สวัสดีคะ ฉันเป็นเด็กผู้หญิงวัย17ปี ตามที่ได้ตั้งกระทู้ไว้ฉันเป็นคนๆนึงที่ถูกเพื่อนห้องเดียวกันที่โรงเรียนบอกว่าทำตัวให้เหมือนคนอื่นบ้างได้หรือปล่าว?
ฉันเลยกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมถึงได้มีคนพูดกับฉันแบบนี้ สิ่งแรกก็คือสังเกตพฤติกรรมของตัวเอง ฉันเป็นคนเงียบๆชอบอยู่กับตัวเอง เป็นคนที่สงสัยในเรื่องที่คนอื่นไม่สงสัยอย่างเช่นเรื่องที่เกี่ยวกับนอกโลก เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับในทางการของวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา ภาพยนตร์ที่มีข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องหรือมุมมองต่างๆ ซึ่งฉันก็คิดว่ามันไม่น่าจะทำให้คนอื่นมองฉันเเบบนั้น เเต่ฉันก็ไม่เข้าใจความคิดของคนอื่นที่มองมาที่ฉันอยูดี ฉันไม่ชอบนิสัยเพื่อนผู้หญิงสักเท่าไหร่ จึงชอบอยู่กับเพื่อนผู้ชายที่โรงเรียน คิดว่ามันสบายใจกว่า เหตุผลที่ฉันไม่ชอบอยู่กับเพื่อนผู้หญิงคือ พวกเขามักจะล้อมวงกลางห้องเรียน เปิดดูโทรศัพท์เเล้วก็นั่งเม้ามอยเรื่องของคนอื่น พูดเรื่องที่มีเเต่ด้านลบๆ ลืมบอกอีกอย่างคะ คือฉันเป็นไมเกรนจึงไม่ชอบอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย รับฟังสิ่งที่ฉันไม่อยากจดจำให้ปวดหัวเพราะฉันชอบปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ หนักสุดในบางครั้งคืออาเจียนออกมา และที่โรงเรียนของทุกวันในแต่ละวิชาฉันสงสัยกับตัวเองว่าเราเรียนแบบนี้ไปเพื่ออะไรเป็นเพราะทางบ้านพ่อกับเเม่อยากให้เรียนใกล้บ้านและบังคับให้เรียนสายวิทย์-คณิต ซึ่งฉันพยายามทำตามคำสั่งของพ่อกับแม่มาโดยตลอด ไม่เคยปฎิเสธทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับสายนี้เลย อยู่ในโรงเรียนก็ถูกกดดันให้เรียนหนักขี้นๆให้สมกับเด็กห้องคิง ในห้องเรียนในขณะที่ครูสอนเกิดคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว อยากจะให้คลายปมข้อสงสัยในวิชาของคณิต เคมี ฟิสิกส์ ซึ่งฉันไม่ชอบวิชานี้เลย เมื่อจะตั้งคำถามและถามออกไป ครูก็ตอบกลับมาว่าที่เธอถามออกมานั้น เธอไม่ได้ฟังสิ่งที่ครูสอนเลยใช่มั้ย ทำไมเพื่อนคนอื่นๆถึงไม่สงสัยเหมือนเธอล่ะ ทำไมคนอื่นถึงทำได้ เธออยู่ห้องวิทย์-คณิตนะ ทำตัวให้สมกับเด็กห้องนี้หน่อย กลับไปอ่านแล้วก็หาคำตอบเอาเองละกัน เเละนี่คือสิ่งที่ทำให้ฉันปิดกั้นกับตัวเอง เลิกที่จะเก็บมันไว้เเละโทษกับตัวเองว่า