สมัยนี้เราจะเห็นได้ว่าจำนวนแม่เลี้ยงเดี่ยวมีมากขึ้น หลายคนก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมือโปร คือมีพรรษานานจนมีความเชี่ยวชาญกับวิถีชีวิตของแม่เลี้ยงเดี่ยว สามารถปรับตัวปรับใจได้ดี บางคนลูกอาจจะโตจนไปทำงานกันแล้ว หลายคนก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมือใหม่ยังสับสนและยังทำใจไม่ได้ หลายคนกำลังตัดสินใจว่าจะเป็นแม่เลี้ยงดีไหม อยู่ในความสัมพันธ์ไปก็ทุกข์ทรมานจะเลิกราก็กลัวลูกจะเป็นเด็กมีปัญหา บางคนไม่ยอมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเพราะกลัวลูกจะขาดพ่อยอมทนเพื่อลูก
ที่จริงแล้วการที่เด็กจะมีปัญหาหรือไม่มี ถ้าเรามองกันอย่างเป็นกลางและอย่างเป็นจริงโดยไม่เอาอคติเข้ามามอง เราจะเห็นภาพครอบครัวในสังคมไทยอยู่ประมาณนี้
- พ่อแม่เลิกกันเด็กมีปัญหา
- พ่อแม่เลิกกัน แต่ลูกก็ได้ดิบได้ดี แถมยังเป็นลูกกตัญญูอีกด้วย
- พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันมีความสุขดี
- พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน พ่อชอบเมาเหล้า ทุกๆ วันก็จะเป็นภาพพ่อแม่ตบตีกัน หลังจากนั้นก็ดีกัน วนๆ ไป
- พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน พ่อมีกิ๊กมีเมียน้อยไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แม่ก็ร้องไห้ วนๆ ไป
- พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน พ่อข่มขืนลูก แม่รู้เห็นแต่ให้ลูกกินยาคุม เพราะแม่ไม่รู้จะทำยังไง
และยังมีภาพครอบครัวไทยอีกหลายแบบ โดยไม่ตัดสินหรือชี้นำ จากภาพที่เราเห็นทั้งครอบครัวตัวเอง ครอบครัวคนอื่น เราคงจะพอได้ข้อสรุปว่าพ่อแม่เลิกกันเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นเด็กใจแตกมีปัญหาของลูกหรือไม่ หรืออะไรกันแน่ที่เป็นตัวกำหนด ซึ่งในความเป็นจริงมันมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาแทรกแซงอีกด้วย อย่างเช่น ความผิดปกติทางสมอง พันธุกรรม สถานะทางการเงิน พื้นอารมณ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ฯลฯ ซึ่งในส่วนนั้นก็คงจะไม่พูดละเอียด เพราะว่ามันละเอียดอ่อนเกินกว่าที่จะมาฟันธงได้ว่าเพราะอะไรลูกถึงมีปัญหา แต่จะขอแชร์ในส่วนของการเลี้ยงลูกให้ไม่มีปัญหาหลังจากพ่อแม่เลิกกัน
เราก็เหมือนแม่เลี้ยงเดี่ยวทั่วไป ที่ก่อนหน้าจะเลิกกับสามีต้องผ่านการทะเลาะกันอย่างรุนแรงบ่อยๆ สามีนอกใจ สามีเลือกผู้หญิงคนอื่น สามีบอกว่าเบื่อนิสัย ซึ่งเป็นสาเหตุคลาสสิคของการเลิกกัน ซึ่งในชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวของเราก็ 4 ปีแล้ว ถ้าเป็นนักศึกษาก็เท่ากับสำเร็จการศึกษาพอดี ชีวิต 4 ปีในมหา'ลัยชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวก็จะมีไทม์ไลน์ประมาณนี้ค่ะ
