ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนนะคะว่าไม่เคยรีวิวมาก่อน แต่เนื่องจากอยากไปพักรีสอร์ทแบบ all-inclusive ในไทย แล้วสุดท้ายก็มาจบที่นี่ แต่หารีวิวแบบอัพเดตในช่วงปีสองปีนี้ไม่ได้เลย ต้องไปอ่านรีวิวใน Tripadvisor ซึ่งก็ไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ อีกทั้งเป็นต่างชาติรีวิวด้วย เราเลยคิดว่าอย่างน้อยถ้ารีวิวไว้ก็ไม่เสียหายอะไร

การจองโรงแรม เราจองผ่านเวปของโรงแรมโดยตรง พอดีเป็นเมมเบอร์อยู่ เราจองทั้งหมด 5วัน 4 คืน ซึ่งสิ่งที่ได้จากแพคเกจก็คือ

1.ค่าอาหารและเครื่องดื่มแล้ว
2.สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมดได้ 4 กิจกรรม ซึ่งก็จะมีปลูกข้าว ทำอาหาร กิจกรรมเกี่ยวกับช้าง และสปา ซึ่งคุณจะเลือกกิจกรรมซ้ำก็ได้ อย่างเราเลือกกิจกรรมเกี่ยวกับช้าง 2 กิจกรรม และสปา 2 กิจกรรม(รวมชั่วโมงได้ ปกติเค้ามีเวลา1.5ชม.ต่อสปา1ครั้ง ของเราก็อยู่สปายาวๆ3ชม.ไปเลย)
3.กิจกรรมฟรีเล็กๆน้อยๆตามสไตล์all-inclusive
4.รถรับ-ส่งสนามบินเชียงรายมารีสอร์ท(ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.)

เริ่มแรกตั้งแต่จองเสร็จทางโรงแรมก็จะมีอีเมล์มาสอบถามว่าจะเข้าร่วมกิจกรรมอะไรบ้าง และถามถึงไฟล์บินของเราเพื่อที่เค้าจะได้จัดรถมารับให้ตรงเวลา(ถ้าอยากนั่งbenzก็เพิ่มเงินอีก)
เราเดินออกมาจากบริเวณรับกระเป๋าก็จะเจอกับพี่คนขับยืนถือป้ายชื่อโรงแรมรอเราอยู่ หลังจากนั้นก็จะพาเรามาที่รถ ซึ่งในรถก็จะมี ผ้าเย็น USB Charger(มีสายชาร์จให้ด้วย) คุกกี้ น้ำดื่ม น้ำหวาน และหมอนให้เรานะคะ

หลังจากใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง(เราหลับตลอดทาง5555) พอมาถึงโรงแรมก็เช็คอินตามปกติ ซึ่งเราเช็คอินออนไลน์มาแล้ว ทำให้ไม่ต้องกรอกข้อมูลเพิ่มเติม เซ็นแค่เอกสารเกี่ยวกับความปลอดภัยและถ่ายสำเนาบัตรประชาชน

ระหว่างที่เรารอพนักงานคีย์ข้อมูล พนักงานที่สปาก็จะมานวดบ่าให้เรา(โอ้ยสบายยย)
Welcome drink คือน้ำอัญชันแล้วให้เราหยดมะนาวใส่เอง  พร้อมสัปปะรดภูแล
หลังจากนั้นพนักงานก็พาเรามาที่ห้อง โดยห้องที่เราจองคือ Deluxe three country view (เค้าจัดห้องให้ติดสปาเลยจ้า)
ภายในห้องก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก amenities ครบครัน ยกเว้น..สายชำระ..(บางทีคนมันติดอ่ะเนอะ)
กระบอกน้ำในรูปด้านล่างเค้าให้เราเอากลับบ้านได้นะคะ  ผลไม้ก็จะเติมให้ตลอดถ้าเรากินหมด
น้ำดื่มจะที่หัวเตียง 2 ขวด มินิบาร์ 2 ขวด และในห้องน้ำ 2 ขวด แล้วถ้าไม่พอก็ขอเพิ่มได้ตลอดค่ะ
อ่างอาบน้ำใหญ่มาก ลงแช่พร้อมกันทั้งครอบครัวยังได้ บานเลื่อนไม้ก็สามารถเปิดปิดได้ แต่อาจจะต้องใช้แรงเยอะหน่อย เรารู้สึกว่ามันเลื่อนยากไปนิด
ในห้องมีเครื่องเล่นดีวีดีด้วย สามารถเอาแผ่นจากบ้านมาเล่นได้นะ แต่เราก็ลืมถามเค้าว่ามีแผ่นให้ยืมไหม ทีวีก็เป็นสมาร์ททีวี แต่เราหาแอพNetflixไม่เจอ ก็เลยดูช่องหนังไปก่อน ช่องทีวีก็มีให้เลือกเยอะค่ะ หลากหลายภาษา ถือว่าครบ แต่เอาตรงๆก็ไม่ค่อยได้ดูหรอกค่ะ กิจกรรมในโรงแรมมีให้เราทำเยอะ

