือบตี 2.40 ผมนี่น็อคไปแล้ว ตื่นมาอีกทีประมาณ 7 โมงกว่า อีกชม.ครึ่งก็ถึงพอดี
อากาศที่เห็นจากบนเครื่อง น่าจะสดใสพอดูเลย
10.30 เครื่องลงจอดที่สนามบินนาริตะ อุณหภูมิวันนี้ประมาณ 24 องศา แดดแรงพอสมควรเลยครับ
หลังจากผ่านตม.และรับกระเป๋า พวกเราก็เดินทางเข้า รร. ที่เมืองนาริตะ โดยนั่ง JR จากสนามบินมาลงสถานีนาริตะ ค่าตั๋ว 260 เยน ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึง
รร. ที่พวกเราพัก ชื่อ Welco Narita อยู่ติดกับสถานีรถไฟเลย สะดวกสบายมากๆ
มาถึงประมาณเที่ยงกว่าๆ ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน (เช็คอินได้ตอนบ่าย 2) เลยฝากกระเป๋าไว้ที่ รร. ก่อน แล้วค่อยออกไปเดินเที่ยว
อันนี้ถ่ายตอนกลับ รร. มาอีกรอบ ในห้องพักกว้างพอสมควร ประมาณ รร.3 ดาวในไทย (แต่สำหรับญี่ปุ่น นี่คือกว้างสุดที่ผมเคยพักมาละครับ 55 ถ้าในโตเกียวไม่ต้องพูดถึง แคบกว่านี้ครึ่งนึงได้) ค่าห้องคืนละ 10,800 เยน (หารกัน 2 คน ตกคนละ 5,400 เยน หรือประมาณ 1,500 บาทต่อคืน)
ห้องน้ำครับ รร.ญี่ปุ่นห้องน้ำก็จะออกแนวพลาสติกๆ แคบๆหน่อย แต่ชักโครกก็ยังมีระบบล้างก้นอัตโนมัตินะ 55
หลังจากฝากกระเป๋าแล้ว ก็ถึงเวลาไปหาอะไรกินกัน โดยร้านที่เราเล็งไว้ก็คือร้าน Kawatoyo ร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดังในย่านถนน Omotesando อยู่ห่างจาก รร.ประมาณ 800 เมตร
ถนนเส้น Omotesando เป็นถนนคนเดิน สะอาดสะอ้านมากๆ 2 ข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย โดยเฉพาะร้านซอฟต์ครีมและร้านขนมเซมเบ้ 55
ถึงแล้วครับ ร้าน Kawatoyo ปกติได้ข่าวคนเยอะมากจนต้องเข้าคิวรอ แต่ตอนผมไป สบายมาก ได้กินเลย ไม่ต้องรอคิว
ที่นี่ เขาจะแล่ปลา ย่างปลากันสดๆเลย ไม่ใช่ฉีกจากซองสำเร็จรูปเหมือนบ้านเรา แล่กันตรงหน้าร้านนี่แหละ
บรรยากาศภายในร้าน เราได้นั่งชั้น 2 ก่อนขึ้น ต้องถอดรองเท้าใส่ถุงพลาสติกที่ทางร้านจัดไว้ให้ด้วย ตอนผมไป มีคนไทยไปกินกันหลายโต๊ะพอสมควร
ข้าวหน้าปลาไหลที่นี่ หลักๆจะมีให้เลือกตามไซส์ เล็ก กลาง ใหญ่ ตั้งแต่ 2,xxx เยน จนถึง 4,xxx เยน ผมสั่งแบบไซส์เกือบใหญ่สุด รวม vat รวมค่าบริการแล้ว net 3,700 เยน
เปิดกล่องมา หน้าตายั่วยวนมวาก
ความแตกต่างจากปลาไหลที่บ้านเราก็คือ ปลาไหลที่นี่มันจะไม่มันๆ และไม่ฉ่ำซอสหวานๆเท่า แต่เนื้อจะฟูกว่า กินเข้าไปแล้วสัมผัสถึงเนื้อปลาได้มากกว่า มีความหอมจากการย่างสดๆ แต่รสจะอ่อนกว่าไม่ค่อยเน้นซอส ส่วนตัวให้ 8/10 เนื้อปลาอร่อย แต่รสจางไปหน่อย