- ปีที่ 1 "ดิ่ง" (อารมณ์แบบเฟรชชี่เข้าวงการมาใหม่ๆ) ร้องไห้ตลอดเวลา นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นอาทิตย์ กินข้าวไม่ได้เลย กินข้าวเข้าไปคำเดียวก็อยากอาเจียน กินได้แต่ของเหลวพวกนม น้ำ น้ำหวาน มาทำงานก็ทำงานไม่ได้เลย นั่งร้องไห้ทั้งวันคิดอะไรก็ไม่ออก อยากจะนอนอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน แต่พอนอนก็นอนไม่หลับ ข้างในใจมันว่างเปล่า อ่านอาการแล้วก็คงพอเดาได้ใช่ไหมคะ .. ถูกแล้วค่ะ "โรคซึมเศร้า" ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนคลอดลูกใหม่ๆ เราคิดว่าเราน่าจะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เพราะว่าร้องไห้ตลอดเวลา กอดลูกไว้กับอกแต่น้ำตาก็ไหล รู้สึกไม่ดีพอที่จะเป็นแม่ของเด็กคนนี้ แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้ และโรคซึมเศร้ามันก็ยังไม่แพร่หลายมากก็เลยไม่ได้ไปถามหมอว่าอาการแบบนี้มันคืออะไร นึกว่ามันเป็นปกติ ก็ไม่เคยมีลูกมาก่อนเนาะ เลยนึกว่าคนคลอดลูกใหม่ทุกคนคงเป็นแบบนี้กันหมด เดี๋ยวมันก็หายไป ปีแรกกินยาต้านเศร้าตามที่หมอจัดให้มาเรื่อยๆ จนอาการที่รุนแรงก็ค่อยๆ ลดลง กลับมากินข้าวได้ หลับได้ ทำงานได้ตามปกติ แต่อารมณ์ก็ยังไม่ได้สงบมากนัก เหลืออารมณ์หงุดหงิดเหวี่ยงวีนและเศร้าดำดิ่งอยู่ ปีแรกก็ยังโกรธเคืองสามีเก่ามาก รวมถึงผู้หญิงคนนั้นด้วย มีเผลอบ่นด่าให้ลูกได้ยินบ้างด้วยความเครียดและยังปรับตัวไม่ได้กับชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยว มีการข่มขู่สามีเก่าเกี่ยวการการเลี้ยงดูลูกและเงินบ้างเวลาโกรธขึ้นมา ปีนี้ก็มีแอบนอนกับสามีเก่าอยู่บ้างด้วยความเสียสติ ต้องบอกว่าเสียสติจริงๆ เป็นช่วงที่ลอยๆ งงๆ ชีวิตคืออะไร
- ปีที่ 2 "รวน" ในช่วงปีกลางๆ ก็จำเรื่องราวไม่ค่อยจะได้ เพราะเป็นช่วงที่หากิจกรรมให้ตัวเองทำเยอะมาก ไปเรียนเพิ่ม เข้าคอร์สโน่นนี่นั่น ออกกำลังกาย ไปวัดถือศีล เข้าวัดฟังธรรม ฟังดูเหมือนจะดีใช่ไหมคะ แต่ทั้งหมดที่ทำถ้าทำตอนที่จิตใจไม่สมประกอบมันก็เป็นเพียงการพาตัวเองหลีกหนีความเจ็บปวดเท่านั้นเอง ข้างในก็ยังพังเหมือนเดิม รู้สึกเหงา ไร้ค่า สงสัยในตัวเอง "ทำไมวะ เราไม่ดีตรงไหน เราทำอะไรผิด เราอ้วนเหรอ เราไม่สวย เรานิสัยไม่ดี เราแย่ตรงไหน ผู้หญิงคนนั้นมันมีดีอะไร เราน่าเบื่ออย่างนั้นเลยเหรอ ทำไมเค้าทิ้งเราไป เค้าไม่รักลูกเลยเหรอ แล้วจะอยู่ยังไงต่อไปนี้ เงินจะเอาที่ไหนมา ลูกจะขาดพ่อมั้ย ลูกไม่มีพ่อจะโดนล้อมั้ย ลูกจะมีปัญหามั้ย ..." ตั้งคำถามเป็นเจ้าหนูจำไม ความคิดติดลบ มองโลกในแง่ร้ายโดยเฉพาะมุมมองต่อตัวเอง และด้วยความที่รู้สึกตัวเองไร้ค่า มันเลยนำไปสู่การทำอะไรที่ไม่รักตัวเอง เช่น เริ่มมองหาผู้ชายมาคุย คุยหลายคน คบกันแบบไม่มีสถานะไม่เอาเข้าบ้านและไม่เคยบอกใคร ปีนี้พฤติกรรมมีปัญหาพอสมควร แต่ไม่ถึงกับติดเหล้าติดยา เพราะปกติไม่ดื่มอยู่แล้ว มีหลงไปกินบ้างครั้งสองครั้งถ้าเพื่อผู้หญิงมาชวน
