[CR] หนีร้อนสงกรานต์ไปลุยหิมะที่อินเดีย! แพนกาชูล่า ยอดเขาพิชิตใจ (Pangarchulla Peak, India)

ไม่คิดจริงๆ ว่าจะเจอหิมะที่หนาที่สุดในชีวิตที่ประเทศอินเดีย!!! การเดินทางครั้งนี้ต้องเรียกว่าเป็นการอัพเลเวลระดับความลุยของผมเลยก็ว่าได้ มันทดสอบความอดทนของทั้งร่างกายและจิตใจ และมันก็ทำให้ผมตระหนักว่าหัวใจของการเดินทางคือการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่มีวันจบ

ทริปนี้เริ่มต้นด้วยความอยากหาที่ไปเดินเขาต่างประเทศที่ราคาเบาๆ จำได้ว่าเคยเห็นรูปภูเขาหิมะที่อินเดียจากกระทู้ในพันทิป แต่มีข้อมูลค่อนข้างน้อยเพราะยังไม่ค่อยมีคนไทยไปกัน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เราอยากไป ตอน ไป ABC ก็ไม่ค่อยได้เห็นหิมะ เลยรู้สึกว่ายังไม่สุด อยากเดินภูเขาหิมะสักที หนาวเท่าไหร่ไม่กลัว กลัวว่าหิมะจะละลายไปหมดก่อนไปถึงมากกว่า ตอนนี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อหนีความร้อนตับแตกของกรุงเทพฯ

Pangarchulla Peak เป็นยอดเขาในแคว้น Uttarakhand ซึ่งอยู่ในตอนเหนือของประเทศอินเดีย พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในแนวของเทือกเขาหิมาลัยจึงมีทิวทัศน์ที่สวยงามเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ มีเขตแดนติดกับประเทศเนปาลทางทิศตะวันออก ทำให้ลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลึงกับประเทศเนปาล การเดินทางเข้าไปในเมืองต่างๆ นั้น ต้องใช้รถ 4x4 วิ่งบนถนนดินที่เลาะไปตามไหล่เขาจึงทำให้ใช้เวลานาน แคว้น Uttarakhand สำหรับชาวอินเดียนั้นถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักแสวงบุญ จึงมีวัดฮินดูมากมาย มีเมืองที่เป็นที่รู้จักอย่างเมือง Rishikesh ซึ่งนอกจากจะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้โยคะ ยังเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวแวะมาเพื่อทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์ต่างๆ เช่น ล่องแพ และบันจี้จัมพ์

ข้อมูลทริป
วันเดินทาง: 13.04.2019 – 21.04.2019 (9 วัน)
การเดินทาง: Bangkok – New Delhi – Haridwar – Joshimath – Pangarchulla Peak

*เส้นทางเดินเท้าคร่าวๆ
ตารางการเดินทาง

DAY 0: บินถึงนิวเดลีแล้วไปฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟแล้วไปเดินเล่นในเมือง รถไฟออกจากนิวเดลีตอน 23:45
DAY 1: ถึงเมืองหริทวาระตี 4 นั่งรถตู้ 4x4 ไปที่พักในเมืองโจชิมัท
DAY 2: นั่งรถไปจุดเริ่มเดิน เดินไปที่จุดตั้งแคมป์แรก
DAY 3: เดินต่อไปที่จุดตั้งแคมป์สอง
DAY 4: วันว่างที่แคมป์สองเพราะอากาศไม่อำนวยให้เดินขึ้นยอด
DAY 5: วันเดินขึ้นยอด แล้วกลับมานอนที่แคมป์สอง
DAY 6: เดินลงไปขึ้นรถที่จุดเริ่มต้น นอนที่พักในเมืองโจชิมัท
DAY 7: นั่งรถกลับไปที่เมืองหริทวาระ แล้วต่อรถเช่ากลับไปนิวเดลี นอนโรงแรมในนิวเดลี
DAY 8: ขึ้นเครื่องกลับไทยตอนสายๆ

รายละเอียดค่าใช้จ่าย: (ต่อ 1 คน)