ฟิตเนสเซ็นเตอร์ ต้องเดินลงเนินนิดหน่อย ผ่านต้นลิ้นจี่ที่กำลังเริ่มสุก อุปกรณ์ออกกำลังกายที่นี่ก็มีครบครัน ใช้ของ Life fitness ซะส่วนใหญ่
แถมไม่ต้องมีคนแย่งด้วย เหมือนเข้าไปแล้วมีเราเป็นเจ้าของฟิตเนส ใกล้ๆฟิตเนสก็จะมีสนามสคอช สนามเทนนิส เวทีมวย ห้องซาวน่า และอ่างจากุชชี่ให้แช่ มีผลไม้ น้ำ และผ้าขนหนูบริการด้วย

สำหรับเย็นวันแรกเราเลือกมาทานอาหารที่ห้อง Baan Dha Lia เป็นอาหารอิตาเลียน เนื่องจากชีวิตปกติไม่ได้ทานอาหารประเภทนี้สักเท่าไหร่ พอมาถึงก็ดูเมนูก่อนเลยจ้า เมนูอธิบายอาหารให้เข้าใจง่ายดีค่ะ รวมทั้งน้องพนักงานก็แนะนำอาหารดี ทำให้เลือกอาหารได้ไม่ยาก ทานไปทั้งหมด 5 อย่าง(รวมของหวาน)สนนราคาอยู่ที่3พันกว่าบาท(ถือดื่มไวน์ด้วยก็แพงกว่านี้) ซึ่งค่าอาหารรวมในแพคเกจแล้ว ก็แค่เซ็นรับทราบเฉยๆว่าฉันกินอะไรไปบ้าง จะให้ทิปพนักงานไหม ถ้าให้ก็กรอกเข้าไปเลยจ้า
ปล.ห้องอาหารนี้ต้องจองก่อนนะคะเพราะมีโต๊ะจำกัดค่ะ
**รูปมืดหน่อยนะคะ ใช้มือถือถ่ายค่ะ

วันที่2
ไลน์อาหารเช้ามีความหลากหลายและมีเพียงพอสำหรับแขก ตอนที่เราเข้าพักเป็นช่วง low season ของเค้า จากที่สังเกตน่าจะมีคนพักหมุนเวียนไม่ถึง 10 คน

กิจกรรมในวันที่ 2 เราเลือกกิจกรรม elephants learning experience
ซึ่งก็เป็นการพูดถึงเรื่องช้างล้วนๆเลย
เราได้เรียนรู้เรื่องช้างจากคุณอุ๊ และพบปะช้างฝั่งซ้ายคือน้องดา(ช้างอายุ 16ปี) และฝั่งขวาคือพี่ปุ้มปุ้ย(ช้างอายุ 40 กว่า)
ดาและปุ้มปุ้ยเคยเป็นช้างเร่ร่อนมาก่อน ทั้งสองเชือกมารู้จักกันที่นี่ ดาจะกลัวเสียงเครื่องยนต์และขี้ตกใจ พอมีเสียงพวกนี้มาใกล้ๆ ปุ้มปุ้ยก็จะส่งเสียงและทั้งสองจะเอางวงตัวเองไปสัมผัสกับอีกตัว เหมือนจะบอกว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีอันตราย” 
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องของช้าง(ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.)ทำให้ได้รู้ในเรื่องที่เข้าใจผิดมาตลอด ซึ่งเราจะขอเขียนในเรื่องที่เราเข้าใจผิดนะคะ
1.น้ำตาช้างจะไหลเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะเค้าป้องกันการระคายเคือง ไม่ได้ร้องไห้ง่ายแต่อย่างใด
2.เคยเห็นในเน็ตเขียนว่ามีคนมาขายอ้อยให้ป้อนช้าง พอช้างเดินผ่านไปก็จะบังคับให้ช้างคายออกมา อันนี้ไม่จริง ควาญช้างบอกว่า เข้าปากแล้วมีแต่เคี้ยวกับกลืนเลย คุณอุ๊ที่ให้ข้อมูลเลยบอกว่าไม่งั้นจะมีสำนวน “อ้อยเข้าปากช้าง” มาทำไม (เออ..จริงเนอะ)
3.จ่าโขลงคือช้างตัวเมีย (นี่คิดว่าตัวผู้มาตลอด555) ซึ่งที่เป็นตัวเมียเพราะเมื่อตัวเมียตั้งท้องหลายรอบแล้วเค้าจะมีประสบการณ์ในการหาอาหารและดำรงชีวิต ส่วนตัวผู้ถ้าถึงวัยเจริญพันธุ์ก็จะปลีกตัวหรือโดนบังคับให้ออกจากโขลงไป เพื่อไปผสมพันธุ์กับช้างโขลงอื่น
และข้อมูลอีกมากมาย แต่คิดว่าทุกคนคงไปหาอ่านในโลกออนไลน์ได้

ปล.ได้พาน้องช้างไปเล่นน้ำด้วย