- ปีที่ 3 "พบกัลยาณมิตร" ผลจากการเรียนเพิ่มและการเข้าคอร์สต่างๆ ทำให้รู้จักเพื่อนใหม่หลากหลายวงการ แต่ทุกคนมีจุดร่วมกันคือ "ต้องการพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเอง" รู้จักกันไปแบบ snow ball คือรู้จักคุณเอ คุณเอพาไปรู้จักคุณบี ไปเรื่อยๆ ทุกกิจกรรมที่ไปก็เริ่มเอาลูกไปด้วย ตั้งแต่ปีนี้แม่ลูกก็ไปด้วยกันตลอด เริ่มเกิดความเคยชินกับชีวิตที่มีเรากับลูกสองคน ไปไหนไปกัน ไม่เหงา เหมือนมีเพื่อนซี้ต่างวัย ชีวิตปีนี้ดีงามมาก มีเรื่องผู้ชายมาประปรายแต่ก็เป็นแบบคนคุยไม่ใช่คนใหม่
- ปีที่ 4 " everything and everyone" (ถ้าใครไม่เข้าใจสำนวนก็ค้น google ก่อนจะแปลความหมายไปเองนะคะ555) เป็นปีที่แปลกมาก จากเดิมที่เคยแคร์เสียงคนรอบข้างที่มาตัดสิน วิจารณ์ นินทา พูดในทางเสียๆ หายๆ ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้มีใครว่าแต่เราจินตนาการไปเองเพราะมันตรงกับสิ่งที่เราตำหนิตัวเองอยู่ลึกๆ แต่ปีนี้เป็นปีที่อ่านโน่นอ่านนี่เยอะมากทำให้ความคิดอะไรเปลี่ยนแปลง อาจจะบวกกับอายุมากขึ้นด้วย เป็นปีที่เฉยๆ กับเสียงวิจารณ์ ตัดสิน นินทามาก เพราะมีมุมมองว่าการนินทาเป็นวิธีการของคนที่อยากเป็นที่รักอยากได้รับการยอมรับชื่นชม แต่ไม่รู้วิธีการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไป ก็เลยใช้วิธีกดคนอื่นลงให้ตัวเองรู้สึกว่าดีกว่าเหนือกว่า ในอีกทางเราก็ชัดเจนกับตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองมีนิสัยยังไง ต้องการอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สามารถพึ่งพาตัวเองได้ อยู่คนเดียวก็ไม่มีปัญหา กินข้าว ดูหนัง ช้อปปิ้ง ไม่ต้องมีเพื่อนไปเป็นกลุ่ม รู้สึกดีด้วยซ้ำที่อยู่คนเดียว ผู้ชายที่มาคุยก็คุยนะ แต่รู้ช่องว่างระยะห่าง และไม่ได้จัดลำดับความสำคัญเอาไว้ต้นๆ อีกต่อไปแล้ว กลับมาเป็นเพื่อนกันกับสามีเก่า มองในมุมใหม่ที่เข้าใจว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ความเป็นจริงคืออะไร และต่อไปจะใช้ชีวิตยังไง เป็นปีที่รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นมาก
สำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยังเจ็บปวดอยู่ ก็สามารถมาคุยกันได้นะคะ แต่เราอาจจะคุยกันยากนิดนึงเพราะคนที่ยังอยู่ในความแค้นเคืองก็จะมองเห็นในมุมที่เราเห็นได้ยากหน่อยเช่นว่าจะให้อภัยลงได้ไงมันเลวขนาดนั้น มันเป็นคนทำให้ชีวิตเราเป็นแบบนี้ แต่ถ้าใครที่สนใจอยากให้ชีวิตเราพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ลูกสดใสร่าเริงไม่มีปัญหา ก็พอจะมีวิธีแนะนำประมาณนี้ค่ะ
