ทุกคนคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของบริษัท
Apple กันมาบ้างใช่ไหมครับ
หรือแม้แต่บางคนกำลังอ่านโพสต์นี้ผ่านไอโฟนอยู่ด้วยซ้ำ
และหลาย
ๆ
คนก็คงจะติดภาพว่า
Apple เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเป็นผู้นำในเรื่องของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน
ถ้าไม่มี
iPhone เมื่อ
10 กว่าปีที่แล้ว
ก็คงไม่มีสมาร์ทโฟนให้เราเลือกใช้มากมายอย่างทุกวันนี้จริงไหมครับ
?
แต่ถ้าผมจะบอกว่า
Apple ไม่ได้เป้นบบริษัทที่ดีเลิศอะไรขนาดนั้นล่ะ
เพื่อน
ๆ
จะเชื่อผมหรือเปล่า
ถ้าผมบอกว่า
Apple คือบริษัทที่หน้าเลือด
หิวเงินที่สุดบริษัทหนึ่งในโลกล่ะ
ทุกคนจะถล่มผมหรือเปล่า
ก่อนที่เพื่อน
ๆ
จะหยิบคีย์บอร์ดขึ้นมาทุบผมนั้น
ลองมาฟังเหตุผลและหลักฐานของผมก่อนนะครับ
หลังจากนั้นถ้ายังอยากทุบผมอยู่
ก็จัดการได้เลยตามสบายครับ
555
ก่อนที่เราจะดูปิศาจร้ายที่มีชื่อว่า
Apple นั้น
ผมอยากเล่าภูมิหลังของผมก่อนสักหน่อย
ปัจจุบันนี้
คนอื่นมักจะเรียกผมว่าลูก
Steve Jobs ครับ
555
เพราะว่าทั้งตัวผมนั้นใช้ของ
Apple หมดเลย
ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ค
ไอโฟน
ไอแพด
(ไม่ได้จะมาอวดนะครับ
เพราะทั้งหมดนั้นมือสองราคาถูกหมดเลย
55)
เอ้าแล้วไหนบอกว่าจะมาถล่มแอปเปิลไง
ไหงใช้ของเค้าทั้งตัวแบบนั้นล่ะ
นี่แหละครับ
เหตุผล
ถ้าใครสักคนที่จะด่าแอปเปิลได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
มันก็ต้องออกมาจากปากคนใช้เองสิจริงไหม
เหตุผลที่ผมยังหนีจากแอปเปิลไม่ได้
คือคำที่ฝรั่งเค้าชอบพูดกันครับ
นั่นคือ
ECOSYSTEM นั่นเอง
แปลเป็นภาษาไทยตรง
ๆ
คือระบบนิเวศนั่นเอง
คนที่ใช้ผลิตภัณฑ์แอปเปิลหลาย
ๆ
อย่างพร้อมกันจะรู้ดีครับ
ว่าชีวิตเรามันสะดวกสบายขึ้นขนาดไหน
จนเราแทบไม่อยากกลับไปใช้ของยี่ห้ออื่นเลยนอกจากแอปเปิล
แต่ถึงของเค้าจะดี
ก็ไม่ได้หมายความว่าเบื้องหลังบริษัทเค้ามันจะดีตามไปด้วยนะครับ
และนี่คือประเด็นสำคัญที่ผมจะบอกเพื่อน
ๆ
ว่าทำให้แอปเปิลถึงเป็น
Evil Corporation ครับ
1. นโยบายการกีดกันลูกค้าไม่ให้ซ่อมเครื่องเอง*
2. การตั้งใจทำให้อุปกรณ์ของเรากากลง เพื่อบังคับให้เราซื้อเครื่องใหม่
3. การกีดกั้นบริษัทคู่แข่งและการผูกขาดตลาด*
มาเริ่มกันที่ข้อแรก แอปเปิลกีดกันลูกค้าตัวเองไม่ให้ซ่อมอย่างไร
อันนี้เป็นประสบการณ์ตรงของตัวผมเองเลย ตอนผมไปเมกา แมคบุ๊คของผมลำโพงเสีย ผมเลยเอาไปเข้าศูนย์ รู้ไหมครับว่าค่าเปลี่ยนลำโพงโง่ ๆ ข้างเดียวที่มันแตกคือเท่าไร 120 เหรียญ หรือ 3600 บาทครับ!! โดยแบ่งเป็นค่าลำโพงพันนึง และที่เหลือคือค่าแรง มันแพงเวอร์มาก แต่ตอนนั้นผมก็ยอม ๆ ทำไปเพราะในเมกาไม่เหมือนในไทย คือธุรกิจร้านตู้ที่นั่นมีน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลยครับ เพราะแอปเปิลไม่ยอมขายพวกชิ้นส่วนให้ร้านเหล่านี้ พวกธุกิจร้านซ่อมจะต้องหาชิ้นส่วนจากเครื่องอื่น ๆ มาแทน หรือไม่ก็นำเข้าจากจีน วันดีคืนดีก็ถูกแอปเปิลไปยึดของถึงด่านศุลกากรเลยครับ ไม่ให้เอาเข้ามาซ่อมได้
