ตอนที่ 2
อ่านตอนที่ 1 ได้ที่
https://pantip.com/topic/38844278
เราเดินทางกันบนรถบัสจากเมือง Salta ประเทศ Argentina ออกเดินกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า ระยะทาง 500 กม.ตามหมายกำหนดน่าจะถึงประมาณบ่าย 2 แต่เอาเข้าจริงถึงเกือบ 5 โมงเย็น มาเสียเวลาเช็คพาสปอร์ตกันที่พรมแดน ในระหว่างรอเช็คกันอยู่นั้นเราไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกตัวเลยว่าทำไมเรานั่งเหมือนตัวโงนเงน (ซึ่งเป็นอาการของอ๊อกซิเจนเริ่มน้อยลง) มีผู้โดยสารวัย 20 กว่าถึงกับเป็นลมขณะยืนรอต้องให้อ๊อกซิเจนกันตรงนั้น (ที่พรมแดนจะมีไว้ช่วยเหลือผู้โดยสาร) พวกเราหลายชีวิตบนรถบัสช่วยกันดูแล บางคนก็พกพาทั้งลูกอมโคคา ใบโคคาสดติดตัวมาด้วย ก็แบ่งปันกันให้เคี้ยวและอมไว้ใต้กระพุ้งแก้ม และแบ่งปันน้ำดื่มกันก็ช่วยได้เยอะ
เมือง San Pedro De Atacama ประเทศ Chile เป็นเมืองทะเลทรายอยู่ในที่ราบสูง อากาศร้อนลักษณะหมู่บ้านคล้ายกับหมู่บ้านทะเลทรายที่เห็นในตามหนังฮอลลี่วู๊ดทั่วไป แต่เมื่อเดินไปภายในร้านขายของหรือร้านอาหารก็จะตะลึงกับการตกแต่งที่สวยงาม อาหารแพงแต่อร่อยมาก สถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก สามารถดูหมู่ดาวในคืนที่ท้องฟ้ามืดได้ชัดเจนที่สุด (แต่เราไม่ได้ดูเพราะไม่มืดพอ)
เราบุ๊คทัวร์ 1 วันเต็มไปเที่ยวทะเลทราย Atacama เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แห้งแล้งแต่สวย ไกด์บอกว่าระยะ 3 ปีมีฝนตกเพียง 50 มล.เท่านั้น พอตอนเย็นทัวร์พานั่งรอดูพระอาทิตย์ตกดินบนเทือกเขาแอนดีส แสงพระอาทิตย์ตกดินสะท้อนมายังภูเขาด้านตรงข้ามเป็นสีม่วง ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกตา ตื่นใจมากมาย
เราพักที่นี่ 4 คืน chilled out เพื่อให้ร่างกายชินต่อสภาพอากาศเริ่มเบาบางเนื่องจากเราบุ๊คทัวร์ 4WD ทริปนี้จะข้ามทะเลทรายพรมแดนประเทศชิลีไปยังประเทศโบลิเวียซึ่งจะเป็นทริปใช้เวลา 3 วัน 2 คืนเพื่อที่จะไปดูทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่สามารถมองเห็นได้จาก space เราสามารถซื้อทัวร์ที่จะเข้าประเทศ Bolivia ได้ที่เมืองนี้