- สังเกตตัวเองว่าที่เราไม่มีความสุขเนี่ยเพราะเรากำลังรู้สึกอะไร ให้รู้ตัวก่อนว่าตอนนี้เรากำลังมีอารมณ์อะไรอยู่ เช่น โกรธ เกลียด แค้น เศร้า ไร้ค่า ฯลฯ
- ยอมรับว่าเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ดังนั้น เราจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา ไม่ต้องไปโทษว่าเป็นความผิดคนอื่นที่ไหน
- อยู่กับความเป็นจริงของเวลานี้ ไม่นึกถึงแล้วนะคะโมเม้นท์สามีเก่าเคยจีบเรายังไง เคยหวานยังไง ดึงสติแล้วบอกตัวเองว่าปัจจุบันนี้เราเลิกกันแล้ว
- จบความสัมพันธ์ฉันผัวเมียลง และเลิกคาดหวังให้สามีเก่าต้องปฏิบัติกับเราเหมือนภรรยา ดังนั้น เวลาเค้ามาหาลูกแล้วเค้าดีกับลูกแต่ไม่ดีกับเรา มันเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลแล้ว เพราะเรากับเค้าไม่ได้เป็นผัวเมียกันแล้ว ไม่ต้องไปโกรธ แต่ให้ดูหน้าลูกว่าลูกดีใจมีความสุขไหม
- อยากได้อะไรจากสามีเก่าไม่ต้องไปเรียกร้อง เช่น ค่าเลี้ยงดู พยายามพึ่งพาตัวเองให้ได้ อาจจะมีบอกว่าค่าใช้จ่ายมีเท่านี้แต่ถ้าคุณไม่มีฉันรับผิดชอบเองก็ได้ ถ้าผู้ชายที่ปกติดีส่วนใหญ่เค้าจะรู้สึกผิดและช่วยมาเอง แต่ถ้าเราไปจิกจี้ไปด่า ผู้ชายจะแกล้งเราด้วยการไม่จ่าย ไม่สน เพราะอยากให้เราเจ็บใจเพื่อเป็นการแก้แค้นที่เราไปด่าเค้า เราเคยเห็นผู้หญิงบางคนโดนสามีเก่าด่ากลับยับเยินมากเลย อย่าไปแลกค่ะ อะไรที่เราคาดคะเนผลได้อยู่แล้วไม่ต้องไปพิสูจน์ให้ตัวเองเจ็บใจโดยใช่เหตุ
- อันนี้สำคัญสุดนะคะ คือต้องไม่ด่าทอหรือพูดลบๆ เกี่ยวกับพ่อของลูกให้ลูกฟัง แม้มันจะจริง อดกลั้นเอาไว้ค่ะ เก็บไว้ไปด่าให้ใครฟังก็ได้ที่ "ไม่ใช่ลูก"
- เวลาอารมณ์เสียหรือเครียดมาก อย่าอยู่ใกล้ลูก fade ตัวเองออกไปเลยค่ะ ถ้ามีญาติก็เอาลูกฝากญาติ ถ้าอยู่กันสองคน หาที่ปลอดภัยให้ลูกอยู่ แล้วเราก็ไปร้องไห้ไปทำอะไรก็ได้ให้หายเครียดแล้วค่อยกลับมาหาลูก เพราะไม่อย่างนั้นเราจะระบายอารมณ์ลงกับลูกแล้วมาเสียใจทีหลัง ลูกงงไปอีก ทำไมแม่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
- ดูแลตัวเองด้วยนะคะ ออกกำลังกายบ้าง อาหารก็เลือกกินที่อร่อยและมีประโยชน์
- ให้อภัยตัวเองและให้โอกาสตัวเอง มันไม่ผิดหรอกค่ะที่คนเป็นแม่จะใช้เวลาส่วนตัวบ้าง (เน้นว่า "บ้าง" นะคะ555)
- ตั้งเป้าหมายทั้งแบบสั้นและแบบยาว ทั้งเป้าหมายส่วนตัวและเป้าหมายที่เกี่ยวกับลูก