คือถ้าโทรศัพท์คุณจอแตก หรือคอมคุณเปิดไม่ติด ทางเดียวของคุณคือแบกเข้าแอปเปิลสโตร์ แล้วก็โดนโขกค่าซ่อมแพง ๆ
แพงจนบางทีซื้อเครื่องใหม่ยังคุ้มกว่าครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝรั่งเค้าบ่นกันมานานมากกกกกกกก ถือว่าคนไทยโชคดีครับที่ยังหาร้านซ่อมข้างนอกถูก ๆ แทนได้
เหตุผลอันแรกนั้นเป็นเรื่องของการที่อุปกรณ์ของเรามันพังเอง แต่อันนี้คือน่ากลัวกว่าครับ นั่นคือแอปเปิลแอบทำให้มันกากลง! โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรมัน
ถ้าเพื่อน ๆ ติดตามข่าวมาบ้างก็พอจะจำข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ ที่มีฝรั่งคนหนึ่งเค้าทดสอบไอโฟนรุ่นเก่าของเขาด้วยโปรแกรมเบนช์มาร์ค แล้วพบว่าคะแนนมันต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก
พอสืบไปสืบมา สาเหตุเป็นเพราะว่า Apple ตั้งใจเขียนซอฟต์แวร์ให้ down speed CPU ของไอโฟนเครื่องที่แบตเริ่มเสื่อมลง เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องมันดับเองจากการกินไฟมากเกินไป
แต่เสียงของสำนักข่าวหลายที่ ๆ รวมถึงผู้ใช้เองก็ลงเป้นเสียงเดียวกันว่านี่มันเป็นแผนการทำให้เครื่องเราช้าลงเพื่อบังคับให้ซื้อใหม่นี่หว่า!
คือถ้าตาสีตาสาธรรมดาทั่วไปเห็นว่าเครื่องตัวเองช้าจนแทบ้ไม่ได้ก็คงจะตัดสินใจซื้อใหม่ไป โดยที่เค้าไม่รู้เลยว่าเครื่องเค้ามันปกติดีทุกอย่าง แค่เปลี่ยนแบตใหม่ปัญหาก็หายไปแล้ว
ปัญหาต่อมาที่อาจจะไกลตัวเราไปสักหน่อย แต่ผมเชื่อว่ามันสำคัญมาก ๆ พอ ๆ กับปัญหาข้างบนเลย ก็คือการกีดกันทางการค้าครับ
เพื่อน ๆ คงจะทราบดีว่าเราไม่สามารถติดตั้งแอปจากภภายนอกลงไอโฟนของเราได้ แอปเปิลบังคับให้เราลงแอปผ่าน Apple Store เท่านั้น
ซึ่งจะนับเป็นข้อดีก็ได้ เพราะโอกาสที่เราจะเผลอไปลงแอปอันตราย หรือทำเครื่องติดไวรัสก็จะน้อยลง สบายใจมากขึ้น
แต่ปัญหาคือการคิดค่าบริการของแอปเปิลครับ โดยแอปต่าง ๆ ที่มีเมนูให้เราซื้อของภายในแอปหรือเกม ที่เรียกว่า In-App Purchases นั้น
เจ้าของแอปจะต้องจ่ายเงิน 30% ที่ได้ให้กับแอปเปิลครับ ซึ่งมันเป็นเงินที่เยอะมาก ๆๆๆๆ สำหรับผู้ผลิตแอปเพื่อแลกกับความสะดวกในการจ่ายเงินของผู้ใช้
นี่เป็นเหตุผลครับที่ Netflix และ Spotify ไม่มีเมนูจ่ายเงินในแอป แต่เราต้องลำบากออกไปจ่ายเงินในเว็บของเค้าแทน
ในขณะที่แอปของแอปเปิลเองไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ แถมยังส่งโฆษณาทางการแจ้งเตือนให้เราเข้าไปทดลองใช้อีกต่างหาก ซึ่งแอปอื่น ๆ ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นเลยครับ
ตัวอย่างเช่น Apple Music นั่นเอง ที่ช่วงหนึ่งโปรโมทหนักมากกกจนน่ารำคาญเลยล่ะ