หัดทำตัวให้ดีพอสะบ้าง หัดหาความรู้ใส่หัวสะบ้าง กดดันตัวเองให้มากเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับเพื่อนให้ได้ สิ่งที่เกิดในวันนี้คือวันทุกวันที่ฉันต้องเจอ ต้องพยายามถามตัวเองว่าทำไม ทำไมถึงไม่เข้าใจอะไรง่ายๆที่คนอื่นก็สามารถทำได้เเต่ฉันนั้นทำไม่ได้ เมื่อกลับมาที่บ้านก็เจอกับสถานการณ์ซ้ำเเล้วซ้ำอีก พ่อกับแม่ฉันไม่ค่อยถูกคอกัน พ่อเป็นคนติดเหล้า ติดบุหรี่ ส่วนแม่เป็นโรคหัวใจ ทุกๆวันที่กลับมาจากโรงเรียนถ้าพ่อกับแม่อยู่ด้วยกันก็จะมีเเต่เสียงที่ทะเลาะกัน ด่ากัน ทุกคำล้วนเป็นคำไม่ดีทั้งหมดที่เขา2คนพูดออกมา แม่เคยบอกว่าถ้าไม่มีสามีก็คงจะดี ซึ่งคำพูดนั้นมันทำให้ฉันจำและเก็บเอาไปนอนคิดว่า ถ้าไม่มีพ่อก็คงไม่มีฉัน และถ้าแม่ไม่มีฉันแม่คงจะดีกว่านี้ ไม่ต้องมาทนทุกข์กับโรคหัวใจและภาระที่ต้องส่งเงินเลี้ยงฉัน ฉันพยายามค้นหาตัวเองว่าชอบอะไร อยากเรียนอะไรต่อ เมื่อเสนอสิ่งที่อยากทำกลับถูกปฎิเสธกลับมาว่า อยู่นิ่งๆไม่เป็นหรือใง สัญหาแต่ภาระมาตลอด ไม่มีเงินส่งให้เรียนหรอกนะ เงินตั้งมากมายจะไปหาที่ไหนพ่อกับเเม่ก็เเก่เเล้วไม่อยากอยู่ดูแลหรอ ยังจะอยากห่างจากบ้านอีก ซึ่งคำพูดนั้นมันทำให้ฉันเศร้าซึมไปหลายวันและไม่กล้าที่จะพูดเรื่องเเบบนี้ออกมาให้พ่อกับแม่ฟังอีก ฉันเริ่มรู้สักว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงให้พ่อกับแม่ เป็นคนที่คนในโรงเรียนมองเเล้วก็คิดว่าเป็นคนที่เเตกต่าง บางครั้งฉันอยากจะใช้ความเเตกต่างนี้ให้เป็นประโยชน์ ฉันชอบดูภาพยนตร์เเละตั้งคำถามให้ตัวเองตลอดว่าได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง ตัดอันที่ดำเนินเรื่องไม่ดี เเละเก็บเรื่องที่ดีเเละนำไปปรับใช้ในชีวิตตอนนี้ได้ ฉันคิดอยากเป็นผู้กำกับ เเต่ถูกปฎิเสธจากพ่อกับแม่ไปแล้ว ด้วยค่าเทอมที่สูงเเละฐานะปานกลางของที่บ้าน บวกกับความเป็นห่วงของพ่อแม่ที่ไม่อยากให้อยู่ห่างจากบ้าน ฉันจึงคิดว่าความคิดที่จะเปลี่ยนโลกด้วยความคิดของเด็กคนนึงที่ถูกมองว่าเเตกต่างเเละเป็นภาระต่อคนที่รู้จัก ได้จบลงและไม่สามารถไปต่อได้ คงต้องภาวนาให้ชีวิตของฉันฟลุ๊คขึ้นมาสักครั้ง แม้จะเกิดโอกาสเเค่1% ฉันก็จะพยายามคิดให้มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เเละคิดว่าถ้าฉันได้ไปถึงจุดนั้น ฉันจะทำทุกอย่างให้คนอื่นรวมถึงครอบครัวฉันยอมรับให้ได้
ไม่รู้ว่าเรื่องราวนี้จะมีคนอ่านหรือปล่าว