เป็นกำลังใจให้แม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคนนะคะ เราเคยอ่านกระทู้ มีหลายคนที่ชอบใช้คำพูดดูถูก แบบ ง่ายเอง โง่เอง เป็นแม่คนแล้วทำไมไม่... อย่าไปสนใจค่ะ จงชัดเจนกับตัวเอง เคารพตัวเอง คนเรามันพลาดกันได้ คนที่ไม่เคยพลาดเลยก็คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย แต่ชีวิตมันก็คือชีวิตนะคะ ไม่ต้องกลัวความเจ็บปวดผิดหวังหรอกค่ะ ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
เติบโตไปด้วยกันนะคะ
แบ่งปันประสบการณ์ 4 ปีแห่งการเป็นซิงเกิ้ลมัม
ที่จริงแล้วการที่เด็กจะมีปัญหาหรือไม่มี ถ้าเรามองกันอย่างเป็นกลางและอย่างเป็นจริงโดยไม่เอาอคติเข้ามามอง เราจะเห็นภาพครอบครัวในสังคมไทยอยู่ประมาณนี้
- พ่อแม่เลิกกันเด็กมีปัญหา
- พ่อแม่เลิกกัน แต่ลูกก็ได้ดิบได้ดี แถมยังเป็นลูกกตัญญูอีกด้วย
- พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันมีความสุขดี
- พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน พ่อชอบเมาเหล้า ทุกๆ วันก็จะเป็นภาพพ่อแม่ตบตีกัน หลังจากนั้นก็ดีกัน วนๆ ไป
- พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน พ่อมีกิ๊กมีเมียน้อยไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แม่ก็ร้องไห้ วนๆ ไป
- พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน พ่อข่มขืนลูก แม่รู้เห็นแต่ให้ลูกกินยาคุม เพราะแม่ไม่รู้จะทำยังไง
และยังมีภาพครอบครัวไทยอีกหลายแบบ โดยไม่ตัดสินหรือชี้นำ จากภาพที่เราเห็นทั้งครอบครัวตัวเอง ครอบครัวคนอื่น เราคงจะพอได้ข้อสรุปว่าพ่อแม่เลิกกันเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นเด็กใจแตกมีปัญหาของลูกหรือไม่ หรืออะไรกันแน่ที่เป็นตัวกำหนด ซึ่งในความเป็นจริงมันมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาแทรกแซงอีกด้วย อย่างเช่น ความผิดปกติทางสมอง พันธุกรรม สถานะทางการเงิน พื้นอารมณ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ฯลฯ ซึ่งในส่วนนั้นก็คงจะไม่พูดละเอียด เพราะว่ามันละเอียดอ่อนเกินกว่าที่จะมาฟันธงได้ว่าเพราะอะไรลูกถึงมีปัญหา แต่จะขอแชร์ในส่วนของการเลี้ยงลูกให้ไม่มีปัญหาหลังจากพ่อแม่เลิกกัน
เราก็เหมือนแม่เลี้ยงเดี่ยวทั่วไป ที่ก่อนหน้าจะเลิกกับสามีต้องผ่านการทะเลาะกันอย่างรุนแรงบ่อยๆ สามีนอกใจ สามีเลือกผู้หญิงคนอื่น สามีบอกว่าเบื่อนิสัย ซึ่งเป็นสาเหตุคลาสสิคของการเลิกกัน ซึ่งในชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวของเราก็ 4 ปีแล้ว ถ้าเป็นนักศึกษาก็เท่ากับสำเร็จการศึกษาพอดี ชีวิต 4 ปีในมหา'ลัยชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวก็จะมีไทม์ไลน์ประมาณนี้ค่ะ
