
มือใหม่หัดตั้งกระทู้นะคะ ก่อนไปเที่ยวแอฟริกาใต้ มีโอกาสได้หาข้อมูลจากในพันทิปด้วย เลยอยากจะมาแบ่งปันรูปแบบการเที่ยวแอฟริกาใต้ของเราและเพื่อนๆค่ะ น่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆที่จะตามไปได้
ทำไมถึงไปแอฟริกาใต้ ??
เพื่อนชวน ตอนแรกที่เพื่อนโทรมาชวน ก็คิดในใจว่าไปทำไม มีอะไรให้เที่ยวหรอ เพื่อนบอกว่าลอง search เมือง cape town ดู พอได้เห็นรูปกับข้อมูลก็ตัดสินใจตกลงไปทันที ทริปนี้รวบรวมสมาชิกได้ 7 คน หัวหน้าทริปจะเป็นเพื่อนที่โทรมาชวน ส่วนเราแค่ผู้ติดตาม ^^
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
1. พวกเราเลือกใช้บริการของ Ethiopian airlines สายการบินประจำชาติของเอธิโอเปีย เดินทางช่วงสงกรานต์ วันที่ 6-15 เมษายน ต้องบอกก่อนว่าการจองตั๋วของแต่ละคนใช้ช่องทางต่างกัน เราเองจองผ่านเวปสายการบิน บางคนจองผ่านเอเจนซี ค่าตั๋วที่จองได้จะอยู่ราวๆ 32,xxx-35,xxx บาท (ก่อนเดินทาง 1 เดือนเห็นราคาตั๋วอยู่ที่ประมาณ 27,xxx บาท) ไฟล์ทจะเป็นตามนี้ค่ะ
ขาไป Bangkok to Addis Ababa
Addis Ababa to Johannesburg
ขากลับ Cape town to Addis Ababa
Addis Ababa to Bangkok
ไฟล์ขากลับมีการเลื่อนเวลาไฟล์กลับ กทม. เร็วขึ้นกว่าเวลาเดิม จนมีเวลา transit แค่ 30 นาที ไว้ตอนท้ายจะมาเล่าให้ฟังว่าสายการบินจัดการยังไง
อ่อ มีเที่ยวบินในประเทศด้วย จาก Johannesburg ไป Cape town บินของ British airlines ได้มาในราคา 2,1xx บาท
2. จากการที่ต้องไป transit ที่เอธิโอเปีย ซึ่งเป็นประเทศที่ยังมีการระบาดของโรคไข้เหลือง ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำต่อมาคือ ฉีดวัคซีนไข้เหลือง เราและเพื่อนๆเลือกไปที่รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน ตรงอนุสาวรีย์ สามารถเข้าไปนัดวัน เวลาในเวปไซด์ล่วงหน้าได้ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท (ถ้าไปวันเสาร์ราคาวัคซีนจะสูงกว่าวันธรรมดานิดนึง)
3. แลกเงิน แอฟริกาใต้ใช้สกุลเงิน ZAR 1 ZAR ประมาณ 2.25 บาท สามารถแลกได้ที่ super rich ควรติดต่อจองก่อน
4. สภาพอากาศ อยู่ที่ประมาณ 15-20 องศา ที่ Johannesburg จะอุ่นกว่า cape town ถ้าได้นั่งเรือออกทะเล ควรเตรียมเสื้อที่กันลมไปด้วย เพราะลมจะเย็นและอากาศค่อนข้างหนาว
5. การ Tip ที่อ่านรีวิวไปก็จะทิปกันประมาณ 10 % พวกเราก็ตัดสินใจทิปกันตามนั้น เวลากินข้าวในร้านอาหาร ใบเสร็จเค้าจะรวมราคาอาหารมาให้ แล้วมีช่องว่างให้เราเขียนตัวเลขว่าจะทิปเท่าไหร่ แล้วก็จะมีช่องราคารวม (อาหาร+ทิป)ให้เราเติมเลย หรือเรียก Uber สมมติตกลงราคาที่ 200 ZAR แต่เวลาจ่ายเงิน ต้องเพิ่มทิปด้วยเช่นกัน ก็บวกไป 10%
สิ่งที่กังวลจะเป็นเรื่องความปลอดภัย กลัวจะโดนปล้นกัน การวางแผนการเดินทางเลยจะพยายามให้เซฟที่สุด และราคารับได้
Day 1 Johannesburg
ที่พัก Radisson Blu Gautrain Hotel