เส้นทางจากเมือง Salta ไปยังเมือง San Pedro De Atacama

สีของดิน

หมู่บ้าน San Pedro De Atacama ดูข้างนอกไม่น่าดู แต่ข้างในหรูเริ่ดส์




พระอาทิตย์ตกดินบนเทือกเขาแอนดีส

แสงตะวันตกดินสะท้อนกระทบภูเขาตรงข้ามแอนดีส เป็นสีม่วง สวยงามจับตา
เมื่อครบกำหนด 4 คืน เราก็เดินทางต่อไปยังพรมแดนเขตติดต่อประเทศโบลิเวียค่ะ โบลิเวียเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในประเทศอเมริกาใต้ ใน 17 ประเทศที่เราไปมา โบลิเวียเป็นประเทศที่เราใช้เงินรายวันรวมค่าทัวร์ด้วยเป็นจำนวนที่น้อยที่สุดในทริป อาหารการกินพื้นเมืองพวกปลา trout น้ำจืดทอดนั้นอร่อยมากราคาไม่แพง พวกอาหารฝรั่งในคาเฟ่หรู ๆ ก็ราคาถูกเช่น Hamberger with Salad and chips ตกในราคา 200 บาทเท่านั้น
การเดินทางโดย 4WD แต่ละคันจะมีผู้โดยสาร 6 คน คันของเราจะมีอีก 2 คนเป็นชาวฮอลแลนด์ และอีก 2 คนเป็นชาวบราซิล คนขับเป็นชาวโบลิเวีย ตอนซื้อทัวร์ก็ถามแล้วว่าอยากได้คนขับที่พอพูดอังกฤษได้ แต่คนขับพูดไม่ได้เลย โชคดีที่เด็กสาวชาวบราซิลคนหนึ่งสามารถพูดภาษา spanish ได้ เพราะพ่อของเธอเป็นคนประเทศอาร์เยนตินา เราก็เลยได้ล่ามติดตัวกันไปตลอดทริป การเดินทางข้ามทะเลทรายมีทิวทัศน์ที่สวยงาม น่าทึ่ง มีนก Flamingo เยอะแยะแทบจะทุก Lagoons ทางทัวร์มีบริการอาหาร 3 มื้อพร้อมที่พัก อาหารพอถูไถกินได้
คืนแรกของทริป เรา 6 คนนอนรวมกันในห้องเดียวกันบนที่สูงกว่า 5000 เมตรจากระดับน้ำทะเล อากาศหนาวมาก ไม่มีที่ให้อาบน้ำ เนื่องจากอากาศน้อยเป็นทุนอยู่แล้ว เราต้องแง้มประตูเพื่อให้อากาศได้เข้ามาหมุนเวียนในห้องได้บ้าง
คืนที่ 2 ตามหมายกำหนดต้องไปพักที่โรงแรมซึ่งสร้างด้วยอิฐเกลือ ณ Uyuni Salt Flats ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลเกลือ แต่โชคไม่เข้าข้างเพราะฝนตกก่อนที่จะไปถึงทำให้พื้นทะเลเกลือเป็นน้ำสูงขึ้นมาถึงฝ่าเท้า ทำให้ไม่สามารถพักที่นั่นได้ต้องไปพัก Hostel ไม่ค่อยได้มาตราฐาน แต่ทัวร์ก็พาเราไปดูตะวันขึ้นที่ทะเลเกลือตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อให้ทันเห็น

กรุ๊ปเรา ตึกด้านหลังเป็น Bolivia Immigration ค่ะ ดูสภาพไม่น่าจะทนหนาวได้ ซึ่งตรงข้ามกับ Chile Immigration อย่างสิ้นเชิง

รถเราซ้ายมือสุด

ดั่งปานวาด..จุดแรกที่จอดให้เราได้ชม

ทิวทัศน์กลางทะเลทราย

นก Flamingo มีเกือบทุกที่

จุดพักนอนคืนแรก 5000 กว่าเมตรจากระดับน้ำทะเล



ตะวันขึ้นที่ Uyuni Salt Flats

น้ำท่วมฉับพลันเลยอดได้พักที่นี่ อิฐที่เห็นนั้นทำจากเกลือทั้งก้อน

อิฐเกลือ


สนุกสนานเฮฮากับสาว ๆ ชาวบราซิล

หลังจากร่ำลากันกับกรุ๊ปทัวร์เราแล้ว เราก็บัสเดินทางต่อไปยังเมือง Sucre เป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศโบลิเวียก่อนที่จะตั้งเมืองใหม่ชื่อว่า Lapas เราพักที่ Sucre 3 คืน เมืองเก่านี้สวยงามแต่เราไม่สบายมากเนื่องจากสาวชาวบราซิลที่ในกรุ๊ปทัวร์ด้วยกัน เธอไม่สบายเป็นหวัดเป็นทุนอยู่แล้ว และพอได้มานอนรวมห้องเดียวกันด้วยอากาศเบาบางแถมเตียงติดกับเราอีก ทำให้เราติดหวัดจากเธอ มันเป็นอะไรที่ทรมานมากเพราะอากาศหายใจน้อย เราได้แน่นอนพักในระยะที่อยู่เมืองนี้ ได้แค่ออกไปชมเมืองนิดหน่อยค่ะ

ทิวทัศน์เมือง Sucre
พอครบกำหนดเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองหลวงของประเทศนี้ โดยบินจาก Sucre ไปยัง Lapas เมืองหลวงนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขา ขนาดเราเตรียมตัวสำหรับมาประเทศนี้แล้วก็ยังไม่วายหายใจแทบไม่ออก เดินขึ้นบันใดนิดหน่อยก็ต้องหยุดหายใจ บ้านเมืองเป็นสีแดงเต็มไปหมด การเดินทางท่องเที่ยวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งในตัวเมืองจะใช้ Cable cars หรือเรียก Taxi
การดำรงชีพของประชากรที่นี่คล้ายเมืองไทยเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ยังมีคนจับปลามาขายตามริมถนน มีคนปิ้ง ย่าง เนื้อบนรถเข็น ขายผักขายดอกไม้ริมถนน ขายเสื้อผ้าแพรภัณท์มากมาย ไกด์บอกว่าที่ประเทศนี้ไม่มีห้างสรรพสินค้าเพราะกลัวว่าประชาชนจะจนหนักเข้าไปใหญ่ มันทำให้เราคิดถึงเมืองไทยสมัยเป็นเด็กมาก