17,710 บาท   ตั๋วเครื่องบินไปกลับ (Bangkok – New Delhi)  *โดน Jet airways cancel เลยต้องซื้อตั๋ว TG ที่แพงกว่า ตั๋วเดิมราคาอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท
  2,700 บาท   ค่าวีซ่าอินเดีย
       27 บาท   รถไฟใต้ดิน MRT (แอร์พอร์ท - สถานีรถไฟ)
       27 บาท   ค่าฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟนิวเดลี  *กระเป๋าต้องมีล็อกนะไม่งั้นเค้าไม่รับฝาก จะมีคนขายล็อกหน้าห้อง แนะนำว่าเอาไปเองดีกว่า ผมจำค่าฝากไม่ได้ คิดว่าประมาณนี้นะสำหรับฝากไม่เกิน 24 ชม.
     610 บาท   ค่ารถตู้นอน คลาส 2A (New Delhi - Haridwar)  *จองผ่าน Agency ในไทย ราคารวมค่าบริการการจองแล้ว
  5,843 บาท   ค่าทัวร์  *ค่าทริปจริง ๆ 10,000 รูปี จองผ่าน Web ของบริษัททัวร์อินเดีย แต่เค้าไม่รับบัตรเครดิต เลยต้องเสียค่าโอนประมาณพันสองร้อยบาทสำหรับยอดการจองของสามคน
     312 บาท   ค่า Gaiter  *สำหรับเดินหิมะ ทัวร์บังคับว่าต้องใช้ อันนี้คือราคาที่ซื้อกับไกด์ จะหาถูกๆ ที่ไทยไปก็ได้มีขายในเวป แต่ส่วนมากจะเป็นสินค้าสั่งจากต่างประเทศ อาจจะใช้เวลาจัดส่งนานหน่อย
     216 บาท   ค่าอาหาร 4 มื้อระหว่างนั่งรถไปกลับจาก Joshimath  *โดยประมาณ สั่งอะไรก็จ่ายจริงตามที่สั่ง
     801 บาท   ค่าลาขนกระเป๋า
     594 บาท   รถแท็กซี่ขากลับ (Rishikesh – New Delhi)  *ราคาเต็ม 1,780 บาท เราแชร์กัน 3 คน ก็ตกแค่คนละ 594 บาท
     935 บาท   โรงแรมในนิวเดลี  *ใกล้สนามบินเพราะกว่าจะถึงตี 1 กว่า เช้าก็ออกไปสนามบินเลย นั่งแท็กซี่ 15 นาทีถึงแล้ว
       49 บาท   แท็กซี่ไปสนามบิน  *เรียกผ่าน Uber

รวม 29,824 บาท
*อันนี้คือที่ผมจ่าย ถ้าได้ตั๋วเครื่องบินถูก หรือแชร์ค่ารถเดินทางขากลับหลายคนก็จะยิ่งถูกเข้าไปอีก แต่จะมีช่วงเวลาวันแรกที่รถไฟยังไม่ออก เราไปเดินเล่นหาข้าวกินในเมืองก็จะมีค่าใช้จ่ายตรงนั้น แล้วแต่ใครจะใช้จ่ายเท่าไหร่

ปล. ภาพนิ่งถ่ายด้วย Fuji XT-10 นะครับ^^ ผมรักกล้องตัวนี้มาก ใครช่วยบอกให้ฟูจิมาสปอนเซอร์หน่อย อยากอัพเกรดครับ ขอตรงๆเลย 55
ดูภาพถ่ายจากทริปเพิ่มเติมแบบชิวๆ ได้ที่:
ขอบคุณครับ =)

DAY 0

เวลาค่ำคืน ณ สถานีรถไฟที่เมืองนิวเดลี
ตู้รถไฟรอเราอยู่ที่ชานชาลาหมายเลขสิบ

คุณพ่อชาวอินเดียแต่งตัวดีกำลังจูงลูกเล็กเดินเล่นระหว่างรอรถไฟออก เค้าเดินผ่านหน้าผม ที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นสถานีที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินทราย ซึ่งตอนนี้ตัวผมก็เคลือบไปด้วยฝุ่นที่สะสมมากับการเดินทางทั้งวัน ไม่ต่างอะไรไปจากพื้นสถานี ผมเอนหลังพิงกระเป๋าตัวเองด้วยความเพลีย ก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือซึ่งบอกเวลาห้าทุ่มครึ่ง เหลืออีก 15 นาที ก่อนที่จะได้ขึ้นรถไฟที่อินเดียครั้งแรก จุดเริ่มต้นของการเดินทางของเรา
คุณพ่อกับลูกน้อยรอขึ้นรถไฟ
หน้าต่างตู้รถไฟ

พวกเราขยับของขึ้นรถไฟตามผู้โดยสารคนอื่น ขบวนที่เราขึ้นเป็นตู้นอน ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางไปถึงสถานีที่เมือง Haridwar ประมาณ 4 ชั่วโมง ที่นอนของเราเป็นเตียงบนทำให้ไม่มีที่วางกระเป๋าใต้เตียงเหมือนเตียงล่าง เลยต้องนอนเบียดกระเป๋าเดินทางบนที่นอนแคบๆ แต่ผมก็บ่นไม่ออกเมื่อเจอกับความพีคของชาวอินเดีย คือเตียงด้านล่างผมเป็นลุงกับป้า ที่แชร์ที่นอนกันบนเตียงเดียว! นอนแบบสลับฟันปลาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่ คุณป้าพูดภาษาอินเดียใส่ผมแล้วชี้มาที่ผ้าห่มของผมซึ่งผมไม่ได้ใช้ คงประมาณว่าถ้าไม่ห่มป้าขอนะ ผมยื่นให้ป้าแล้วแกก็เอามาม้วนเป็นหมอนหนุนนอน พูดถึงหมอน สถาพหมอนที่การรถไฟอินเดียได้มอบให้บนเตียงของผม สีของมัน “เคย” เป็นสีขาว แต่ตอนนี้มันไปไกลจากสีขาวมาก ถุงเท้าสีเทาของผมยังดูขาวกว่า ผมเลยต้องเอาผ้าปูเตียงมาคลุม ก่อนที่จะเอาหน้าไปสัมผัส