เเต่ถ้ามีคนได้อ่านโปรดหาทางออกให้หนูหน่อยนะคะ หรือจะมีคำแนะนำอะไรหนูก็ได้
ขอบคุณคะ
ความคิดของเด็กวัยรุ่นคนนึง
ฉันเลยกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมถึงได้มีคนพูดกับฉันแบบนี้ สิ่งแรกก็คือสังเกตพฤติกรรมของตัวเอง ฉันเป็นคนเงียบๆชอบอยู่กับตัวเอง เป็นคนที่สงสัยในเรื่องที่คนอื่นไม่สงสัยอย่างเช่นเรื่องที่เกี่ยวกับนอกโลก เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับในทางการของวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา ภาพยนตร์ที่มีข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องหรือมุมมองต่างๆ ซึ่งฉันก็คิดว่ามันไม่น่าจะทำให้คนอื่นมองฉันเเบบนั้น เเต่ฉันก็ไม่เข้าใจความคิดของคนอื่นที่มองมาที่ฉันอยูดี ฉันไม่ชอบนิสัยเพื่อนผู้หญิงสักเท่าไหร่ จึงชอบอยู่กับเพื่อนผู้ชายที่โรงเรียน คิดว่ามันสบายใจกว่า เหตุผลที่ฉันไม่ชอบอยู่กับเพื่อนผู้หญิงคือ พวกเขามักจะล้อมวงกลางห้องเรียน เปิดดูโทรศัพท์เเล้วก็นั่งเม้ามอยเรื่องของคนอื่น พูดเรื่องที่มีเเต่ด้านลบๆ ลืมบอกอีกอย่างคะ คือฉันเป็นไมเกรนจึงไม่ชอบอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย รับฟังสิ่งที่ฉันไม่อยากจดจำให้ปวดหัวเพราะฉันชอบปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ หนักสุดในบางครั้งคืออาเจียนออกมา และที่โรงเรียนของทุกวันในแต่ละวิชาฉันสงสัยกับตัวเองว่าเราเรียนแบบนี้ไปเพื่ออะไรเป็นเพราะทางบ้านพ่อกับเเม่อยากให้เรียนใกล้บ้านและบังคับให้เรียนสายวิทย์-คณิต ซึ่งฉันพยายามทำตามคำสั่งของพ่อกับแม่มาโดยตลอด ไม่เคยปฎิเสธทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับสายนี้เลย อยู่ในโรงเรียนก็ถูกกดดันให้เรียนหนักขี้นๆให้สมกับเด็กห้องคิง ในห้องเรียนในขณะที่ครูสอนเกิดคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว อยากจะให้คลายปมข้อสงสัยในวิชาของคณิต เคมี ฟิสิกส์ ซึ่งฉันไม่ชอบวิชานี้เลย เมื่อจะตั้งคำถามและถามออกไป ครูก็ตอบกลับมาว่าที่เธอถามออกมานั้น เธอไม่ได้ฟังสิ่งที่ครูสอนเลยใช่มั้ย ทำไมเพื่อนคนอื่นๆถึงไม่สงสัยเหมือนเธอล่ะ ทำไมคนอื่นถึงทำได้ เธออยู่ห้องวิทย์-คณิตนะ ทำตัวให้สมกับเด็กห้องนี้หน่อย กลับไปอ่านแล้วก็หาคำตอบเอาเองละกัน เเละนี่คือสิ่งที่ทำให้ฉันปิดกั้นกับตัวเอง เลิกที่จะเก็บมันไว้เเละโทษกับตัวเองว่า หัดทำตัวให้ดีพอสะบ้าง หัดหาความรู้ใส่หัวสะบ้าง