- ปีที่ 1 "ดิ่ง" (อารมณ์แบบเฟรชชี่เข้าวงการมาใหม่ๆ) ร้องไห้ตลอดเวลา นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นอาทิตย์ กินข้าวไม่ได้เลย กินข้าวเข้าไปคำเดียวก็อยากอาเจียน กินได้แต่ของเหลวพวกนม น้ำ น้ำหวาน มาทำงานก็ทำงานไม่ได้เลย นั่งร้องไห้ทั้งวันคิดอะไรก็ไม่ออก อยากจะนอนอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน แต่พอนอนก็นอนไม่หลับ ข้างในใจมันว่างเปล่า อ่านอาการแล้วก็คงพอเดาได้ใช่ไหมคะ .. ถูกแล้วค่ะ "โรคซึมเศร้า" ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนคลอดลูกใหม่ๆ เราคิดว่าเราน่าจะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เพราะว่าร้องไห้ตลอดเวลา กอดลูกไว้กับอกแต่น้ำตาก็ไหล รู้สึกไม่ดีพอที่จะเป็นแม่ของเด็กคนนี้ แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้ และโรคซึมเศร้ามันก็ยังไม่แพร่หลายมากก็เลยไม่ได้ไปถามหมอว่าอาการแบบนี้มันคืออะไร นึกว่ามันเป็นปกติ ก็ไม่เคยมีลูกมาก่อนเนาะ เลยนึกว่าคนคลอดลูกใหม่ทุกคนคงเป็นแบบนี้กันหมด เดี๋ยวมันก็หายไป ปีแรกกินยาต้านเศร้าตามที่หมอจัดให้มาเรื่อยๆ จนอาการที่รุนแรงก็ค่อยๆ ลดลง กลับมากินข้าวได้ หลับได้ ทำงานได้ตามปกติ แต่อารมณ์ก็ยังไม่ได้สงบมากนัก เหลืออารมณ์หงุดหงิดเหวี่ยงวีนและเศร้าดำดิ่งอยู่ ปีแรกก็ยังโกรธเคืองสามีเก่ามาก รวมถึงผู้หญิงคนนั้นด้วย มีเผลอบ่นด่าให้ลูกได้ยินบ้างด้วยความเครียดและยังปรับตัวไม่ได้กับชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยว มีการข่มขู่สามีเก่าเกี่ยวการการเลี้ยงดูลูกและเงินบ้างเวลาโกรธขึ้นมา ปีนี้ก็มีแอบนอนกับสามีเก่าอยู่บ้างด้วยความเสียสติ ต้องบอกว่าเสียสติจริงๆ เป็นช่วงที่ลอยๆ งงๆ ชีวิตคืออะไร
- ปีที่ 2 "รวน" ในช่วงปีกลางๆ ก็จำเรื่องราวไม่ค่อยจะได้ เพราะเป็นช่วงที่หากิจกรรมให้ตัวเองทำเยอะมาก ไปเรียนเพิ่ม เข้าคอร์สโน่นนี่นั่น ออกกำลังกาย ไปวัดถือศีล เข้าวัดฟังธรรม ฟังดูเหมือนจะดีใช่ไหมคะ แต่ทั้งหมดที่ทำถ้าทำตอนที่จิตใจไม่สมประกอบมันก็เป็นเพียงการพาตัวเองหลีกหนีความเจ็บปวดเท่านั้นเอง ข้างในก็ยังพังเหมือนเดิม รู้สึกเหงา ไร้ค่า สงสัยในตัวเอง "ทำไมวะ เราไม่ดีตรงไหน เราทำอะไรผิด เราอ้วนเหรอ เราไม่สวย เรานิสัยไม่ดี เราแย่ตรงไหน ผู้หญิงคนนั้นมันมีดีอะไร เราน่าเบื่ออย่างนั้นเลยเหรอ ทำไมเค้าทิ้งเราไป เค้าไม่รักลูกเลยเหรอ แล้วจะอยู่ยังไงต่อไปนี้ เงินจะเอาที่ไหนมา ลูกจะขาดพ่อมั้ย ลูกไม่มีพ่อจะโดนล้อมั้ย ลูกจะมีปัญหามั้ย ..." ตั้งคำถามเป็นเจ้าหนูจำไม ความคิดติดลบ มองโลกในแง่ร้ายโดยเฉพาะมุมมองต่อตัวเอง และด้วยความที่รู้สึกตัวเองไร้ค่า มันเลยนำไปสู่การทำอะไรที่ไม่รักตัวเอง เช่น เริ่มมองหาผู้ชายมาคุย คุยหลายคน คบกันแบบไม่มีสถานะไม่เอาเข้าบ้านและไม่เคยบอกใคร ปีนี้พฤติกรรมมีปัญหาพอสมควร แต่ไม่ถึงกับติดเหล้าติดยา เพราะปกติไม่ดื่มอยู่แล้ว มีหลงไปกินบ้างครั้งสองครั้งถ้าเพื่อผู้หญิงมาชวน