ถึง Johannesburg ประมาณบ่ายโมงของที่นู้น (เวลาช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง) เดินทางจากสนามบินมาย่าน Santons ด้วย Guatrain ค่าเสียหายอยู่ที่ 175 แรน แพงอยู่เหมือนกัน ใช้เวลาประมาณครึ่งชม. ก็ถึงสถานี Santons ที่พักเราอยู่ตรงข้ามสถานีเลย

ที่พักคืนแรก
หน้าตาห้องพักค่ะ
เก็บของกันเสร็จ ก็เดินไปที่ Nelson Mandela squre อยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก มีรูปปั้นท่านเนลสันยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ ด้านข้างจะมีห้าง บรรยากาศข้างในก็คล้ายๆห้างบ้านเรา ถ่ายรูปกับท่านเนลสันเสร็จ ก็ไปหาของกินมื้อเย็น มื้อแรกของพวกเราเลือกกินที่ food court ของห้าง มีอาหารให้เลือกหลากหลายอยู่ค่ะ ที่อยากแนะนำให้ลองคือ พิชซ่าค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปชื่อร้านไว้ แต่บริเวณนั้นมีอยู่ร้านเดียว ซื้อมาถาดนึงแบ่งกินกัน 7 คน อร่อยมาก รสชาติดีแบบไม่ต้องใส่ซอสให้เลอะเทอะ
ที่นี่หกโมงเย็นก็ควรจะอยู่ในที่พักแล้วนะคะ เหมือนที่มีคนเคยรีวิวไว้ เพราะเดินกลับโรงแรมประมาณ 6 โมงนิดๆ ระหว่างทางเดินเงียบมากค่ะ ทางเดินติดถนนเลยนะ แต่แทบจะไม่มีรถวิ่ง
ด้านซ้ายของรูปเป็นห้าง
แนะนำเลย อร่อยๆ
พรุ่งนี้เราจะเดินทางออกจาก Johannesburg ไป Pilanesburg กันค่ะ ไปตามล่าหา big 5
Day 2-3 Pilanesburg ตามล่าหา big 5
ที่พัก Ivory tree
มาต่อกันที่วันที่ 2 ด้วยความที่ jet lag ตื่นตั้งแต่ตี 3 ลงมากินอาหารเช้าตั้งแต่ห้องอาหารเปิดเลยคือ 6.30 น. กินไปเรื่อยๆแบบไม่ต้องรีบเร่ง เพราะวันนี้จะมีรถมารับเราไปที่ Pilanesburg National Park นัดเวลาไว้ตอน 10 โมงเช้า เราจะค้างที่นั่น 1 คืน โดยการจองที่พักที่ Ivory tree กิจกรรมซาฟารี (เค้าเรียกกันว่า game drive) กับรถรับ-ส่ง ไป-กลับระหว่าง Johannesburg กับ Pilanesburg นั้น ใช้ของ Biggestleaf Travel ราคาจะทั้งหมดจะประมาณ 1 หมื่นบาทต่อคน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
เหตุผลที่เราไม่ขับรถกันเอง ก็เพราะกลัวโดนปล้น 555 ระหว่างทางก็เจอด่านตรวจของตำรวจด้วยนะ โดนเรียกตามระเบียบ แต่พอเจอคนขับชาวแอฟริกัน
ก็ปล่อยผ่าน
หน้าตารถที่มารับพวกเรา รถ Benz นั่งสบาย นั่งได้ 7 คนพอดี ส่วนกระบะพ่วงท้ายก็ใส่กระเป๋าเดินทาง เวลาไปเที่ยวกันหลายคนแล้วต้องเช่ารถขับ ไซส์กระเป๋าก็สำคัญนะ คนนั่งอาจจะพอ แต่อาจจะใส่กระเป๋าไม่พอ ด้วยเหตุผลนี้หัวหน้าทริปของพวกเราจึงกำชับว่าเป๋าไซส์ 24 นิ้วเท่านั้น
สามรูปด้านล่างนี้เป็นข้างทางตอนใกล้ๆถึง Pilanesburg แล้ว บรรยากาศจะดิบๆต่างจากในเมืองค่อนข้างเยอะ ตามสี่แยก(ที่ไม่มีไฟแดง) ก็จะมีคนยืนขายผลไม้อยู่กลางถนนเลย คล้ายๆขายพวงมาลัยตามแยกไฟแดงบ้านเรา
ประมาณเที่ยงนิดๆ ก็ถึงที่พักของเราแล้วจ้าาา ตื่นเต้นมาก คนขับบอกว่า Pilanesburg national park จะมีทางเข้าอยู่หลายทาง แต่ที่พักของเราจะอยู่ที่ประตูที่เรียกว่า Bukgatla gate