หลังจากทานปลาไหลเสร็จแล้ว เราก็เดินต่ออีกนิดไปไหว้พระที่วัด Shinshoji Temple วัดที่ใครแวะมาที่นาริตะ ก็ต้องมาไหว้พระขอพรกันสักครั้ง
พอเช็คอิน และพักผ่อนตามอัธยาศัยสักพัก จนถึงเวลาประมาณบ่าย 3 ครึ่ง เราก็เตรียมออกเดินทางไปยังเมือง “ซาวาระ” เมืองเก่าทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดชิบะ ที่ได้รับฉายาว่า “Little Edo” กันต่อ โดยต้องนั่งรถไฟ JR จากสถานีนาริตะไปประมาณ 30 นาที *แต่ถ้าใครจะไป โปรดระวังว่า รถไฟมันไม่ได้มาถี่นะครับ แต่ละขบวนมาห่างกันเกือบ 1 ชม.ครึ่ง! อย่างเราไปถึงสถานีตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง ปรากฏ รถไฟออก 16.30 น. ต้องนั่งรออยู่เกือบ 1 ชม.เลยทีเดียว
ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เราก็มาถึงเมืองซาวานะกันตอนประมาณ 5 โมงกว่าๆ
ขนาดหน้าสถานี ยังสร้างให้ดูโบร่ำโบราณเลยทีเดียว
จากหน้าสถานี เดินต่อไปที่ย่าน Little Edo ซึ่งเป็นถนนคนเดินเลียบคลองยาวประมาณ 1 กิโลกว่า ต้องเดินไปประมาณ 800 เมตร กว่าจะถึงก็เมื่อยพอตัว
ถึงแล้วครับย่าน Little Edo
ตั้งแต่มาถึงที่นาริตะ จนกระทั่งถึงเมืองซาวาระ ความรู้สึกก็คือ เมืองชนบทย่านนี้นั้นมันเงียบสงบมากจริงๆ ยิ่งเทียบกับโตเกียวยิ่งห่างกันลิบลับ ที่นี่ แทบไม่มีผู้คนเดินจอแจ ไม่มีความวุ่นวาย อากาศก็ดี๊ดี บ้านเมืองก็แสนสะอาด ได้เดินกินลมชมวิว สูดอากาศบริสุทธิ์ไปตลอดทาง นี่แหละครับ คือนิยามของความสงบสุขอย่างแท้จริง
อาจเป็นเพราะเป็นวันธรรมดา แถมไม่ใช่ช่วง High Season เท่าไหร่ และเวลาก็เริ่มเย็นแล้ว นักท่องเที่ยวเลยน้อย ร้านรวงต่างๆก็ปิดทำการ (ตอนแรกว่าจะนั่งเรือ ก็เลยไม่ได้นั่ง) เราเลยได้แต่มาเดินชิวถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันแค่นั้น แต่ก็ถือว่า ได้บรรยากาศการท่องเที่ยวที่เงียบสงบไปอีกแบบ ก็สบายใจดีเหมือนกัน
เดินกันจนเมื่อย ถึงประมาณ 6 โมงกว่า ก็เตรียมตัวขึ้นรถไฟกลับนาริตะกัน
บรรยากาศยามเย็นที่หน้าสถานี
กว่ารถไฟจะมาก็ 19.20 น. เราเลยหาอะไรกินกันก่อน เลยแวะกินราเมงแถวๆสถานีนั่นแหละครับ
ไม่รู้จะสั่งยังไง เลยจิ้มๆเออออกับป้าเจ้าของร้านไปว่า ทงตัตสึโชยุ ก็เลยได้ชามนี้มา ราคา 700 เยน รสชาติพอไปวัดไปวาได้อยู่ เอาไป 7/10
ทานเสร็จก็ขึ้นรถไฟกลับ รร.ที่นาริตะ เป็นอันจบทริปวันแรก ก่อนที่วันพรุ่งนี้เราจะเดินทางเข้าสู่โตเกียวกันต่อ