อันนี้เราอาจจะมองว่าไกลตัว แต่ในอเมริกาเค้าตื่นตัวกับเรื่องการผูกขาดของแอปเปิลมาก ถึงขนาดที่สว.บางคนกำลังผลักดันกฎหมายให้แยก Apple ออกเป็นบริษัทย่อย ๆ
เพื่อป้องกันการผูกขาด และเปิดโอกาสให้คนอื่นได้แข่งขันได้บ้างนั่นเองครับ
เอาล่ะพูดมายืดยาวขนาดนี้ ผมไม่ได้ห้ามให้เพื่อน ๆ เลิกใช้แอปเปิล หรือแบนแอปเปิลนะครับ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าของเค้าดีจริง แล้วเราพอใจที่จะจ่าย ก็เลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองไปเถอะครับ
แต่จุดประสงค์ที่ผมมาพูดเรื่องนี้คือ อยากให้บางคนเลิกทำตัวเป็นแฟนบอยของยี่ห้อใด้ยี่ห้อหนึ่งได้แล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิล ซัมซุม หรือแม้แต่หัวเหว่ย
ทั้งหมดมันเป็น “ธุรกิจ” ครับ เป้าหมายของเค้าคือการทำยังไงก็ได้ให้บริษัทโตขึ้นเรื่อย ๆ กำไรเยอะขึ้นเรื่อย ๆ หุ้นโตขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้นักลงทุนยังคงลงทุนในบริษัทพวกเค้าต่อไป
ถ้าไม่มีเงินจากนักลงทุน บริษัทพวกนี้ก็ตายครับ เค้าอาจจะสนใจพวกเราบ้าง แต่เชื่อผมเถอะ เค้าไม่ได้สนใจพวกเราเท่ากับนักลงทุนหรอก
เพราะฉะนั้นเลิกด่ากัน เลิกชี้หน้า เลิกเหยียดกันได้แล้วครับว่าใครใช้โทรศัพท์ยี่ห้ออะไร
ถ้ามันแย่ก็บอกแย่ ถ้ามันดีก็บอกดี ไม่ต้องเอามาคิดส่วนตัว เอาต้องเอาอารมณ์เข้ามาร่วมด้วย
ของพวกนี้มันก็แค่เครื่องมือเท่านั้นแหละ
ใช้ชีวิตให้มีความสุขครับ
ทำไมแอปเปิลถึงเป็นบริษัทที่ผมเกลียด แต่ก็ยังหนีไม่พ้น
หรือแม้แต่บางคนกำลังอ่านโพสต์นี้ผ่านไอโฟนอยู่ด้วยซ้ำ
และหลาย ๆ คนก็คงจะติดภาพว่า Apple เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเป็นผู้นำในเรื่องของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน
ถ้าไม่มี iPhone เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ก็คงไม่มีสมาร์ทโฟนให้เราเลือกใช้มากมายอย่างทุกวันนี้จริงไหมครับ?
แต่ถ้าผมจะบอกว่า Apple ไม่ได้เป้นบบริษัทที่ดีเลิศอะไรขนาดนั้นล่ะ เพื่อน ๆ จะเชื่อผมหรือเปล่า
ถ้าผมบอกว่า Apple คือบริษัทที่หน้าเลือด หิวเงินที่สุดบริษัทหนึ่งในโลกล่ะ ทุกคนจะถล่มผมหรือเปล่า
ก่อนที่เพื่อน ๆ จะหยิบคีย์บอร์ดขึ้นมาทุบผมนั้น ลองมาฟังเหตุผลและหลักฐานของผมก่อนนะครับ
หลังจากนั้นถ้ายังอยากทุบผมอยู่ ก็จัดการได้เลยตามสบายครับ 555
ก่อนที่เราจะดูปิศาจร้ายที่มีชื่อว่า Apple นั้น ผมอยากเล่าภูมิหลังของผมก่อนสักหน่อย
ปัจจุบันนี้ คนอื่นมักจะเรียกผมว่าลูก Steve Jobs ครับ 555
เพราะว่าทั้งตัวผมนั้นใช้ของ Apple หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ค ไอโฟน ไอแพด
(ไม่ได้จะมาอวดนะครับ เพราะทั้งหมดนั้นมือสองราคาถูกหมดเลย 55)
เอ้าแล้วไหนบอกว่าจะมาถล่มแอปเปิลไง ไหงใช้ของเค้าทั้งตัวแบบนั้นล่ะ