with Free walking tour

รถโดยสาร

เหมือนบ้านเรา

Cable cars ใช้โดยสารจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง

ตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้

เราอยู่ที่นี่ 4 คืนเมื่อครบกำหนด เราก็เดินทางโดยรสบัส ซึ่งเราได้บุ๊คไว้ล่วงหน้ากับบริษัท Peru - Bolivia Hop ซึ่งเป็นบริษัทที่มีรถวิ่งรับนักท่องเที่ยวอยู่ใน 2 ประเทศนี้ เราสามารถที่จะลงเมืองใดก็ได้ตามแผนที่ที่ทางบริษัทกำหนดให้ ซึ่งต่อไปนี้จนถึงเมืองหลวงของประเทศเปรู เราจะใช้บริการนี้และจอดพักตามที่เราต้องการคือ Copacabana, Puno, Cusco, Arequipa, Nasca, Huacachina และสุดท้ายที่ Lima

Bolivia Hop รถไม่ค่อยหรูเท่าไหร่ น่าจะตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ
เดี๋ยวกลับมาเล่าการเดินทางด้วยรถบัสนะคะ
ตอนที่ 2 ประสพการณ์เมื่อเดินทาง 3 ทวีป 17 ประเทศ 65 เมือง ในเวลา 6 เดือนครึ่งในวัย 51 และ 54
อ่านตอนที่ 1 ได้ที่
https://pantip.com/topic/38844278
เราเดินทางกันบนรถบัสจากเมือง Salta ประเทศ Argentina ออกเดินกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า ระยะทาง 500 กม.ตามหมายกำหนดน่าจะถึงประมาณบ่าย 2 แต่เอาเข้าจริงถึงเกือบ 5 โมงเย็น มาเสียเวลาเช็คพาสปอร์ตกันที่พรมแดน ในระหว่างรอเช็คกันอยู่นั้นเราไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกตัวเลยว่าทำไมเรานั่งเหมือนตัวโงนเงน (ซึ่งเป็นอาการของอ๊อกซิเจนเริ่มน้อยลง) มีผู้โดยสารวัย 20 กว่าถึงกับเป็นลมขณะยืนรอต้องให้อ๊อกซิเจนกันตรงนั้น (ที่พรมแดนจะมีไว้ช่วยเหลือผู้โดยสาร) พวกเราหลายชีวิตบนรถบัสช่วยกันดูแล บางคนก็พกพาทั้งลูกอมโคคา ใบโคคาสดติดตัวมาด้วย ก็แบ่งปันกันให้เคี้ยวและอมไว้ใต้กระพุ้งแก้ม และแบ่งปันน้ำดื่มกันก็ช่วยได้เยอะ
เมือง San Pedro De Atacama ประเทศ Chile เป็นเมืองทะเลทรายอยู่ในที่ราบสูง อากาศร้อนลักษณะหมู่บ้านคล้ายกับหมู่บ้านทะเลทรายที่เห็นในตามหนังฮอลลี่วู๊ดทั่วไป แต่เมื่อเดินไปภายในร้านขายของหรือร้านอาหารก็จะตะลึงกับการตกแต่งที่สวยงาม อาหารแพงแต่อร่อยมาก สถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก สามารถดูหมู่ดาวในคืนที่ท้องฟ้ามืดได้ชัดเจนที่สุด (แต่เราไม่ได้ดูเพราะไม่มืดพอ)
เราบุ๊คทัวร์ 1 วันเต็มไปเที่ยวทะเลทราย Atacama เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แห้งแล้งแต่สวย ไกด์บอกว่าระยะ 3 ปีมีฝนตกเพียง 50 มล.เท่านั้น พอตอนเย็นทัวร์พานั่งรอดูพระอาทิตย์ตกดินบนเทือกเขาแอนดีส แสงพระอาทิตย์ตกดินสะท้อนมายังภูเขาด้านตรงข้ามเป็นสีม่วง ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกตา ตื่นใจมากมาย
เราพักที่นี่ 4 คืน chilled out เพื่อให้ร่างกายชินต่อสภาพอากาศเริ่มเบาบางเนื่องจากเราบุ๊คทัวร์ 4WD ทริปนี้จะข้ามทะเลทรายพรมแดนประเทศชิลีไปยังประเทศโบลิเวียซึ่งจะเป็นทริปใช้เวลา 3 วัน 2 คืนเพื่อที่จะไปดูทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่สามารถมองเห็นได้จาก space เราสามารถซื้อทัวร์ที่จะเข้าประเทศ Bolivia ได้ที่เมืองนี้