- ปีที่ 3 "พบกัลยาณมิตร" ผลจากการเรียนเพิ่มและการเข้าคอร์สต่างๆ ทำให้รู้จักเพื่อนใหม่หลากหลายวงการ แต่ทุกคนมีจุดร่วมกันคือ "ต้องการพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเอง" รู้จักกันไปแบบ snow ball คือรู้จักคุณเอ คุณเอพาไปรู้จักคุณบี ไปเรื่อยๆ ทุกกิจกรรมที่ไปก็เริ่มเอาลูกไปด้วย ตั้งแต่ปีนี้แม่ลูกก็ไปด้วยกันตลอด เริ่มเกิดความเคยชินกับชีวิตที่มีเรากับลูกสองคน ไปไหนไปกัน ไม่เหงา เหมือนมีเพื่อนซี้ต่างวัย ชีวิตปีนี้ดีงามมาก มีเรื่องผู้ชายมาประปรายแต่ก็เป็นแบบคนคุยไม่ใช่คนใหม่
- ปีที่ 4 " everything and everyone" (ถ้าใครไม่เข้าใจสำนวนก็ค้น google ก่อนจะแปลความหมายไปเองนะคะ555) เป็นปีที่แปลกมาก จากเดิมที่เคยแคร์เสียงคนรอบข้างที่มาตัดสิน วิจารณ์ นินทา พูดในทางเสียๆ หายๆ ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้มีใครว่าแต่เราจินตนาการไปเองเพราะมันตรงกับสิ่งที่เราตำหนิตัวเองอยู่ลึกๆ แต่ปีนี้เป็นปีที่อ่านโน่นอ่านนี่เยอะมากทำให้ความคิดอะไรเปลี่ยนแปลง อาจจะบวกกับอายุมากขึ้นด้วย เป็นปีที่เฉยๆ กับเสียงวิจารณ์ ตัดสิน นินทามาก เพราะมีมุมมองว่าการนินทาเป็นวิธีการของคนที่อยากเป็นที่รักอยากได้รับการยอมรับชื่นชม แต่ไม่รู้วิธีการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไป ก็เลยใช้วิธีกดคนอื่นลงให้ตัวเองรู้สึกว่าดีกว่าเหนือกว่า ในอีกทางเราก็ชัดเจนกับตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองมีนิสัยยังไง ต้องการอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สามารถพึ่งพาตัวเองได้ อยู่คนเดียวก็ไม่มีปัญหา กินข้าว ดูหนัง ช้อปปิ้ง ไม่ต้องมีเพื่อนไปเป็นกลุ่ม รู้สึกดีด้วยซ้ำที่อยู่คนเดียว ผู้ชายที่มาคุยก็คุยนะ แต่รู้ช่องว่างระยะห่าง และไม่ได้จัดลำดับความสำคัญเอาไว้ต้นๆ อีกต่อไปแล้ว กลับมาเป็นเพื่อนกันกับสามีเก่า มองในมุมใหม่ที่เข้าใจว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ความเป็นจริงคืออะไร และต่อไปจะใช้ชีวิตยังไง เป็นปีที่รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นมาก
สำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยังเจ็บปวดอยู่ ก็สามารถมาคุยกันได้นะคะ แต่เราอาจจะคุยกันยากนิดนึงเพราะคนที่ยังอยู่ในความแค้นเคืองก็จะมองเห็นในมุมที่เราเห็นได้ยากหน่อยเช่นว่าจะให้อภัยลงได้ไงมันเลวขนาดนั้น มันเป็นคนทำให้ชีวิตเราเป็นแบบนี้ แต่ถ้าใครที่สนใจอยากให้ชีวิตเราพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ลูกสดใสร่าเริงไม่มีปัญหา ก็พอจะมีวิธีแนะนำประมาณนี้ค่ะ
- สังเกตตัวเองว่าที่เราไม่มีความสุขเนี่ยเพราะเรากำลังรู้สึกอะไร ให้รู้ตัวก่อนว่าตอนนี้เรากำลังมีอารมณ์อะไรอยู่ เช่น โกรธ เกลียด แค้น เศร้า ไร้ค่า ฯลฯ