รูปนี้คือโซน lobby คนเข้าพักที่นี่เยอะเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนยุโรป มีพวกเราหัวดำหน้าเอเชียอยู่กรุ๊ปเดียว
อาหารกลางวันที่นี่จะเริ่มตอน 13.00น. อาหารจะเป็นบุฟเฟ่มีทั้งของคาว ของหวาน ใครสายเนื้อน่าจะชอบ มีพวกเนื้อนกกระจอกเทศ เนื้อแกะ เนื้อวัว ให้ทานด้วย มีข้าวด้วยนะ ตอนเห็นนี่ดีใจมาก แต่พอได้กินเท่านั้นแหละ ไม่เคยกินข้าวที่จืดสนิทแบบนี้มาก่อนในชีวิต เหยาะซอสเปรี้ยวๆแล้วก็ยังรู้สึกไม่อร่อยอยู่ดี พอกินข้าวกันเสร็จ ก็เก็บของเข้าห้องพัก เตรียมตัวไป game drive กัน
โซนอาบน้ำมี outdoor ด้วยนะ
โปรแกรมกิจกรรมในช่วงเดือน เมษายน-สิงหาคม จะเป็นตามนี้
05.30 wake up call and morning tea
06.00 morning game drive (ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง)
7.30-10.30 breakfast
13.00-14.30 lunch
15.30 afternoon tea
16.00 afternoon game drive
19.30-22.00 dinner
ถึงเวลา game drive ตอน 16.00น. ไกด์ของกรุ๊ปเราชื่อ Jafari ซึ่ง Jafari ก็จะเป็นคนขับรถด้วยให้พวกเราทั้ง 2 วันคือเย็นนี้กับพรุ่งนี้เช้า กติกาของ game drive คือ ทุกคนต้องอยู่บนรถ ห้ามยื่นแขนขาออกไปนอกตัวรถ แล้ว Jafari ก็บอกว่าอย่ามัวแต่ถ่ายรูป เพราะการมองเห็นด้วยตานั้นดีกว่าเยอะ ถ้ามองเห็นตัวอะไรก็ให้บอกเค้าได้ เค้าจะจอดรถให้ดู
เริ่มเล่นเกมส์กันเลย ขับรถมานิดเดียวสัตว์ตัวแรกที่พวกเราเจอคือ ยีราฟ ขับไปอีกสักพักรถคันอื่นๆจอดกันเค้าบอกว่าเป็น ควายป่า (1ในbig 5) มองอยู่นานกว่าจะเห็นเพราะอยู่ค่อนข้างไกล ด้วยเหตุนี้เลยไม่ได้ถ่ายรูป มองด้วยตาดีกว่า ตามมาด้วย ม้าลาย แรด (1ใน big 5) หมูป่า แล้วก็สัตว์ที่ไม่คุ้นชื่อนัก เช่นพวก wildebeest gazella kudu 2 ตัวหลังนี้จะคล้ายกันมาก ลักษณะคล้ายๆกวาง และจากที่ Jafari บอกว่าถ้าเห็นตัวอะไรให้บอก เราก็ช่วยกันมองหา จนมีช็อตนึง เราเองนี่แหละชี้ไปตรงพุ่มไม้ แบบว่ามีตัวอะไรแน่ๆ จนต้องหยุดรถและถอยหลังกลับมาดู พอรถจอดเท่านั้นแหละกลายเป็น dry leaf ใบไม้แห้งซะงั้น 555 Jafari ไม่พูดอะไร และขับรถออกไปทันที่
นอกจากลุ้นเจอสัตว์แล้ว วิวสองข้างทางก็สวยไม่แพ้กัน ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกคือดีงามมาก ตามรูปเลย
มีพักเบรคด้วยนะ ประมาณตอน 6 โมง ในปิ่นโตขวามือเป็นเนื้อแห้ง ของขึ้นชื่อของที่นี่ รสชาติเค็มนิดๆ เนื้อไม่เหนียว แต่ไม่ได้ถามหรอกนะว่าเอาเนื้ออะไรมาให้กิน คิดเอาเองว่าเป็นหมูเป็นไก่ดีกว่า พักประมาณ 15 นาที ก็ไปตามล่าหาสัตว์กันต่อ พอพระอาทิตย์ตกดินอากาศเย็นมากที่เดียวบวกกับมีลมด้วย
ประมาณ 1 ทุ่มพวกเราก็ถึงที่พัก มีชอคโกแลตร้อนมาคอยต้อนรับ คลายหนาวได้เยอะเลย จากนั้นก็เติมพลังด้วยอาหารมื้อเย็นกันต่อ แล้วก็พักผ่อนตามอัธยาศัย
++ พรุ่งนี้เช้าจะไป morning game drive กันอีกรอบ มีเรื่องน่าตื่นเต้นด้วย ++
[CR] ++ ไปเที่ยวแอฟริกาใต้กันเถอะ ไปแบบ safe ๆๆ ++
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้