เมื่อครบกำหนด 4 คืน เราก็เดินทางต่อไปยังพรมแดนเขตติดต่อประเทศโบลิเวียค่ะ โบลิเวียเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในประเทศอเมริกาใต้ ใน 17 ประเทศที่เราไปมา โบลิเวียเป็นประเทศที่เราใช้เงินรายวันรวมค่าทัวร์ด้วยเป็นจำนวนที่น้อยที่สุดในทริป อาหารการกินพื้นเมืองพวกปลา trout น้ำจืดทอดนั้นอร่อยมากราคาไม่แพง พวกอาหารฝรั่งในคาเฟ่หรู ๆ ก็ราคาถูกเช่น Hamberger with Salad and chips ตกในราคา 200 บาทเท่านั้น
การเดินทางโดย 4WD แต่ละคันจะมีผู้โดยสาร 6 คน คันของเราจะมีอีก 2 คนเป็นชาวฮอลแลนด์ และอีก 2 คนเป็นชาวบราซิล คนขับเป็นชาวโบลิเวีย ตอนซื้อทัวร์ก็ถามแล้วว่าอยากได้คนขับที่พอพูดอังกฤษได้ แต่คนขับพูดไม่ได้เลย โชคดีที่เด็กสาวชาวบราซิลคนหนึ่งสามารถพูดภาษา spanish ได้ เพราะพ่อของเธอเป็นคนประเทศอาร์เยนตินา เราก็เลยได้ล่ามติดตัวกันไปตลอดทริป การเดินทางข้ามทะเลทรายมีทิวทัศน์ที่สวยงาม น่าทึ่ง มีนก Flamingo เยอะแยะแทบจะทุก Lagoons ทางทัวร์มีบริการอาหาร 3 มื้อพร้อมที่พัก อาหารพอถูไถกินได้
คืนแรกของทริป เรา 6 คนนอนรวมกันในห้องเดียวกันบนที่สูงกว่า 5000 เมตรจากระดับน้ำทะเล อากาศหนาวมาก ไม่มีที่ให้อาบน้ำ เนื่องจากอากาศน้อยเป็นทุนอยู่แล้ว เราต้องแง้มประตูเพื่อให้อากาศได้เข้ามาหมุนเวียนในห้องได้บ้าง
คืนที่ 2 ตามหมายกำหนดต้องไปพักที่โรงแรมซึ่งสร้างด้วยอิฐเกลือ ณ Uyuni Salt Flats ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลเกลือ แต่โชคไม่เข้าข้างเพราะฝนตกก่อนที่จะไปถึงทำให้พื้นทะเลเกลือเป็นน้ำสูงขึ้นมาถึงฝ่าเท้า ทำให้ไม่สามารถพักที่นั่นได้ต้องไปพัก Hostel ไม่ค่อยได้มาตราฐาน แต่ทัวร์ก็พาเราไปดูตะวันขึ้นที่ทะเลเกลือตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อให้ทันเห็น
พอครบกำหนดเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองหลวงของประเทศนี้ โดยบินจาก Sucre ไปยัง Lapas เมืองหลวงนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขา ขนาดเราเตรียมตัวสำหรับมาประเทศนี้แล้วก็ยังไม่วายหายใจแทบไม่ออก เดินขึ้นบันใดนิดหน่อยก็ต้องหยุดหายใจ บ้านเมืองเป็นสีแดงเต็มไปหมด การเดินทางท่องเที่ยวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งในตัวเมืองจะใช้ Cable cars หรือเรียก Taxi
การดำรงชีพของประชากรที่นี่คล้ายเมืองไทยเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ยังมีคนจับปลามาขายตามริมถนน มีคนปิ้ง ย่าง เนื้อบนรถเข็น ขายผักขายดอกไม้ริมถนน ขายเสื้อผ้าแพรภัณท์มากมาย ไกด์บอกว่าที่ประเทศนี้ไม่มีห้างสรรพสินค้าเพราะกลัวว่าประชาชนจะจนหนักเข้าไปใหญ่ มันทำให้เราคิดถึงเมืองไทยสมัยเป็นเด็กมาก
เราอยู่ที่นี่ 4 คืนเมื่อครบกำหนด เราก็เดินทางโดยรสบัส ซึ่งเราได้บุ๊คไว้ล่วงหน้ากับบริษัท Peru - Bolivia Hop ซึ่งเป็นบริษัทที่มีรถวิ่งรับนักท่องเที่ยวอยู่ใน 2 ประเทศนี้ เราสามารถที่จะลงเมืองใดก็ได้ตามแผนที่ที่ทางบริษัทกำหนดให้ ซึ่งต่อไปนี้จนถึงเมืองหลวงของประเทศเปรู เราจะใช้บริการนี้และจอดพักตามที่เราต้องการคือ Copacabana, Puno, Cusco, Arequipa, Nasca, Huacachina และสุดท้ายที่ Lima
เดี๋ยวกลับมาเล่าการเดินทางด้วยรถบัสนะคะ