กดดันตัวเองให้มากเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับเพื่อนให้ได้ สิ่งที่เกิดในวันนี้คือวันทุกวันที่ฉันต้องเจอ ต้องพยายามถามตัวเองว่าทำไม ทำไมถึงไม่เข้าใจอะไรง่ายๆที่คนอื่นก็สามารถทำได้เเต่ฉันนั้นทำไม่ได้ เมื่อกลับมาที่บ้านก็เจอกับสถานการณ์ซ้ำเเล้วซ้ำอีก พ่อกับแม่ฉันไม่ค่อยถูกคอกัน พ่อเป็นคนติดเหล้า ติดบุหรี่ ส่วนแม่เป็นโรคหัวใจ ทุกๆวันที่กลับมาจากโรงเรียนถ้าพ่อกับแม่อยู่ด้วยกันก็จะมีเเต่เสียงที่ทะเลาะกัน ด่ากัน ทุกคำล้วนเป็นคำไม่ดีทั้งหมดที่เขา2คนพูดออกมา แม่เคยบอกว่าถ้าไม่มีสามีก็คงจะดี ซึ่งคำพูดนั้นมันทำให้ฉันจำและเก็บเอาไปนอนคิดว่า ถ้าไม่มีพ่อก็คงไม่มีฉัน และถ้าแม่ไม่มีฉันแม่คงจะดีกว่านี้ ไม่ต้องมาทนทุกข์กับโรคหัวใจและภาระที่ต้องส่งเงินเลี้ยงฉัน ฉันพยายามค้นหาตัวเองว่าชอบอะไร อยากเรียนอะไรต่อ เมื่อเสนอสิ่งที่อยากทำกลับถูกปฎิเสธกลับมาว่า อยู่นิ่งๆไม่เป็นหรือใง สัญหาแต่ภาระมาตลอด ไม่มีเงินส่งให้เรียนหรอกนะ เงินตั้งมากมายจะไปหาที่ไหนพ่อกับเเม่ก็เเก่เเล้วไม่อยากอยู่ดูแลหรอ ยังจะอยากห่างจากบ้านอีก ซึ่งคำพูดนั้นมันทำให้ฉันเศร้าซึมไปหลายวันและไม่กล้าที่จะพูดเรื่องเเบบนี้ออกมาให้พ่อกับแม่ฟังอีก ฉันเริ่มรู้สักว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงให้พ่อกับแม่ เป็นคนที่คนในโรงเรียนมองเเล้วก็คิดว่าเป็นคนที่เเตกต่าง บางครั้งฉันอยากจะใช้ความเเตกต่างนี้ให้เป็นประโยชน์ ฉันชอบดูภาพยนตร์เเละตั้งคำถามให้ตัวเองตลอดว่าได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง ตัดอันที่ดำเนินเรื่องไม่ดี เเละเก็บเรื่องที่ดีเเละนำไปปรับใช้ในชีวิตตอนนี้ได้ ฉันคิดอยากเป็นผู้กำกับ เเต่ถูกปฎิเสธจากพ่อกับแม่ไปแล้ว ด้วยค่าเทอมที่สูงเเละฐานะปานกลางของที่บ้าน บวกกับความเป็นห่วงของพ่อแม่ที่ไม่อยากให้อยู่ห่างจากบ้าน ฉันจึงคิดว่าความคิดที่จะเปลี่ยนโลกด้วยความคิดของเด็กคนนึงที่ถูกมองว่าเเตกต่างเเละเป็นภาระต่อคนที่รู้จัก ได้จบลงและไม่สามารถไปต่อได้ คงต้องภาวนาให้ชีวิตของฉันฟลุ๊คขึ้นมาสักครั้ง แม้จะเกิดโอกาสเเค่1% ฉันก็จะพยายามคิดให้มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เเละคิดว่าถ้าฉันได้ไปถึงจุดนั้น ฉันจะทำทุกอย่างให้คนอื่นรวมถึงครอบครัวฉันยอมรับให้ได้
ไม่รู้ว่าเรื่องราวนี้จะมีคนอ่านหรือปล่าว
เเต่ถ้ามีคนได้อ่านโปรดหาทางออกให้หนูหน่อยนะคะ หรือจะมีคำแนะนำอะไรหนูก็ได้
ขอบคุณคะ