- ยอมรับว่าเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ดังนั้น เราจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา ไม่ต้องไปโทษว่าเป็นความผิดคนอื่นที่ไหน
- อยู่กับความเป็นจริงของเวลานี้ ไม่นึกถึงแล้วนะคะโมเม้นท์สามีเก่าเคยจีบเรายังไง เคยหวานยังไง ดึงสติแล้วบอกตัวเองว่าปัจจุบันนี้เราเลิกกันแล้ว
- จบความสัมพันธ์ฉันผัวเมียลง และเลิกคาดหวังให้สามีเก่าต้องปฏิบัติกับเราเหมือนภรรยา ดังนั้น เวลาเค้ามาหาลูกแล้วเค้าดีกับลูกแต่ไม่ดีกับเรา มันเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลแล้ว เพราะเรากับเค้าไม่ได้เป็นผัวเมียกันแล้ว ไม่ต้องไปโกรธ แต่ให้ดูหน้าลูกว่าลูกดีใจมีความสุขไหม
- อยากได้อะไรจากสามีเก่าไม่ต้องไปเรียกร้อง เช่น ค่าเลี้ยงดู พยายามพึ่งพาตัวเองให้ได้ อาจจะมีบอกว่าค่าใช้จ่ายมีเท่านี้แต่ถ้าคุณไม่มีฉันรับผิดชอบเองก็ได้ ถ้าผู้ชายที่ปกติดีส่วนใหญ่เค้าจะรู้สึกผิดและช่วยมาเอง แต่ถ้าเราไปจิกจี้ไปด่า ผู้ชายจะแกล้งเราด้วยการไม่จ่าย ไม่สน เพราะอยากให้เราเจ็บใจเพื่อเป็นการแก้แค้นที่เราไปด่าเค้า เราเคยเห็นผู้หญิงบางคนโดนสามีเก่าด่ากลับยับเยินมากเลย อย่าไปแลกค่ะ อะไรที่เราคาดคะเนผลได้อยู่แล้วไม่ต้องไปพิสูจน์ให้ตัวเองเจ็บใจโดยใช่เหตุ
- อันนี้สำคัญสุดนะคะ คือต้องไม่ด่าทอหรือพูดลบๆ เกี่ยวกับพ่อของลูกให้ลูกฟัง แม้มันจะจริง อดกลั้นเอาไว้ค่ะ เก็บไว้ไปด่าให้ใครฟังก็ได้ที่ "ไม่ใช่ลูก"
- เวลาอารมณ์เสียหรือเครียดมาก อย่าอยู่ใกล้ลูก fade ตัวเองออกไปเลยค่ะ ถ้ามีญาติก็เอาลูกฝากญาติ ถ้าอยู่กันสองคน หาที่ปลอดภัยให้ลูกอยู่ แล้วเราก็ไปร้องไห้ไปทำอะไรก็ได้ให้หายเครียดแล้วค่อยกลับมาหาลูก เพราะไม่อย่างนั้นเราจะระบายอารมณ์ลงกับลูกแล้วมาเสียใจทีหลัง ลูกงงไปอีก ทำไมแม่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
- ดูแลตัวเองด้วยนะคะ ออกกำลังกายบ้าง อาหารก็เลือกกินที่อร่อยและมีประโยชน์
- ให้อภัยตัวเองและให้โอกาสตัวเอง มันไม่ผิดหรอกค่ะที่คนเป็นแม่จะใช้เวลาส่วนตัวบ้าง (เน้นว่า "บ้าง" นะคะ555)
- ตั้งเป้าหมายทั้งแบบสั้นและแบบยาว ทั้งเป้าหมายส่วนตัวและเป้าหมายที่เกี่ยวกับลูก
เป็นกำลังใจให้แม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคนนะคะ เราเคยอ่านกระทู้ มีหลายคนที่ชอบใช้คำพูดดูถูก แบบ ง่ายเอง โง่เอง เป็นแม่คนแล้วทำไมไม่... อย่าไปสนใจค่ะ จงชัดเจนกับตัวเอง เคารพตัวเอง คนเรามันพลาดกันได้ คนที่ไม่เคยพลาดเลยก็คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย แต่ชีวิตมันก็คือชีวิตนะคะ ไม่ต้องกลัวความเจ็บปวดผิดหวังหรอกค่ะ ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
เติบโตไปด้วยกันนะคะ