มองผ่านหน้าต่างเข้าไปในตู้
กระเป๋าบนเตียงของผม

ผมล้มตัวลงและหลับไปอย่างรวดเร็วจากความอ่อนล้า เวลาบนรถไฟผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีการประกาศบอกสถานีใดๆ เราต้องคอยดูใน google map อยู่เป็นระยะๆ ก่อนที่รถไฟจะเข้าเทียบสถานีที่เมือง Haridwar


DAY 1

เช้ามืดที่สถานีรถไฟที่เมืองหริทวาระ

เราแบกของลงจากรถไฟกันแบบงัวเงียๆ ตอนประมาณ 4.20 น. ผมนั่งนิ่งเฝ้ากระเป๋าเหมือนสมองยังไม่ตื่น ระหว่างที่เพื่อนสองคนไปล้างหน้าแปรงฟัน ตามแพลนทริป รถของบริษัททัวร์จะมารับที่สถานีรถไฟตอน ๖ โมงเช้า เราเลยมารอที่หน้าสถานี เพื่อนผมเดินหารถตามข้อมูลเลขทะเบียนรถที่ได้มาจากบริษัททัวร์ สักพักเพื่อนผมก็มาตามให้เราก็เอากระเป๋าไปขึ้นรถ เราขึ้นไปนั่งรอผู้ร่วมทัวร์คนอื่นบนรถที่เหมือนรถตู้แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จุได้ 13 คน ผมนั่งหลับรอด้วยความที่นอนน้อยติดกันมาสองคืน

ฟ้าเริ่มสว่างหน้าสถานีรถไฟเมืองหริทวาระ

ล้อหมุนจากสถานีตอน 7 โมงเช้า และการนั่งรถที่ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง ก็เริ่มขึ้น พลังแอร์ของรถตู้พ่ายแพ้อากาศร้อนของอินเดียแบบน็อคยกแรก เราจึงต้องเปิดหน้าต่างรับลมไปตลอดทาง เส้นทางของเราเป็นเส้นทางขึ้นเขา ถนนดินแห้งๆ ที่รถตู้เราขับลุยเข้าไปในควันฝุ่นที่เยอะมากจนแทบมองไม่เห็นรถด้านหน้า ฝุ่นรุ่นพ่อของ PM 2.5 ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่คนอินเดียดูไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับมัน

พวกเราพยายามหลับฆ่าเวลา แต่สิ่งที่ขัดขวางการนอนของเรานั่นคือเพลงอินเดียที่คนขับเปิดเหมือนให้ทุกคนลุกขึ้นมาเต้น โชคดีที่ยาแก้เมารถยังพอออกฤทธิ์สู้เพลงแดนซ์อินเดียได้เลยทำให้ได้หลับไปนิดหน่อย

ร้านอาหารที่เราจอดทานข้าวระหว่างทาง

รถจอดระหว่างทางให้เราทานข้าว เป็นร้านอาหารเล็กๆ ข้างทาง เราก็ไม่รู้จะสั่งอะไร โชคดีที่มีผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มทัวร์เห็นเราเป็นคนต่างชาติก็เลยช่วยเราสั่งอาหาร ใจดีจัง เราเริ่มคุยกับเค้า ได้ความว่าเค้าเป็น Biomedical engineer ทำงานบริษัทเครื่องมือแพทย์ ชอบเดินเขา ครั้งนี้มาร่วมทัวร์คนเดียว เป็นคนพูดเสียงดัง เลยกลายเป็นเจ๊ใหญ่ประจำทริปไป เจ๊แกเริ่มคุยกับคนอื่นๆ เลยทำให้เราได้คุยกับคนอื่นไปด้วย หลายคนที่มาเดี่ยวเลยได้เริ่มทำความรู้จักกันมากขึ้น การเดินทางของเรายังอีกยาวไกล และเพลงอินเดียก็ยังระดมจังหวะให้บรรยากาศในรถมีความครึกครื้นตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะมีอารมณ์ร่วมหรือไม่ก็ตาม

รถใหญ่สวนทางบนถนนดินตามไหล่เขา

หลังจากผ่านไป 10 ชั่วโมงกว่า ผมเริ่มอินกับเพลงมากขึ้น ตอนนี้จังหวะเพลงเริ่มเบาลงพร้อมกับพระอาทิตย์ยามเย็นที่ต่ำลง ฟ้าที่มืดลงทำให้อากาศในหุบเขาเย็นลงอย่างรวดเร็ว สิ่งเดียวที่ผมคิดอยู่ตอนนี้คืออยากอาบน้ำล้างฝุ่นที่อยู่ทุกรูขุมขนของร่างกาย เอามือลูบหน้าตอนนี้รู้สึกได้ถึงความสากของดินทรายที่เกาะบนผิวหนั
ชื่อสินค้า:   Pangarchulla Peak Trekking
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่