นี่แหละครับ เหตุผล ถ้าใครสักคนที่จะด่าแอปเปิลได้อย่างเต็มปากเต็มคำ มันก็ต้องออกมาจากปากคนใช้เองสิจริงไหม
เหตุผลที่ผมยังหนีจากแอปเปิลไม่ได้ คือคำที่ฝรั่งเค้าชอบพูดกันครับ นั่นคือ ECOSYSTEM นั่นเอง
แปลเป็นภาษาไทยตรง ๆ คือระบบนิเวศนั่นเอง คนที่ใช้ผลิตภัณฑ์แอปเปิลหลาย ๆ อย่างพร้อมกันจะรู้ดีครับ
ว่าชีวิตเรามันสะดวกสบายขึ้นขนาดไหน จนเราแทบไม่อยากกลับไปใช้ของยี่ห้ออื่นเลยนอกจากแอปเปิล
แต่ถึงของเค้าจะดี ก็ไม่ได้หมายความว่าเบื้องหลังบริษัทเค้ามันจะดีตามไปด้วยนะครับ
และนี่คือประเด็นสำคัญที่ผมจะบอกเพื่อน ๆ ว่าทำให้แอปเปิลถึงเป็น Evil Corporation ครับ
1. นโยบายการกีดกันลูกค้าไม่ให้ซ่อมเครื่องเอง*
2. การตั้งใจทำให้อุปกรณ์ของเรากากลง เพื่อบังคับให้เราซื้อเครื่องใหม่
3. การกีดกั้นบริษัทคู่แข่งและการผูกขาดตลาด*
มาเริ่มกันที่ข้อแรก แอปเปิลกีดกันลูกค้าตัวเองไม่ให้ซ่อมอย่างไร
อันนี้เป็นประสบการณ์ตรงของตัวผมเองเลย ตอนผมไปเมกา แมคบุ๊คของผมลำโพงเสีย ผมเลยเอาไปเข้าศูนย์ รู้ไหมครับว่าค่าเปลี่ยนลำโพงโง่ ๆ ข้างเดียวที่มันแตกคือเท่าไร 120 เหรียญ หรือ 3600 บาทครับ!! โดยแบ่งเป็นค่าลำโพงพันนึง และที่เหลือคือค่าแรง มันแพงเวอร์มาก แต่ตอนนั้นผมก็ยอม ๆ ทำไปเพราะในเมกาไม่เหมือนในไทย คือธุรกิจร้านตู้ที่นั่นมีน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลยครับ เพราะแอปเปิลไม่ยอมขายพวกชิ้นส่วนให้ร้านเหล่านี้ พวกธุกิจร้านซ่อมจะต้องหาชิ้นส่วนจากเครื่องอื่น ๆ มาแทน หรือไม่ก็นำเข้าจากจีน วันดีคืนดีก็ถูกแอปเปิลไปยึดของถึงด่านศุลกากรเลยครับ ไม่ให้เอาเข้ามาซ่อมได้
คือถ้าโทรศัพท์คุณจอแตก หรือคอมคุณเปิดไม่ติด ทางเดียวของคุณคือแบกเข้าแอปเปิลสโตร์ แล้วก็โดนโขกค่าซ่อมแพง ๆ
แพงจนบางทีซื้อเครื่องใหม่ยังคุ้มกว่าครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝรั่งเค้าบ่นกันมานานมากกกกกกกก ถือว่าคนไทยโชคดีครับที่ยังหาร้านซ่อมข้างนอกถูก ๆ แทนได้
เหตุผลอันแรกนั้นเป็นเรื่องของการที่อุปกรณ์ของเรามันพังเอง แต่อันนี้คือน่ากลัวกว่าครับ นั่นคือแอปเปิลแอบทำให้มันกากลง! โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรมัน
ถ้าเพื่อน ๆ ติดตามข่าวมาบ้างก็พอจะจำข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ ที่มีฝรั่งคนหนึ่งเค้าทดสอบไอโฟนรุ่นเก่าของเขาด้วยโปรแกรมเบนช์มาร์ค แล้วพบว่าคะแนนมันต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก
พอสืบไปสืบมา สาเหตุเป็นเพราะว่า Apple ตั้งใจเขียนซอฟต์แวร์ให้ down speed CPU ของไอโฟนเครื่องที่แบตเริ่มเสื่อมลง เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องมันดับเองจากการกินไฟมากเกินไป
แต่เสียงของสำนักข่าวหลายที่ ๆ รวมถึงผู้ใช้เองก็ลงเป้นเสียงเดียวกันว่านี่มันเป็นแผนการทำให้เครื่องเราช้าลงเพื่อบังคับให้ซื้อใหม่นี่หว่า!
คือถ้าตาสีตาสาธรรมดาทั่วไปเห็นว่าเครื่องตัวเองช้าจนแทบ้ไม่ได้ก็คงจะตัดสินใจซื้อใหม่ไป โดยที่เค้าไม่รู้เลยว่าเครื่องเค้ามันปกติดีทุกอย่าง แค่เปลี่ยนแบตใหม่ปัญหาก็หายไปแล้ว
ปัญหาต่อมาที่อาจจะไกลตัวเราไปสักหน่อย แต่ผมเชื่อว่ามันสำคัญมาก ๆ พอ ๆ กับปัญหาข้างบนเลย ก็คือการกีดกันทางการค้าครับ
เพื่อน ๆ คงจะทราบดีว่าเราไม่สามารถติดตั้งแอปจากภภายนอกลงไอโฟนของเราได้ แอปเปิลบังคับให้เราลงแอปผ่าน Apple Store เท่านั้น
ซึ่งจะนับเป็นข้อดีก็ได้ เพราะโอกาสที่เราจะเผลอไปลงแอปอันตราย หรือทำเครื่องติดไวรัสก็จะน้อยลง สบายใจมากขึ้น
แต่ปัญหาคือการคิดค่าบริการของแอปเปิลครับ โดยแอปต่าง ๆ ที่มีเมนูให้เราซื้อของภายในแอปหรือเกม ที่เรียกว่า In-App Purchases นั้น
เจ้าของแอปจะต้องจ่ายเงิน 30% ที่ได้ให้กับแอปเปิลครับ ซึ่งมันเป็นเงินที่เยอะมาก ๆๆๆๆ สำหรับผู้ผลิตแอปเพื่อแลกกับความสะดวกในการจ่ายเงินของผู้ใช้
นี่เป็นเหตุผลครับที่ Netflix และ Spotify ไม่มีเมนูจ่ายเงินในแอป แต่เราต้องลำบากออกไปจ่ายเงินในเว็บของเค้าแทน
ในขณะที่แอปของแอปเปิลเองไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ แถมยังส่งโฆษณาทางการแจ้งเตือนให้เราเข้าไปทดลองใช้อีกต่างหาก ซึ่งแอปอื่น ๆ ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นเลยครับ
ตัวอย่างเช่น Apple Music นั่นเอง ที่ช่วงหนึ่งโปรโมทหนักมากกกจนน่ารำคาญเลยล่ะ
อันนี้เราอาจจะมองว่าไกลตัว แต่ในอเมริกาเค้าตื่นตัวกับเรื่องการผูกขาดของแอปเปิลมาก ถึงขนาดที่สว.บางคนกำลังผลักดันกฎหมายให้แยก Apple ออกเป็นบริษัทย่อย ๆ
เพื่อป้องกันการผูกขาด และเปิดโอกาสให้คนอื่นได้แข่งขันได้บ้างนั่นเองครับ
เอาล่ะพูดมายืดยาวขนาดนี้ ผมไม่ได้ห้ามให้เพื่อน ๆ เลิกใช้แอปเปิล หรือแบนแอปเปิลนะครับ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าของเค้าดีจริง แล้วเราพอใจที่จะจ่าย ก็เลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองไปเถอะครับ
แต่จุดประสงค์ที่ผมมาพูดเรื่องนี้คือ อยากให้บางคนเลิกทำตัวเป็นแฟนบอยของยี่ห้อใด้ยี่ห้อหนึ่งได้แล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิล ซัมซุม หรือแม้แต่หัวเหว่ย
ทั้งหมดมันเป็น “ธุรกิจ” ครับ เป้าหมายของเค้าคือการทำยังไงก็ได้ให้บริษัทโตขึ้นเรื่อย ๆ กำไรเยอะขึ้นเรื่อย ๆ หุ้นโตขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้นักลงทุนยังคงลงทุนในบริษัทพวกเค้าต่อไป
ถ้าไม่มีเงินจากนักลงทุน บริษัทพวกนี้ก็ตายครับ เค้าอาจจะสนใจพวกเราบ้าง แต่เชื่อผมเถอะ เค้าไม่ได้สนใจพวกเราเท่ากับนักลงทุนหรอก
เพราะฉะนั้นเลิกด่ากัน เลิกชี้หน้า เลิกเหยียดกันได้แล้วครับว่าใครใช้โทรศัพท์ยี่ห้ออะไร
ถ้ามันแย่ก็บอกแย่ ถ้ามันดีก็บอกดี ไม่ต้องเอามาคิดส่วนตัว เอาต้องเอาอารมณ์เข้ามาร่วมด้วย
ของพวกนี้มันก็แค่เครื่องมือเท่านั้นแหละ
ใช้ชีวิตให้มีความสุขครับ