เพียงเป็นรำไร ตอนที่ 1



          'ซ่า~~!' เย็นวันนี้มีฝนตกฟ้าคะนอง ท้องฟ้ามีเมฆสีเทาลอยบังดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ลมในเวลานั้นก็พัดกรรโชกแรง
          
          'จุ๋ม จุ๋ม จุ๋ม' หญิงสาวออฟฟิศวิ่งก้มหน้าก้มตาเล็กน้อย เธอผ่าฝนไปเรื่อยๆ จนถึงอพาร์ทเมนต์ขนาดใหญ่ เธอหอบแตกพลักยืนอยู่ที่กันสาดหน้าประตูของตัวอาคาร ตัวก็ชุ่มไปด้วยเม็ดฝน ก่อนที่หญิงสาวออฟฟิศคนนั้น ค่อย ๆ เงยมองท้องฟ้าอย่างเย็นเฉียบ



          "สวัสดีค่ะ" ฉันได้รับได้โทรศัพท์จากบุคคลนิรนาม ขณะฉันนั่งทำงานหน้าคอมแสงจ้าผ่าว
          "..."
          "สวัสดีค่ะ ใครเหรอคะ?" ฉันทักบุคคลนิรนามอีกครั้ง ต้นสายเงียบไปหมด
          "สวัสดีครับ คุณสารวี"
          "สวัสดีค่ะ ผมดนัยนะครับ"
          "อ...อ๋อคุณดนัยที่เป็นเจ้าหนี้หรือเปล่าคะ?" ฉันตกใจเล็กน้อย เจ้าหนี้ที่บ้านต่างจังหวัดโทรมาหาฉัน น้ำเสียงดูเข้มแบบมีอะไรสักอย่าง
          "ใช่ครับ"
          "วันนี้มีอะไรเหรอ แม่ฉันไปกู้ยืมพี่ใช่ไหมคะ?" ฉันเอียงคอเล็กน้อย พร้อมสีหน้าสงสัย
          "ครับ แม่คุณกู้ผมมาสองหมื่นกว่าบาท ผมเลยให้ข้อตกลงกับแม่คุณว่า ผมจะให้ทยอยส่งให้ผมเดือนละอย่างต่ำ 2,000 บาท โดยดอกเบี้ยคิดเป็นร้อยละ 10 ครับ"
          "แค่นั้นเหรอคะ? แล้วแม่ฉันให้ฉันเป็นคนส่งแทนใช่ไหม?"
          "ครับ แต่คงไม่ขนาดนั้น เพราะแม่ของคุณทยอยส่งให้ผมได้ 6 งวดแล้ว แต่ข้อตกลงของผมตอนแรกไม่มีคุณครับ หลัง ๆ มา เห็นแม่คุณบ่นว่าไม่มีเงินให้แล้ว แม่ของคุณก็บอกให้ลูกสาวตัวเองเป็นคนใช้หนี้ก่อน"
          "ค่ะ ก็แปลว่าที่พี่โทรหาฉันได้ แม่ฉันก็เอาเบอร์ฉันไปให้พี่สินะคะ" หลังจบคำสนทนาสักครู่ ฉันก็ถอนหายใจ
          "ครับ"
          "แล้วคุณสารวีส่งต้นกับดอกให้ผมเดือนไหน"
          "ก็น่าจะเดือนหน้านะคะ เพราะเงินฉันยังไม่ออกค่ะ"
          "ครับ เดือนหน้านะครับ"
          "ค่ะ เดือนหน้า น่าจะหลังวันเงินเดือนออกสัก 2 วันนะคะ แล้วฉันก็จะโอนเงินเข้าบัญชีให้พี่เลย"
          "ครับ ถ้าคุณเข้าใจ ผมขอตัวลาก่อนนะครับ"
          "ค่ะ ขอบคุณค่ะ" จากนั้นฉันก็กดวางสายเจ้าหนี้ แล้วทำงานที่ฉันคั่งค้างต่อไป

          "ไปไหนคะ?" เสียงคำถามของใครสักคน แผ่วเบาดั่งคนกระซิบข้าง ๆ หู
          "ฉันหวังว่า...คุณจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ" ฉันงงงวยกับเสียงพูดที่เกิดขึ้น จากที่ฉันหลับตาสีดำสนิท กลายเป็นว่าลืมตาขึ้น โดยให้เห็นภายนอกชัดเจน
          "อ้ะ! ที่นี่ที่ไหน?" ฉันตกตะลึง เลยเปิดปากแบบพะงักพะงัน 'ข้างนอก มันดู...ไม่มีอะไรเลย...'
       
ที่นี่ดูกว้างใหญ่ไพศาล สิ่งที่ควรมองเห็นกลับกลายเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า แม้กระทั้งพื้น หรือก้อนเมฆ ไม่มีสักเเอะ มันเป็นสีขาวหม่น ไร้สี วังเวง และฉันแลเห็นฝุ่นสีดำหยาบหลายจุด จนเรียกเป็นเกาะละอองก็ว่าได้ มันลอยลงดิ่งย้อนกลับแตกต่างกันสิ้นเชิง
       
          "เสียงนั่นล่ะ ใครคือคนที่พูดกับฉัน?"
          "ใครกัน? หรือคน ๆ นั้นไร้ตัวตน?"
       
ฉันเริ่มจุดประกายคำถามในหัวสมอง แต่แค่คำถามเดียวเนี่ยนะ? มันทั้งวังเวง ทั้งรู้สึกไม่ดี หยาบกระด้าง มันไม่แตกต่างกับความเลวร้ายเลยสักนิด แถมยัง...บ้าคลั่งซะด้วย

      10:22 น.
       
ตึกขนาดใหญ่ในตัวเมือง ฉันกำลังจัดเก็บเอกสารของบริษัทด้วยความใจเย็น เวลา 10 โมง บางคนคงทำงานอยู่แล้ว ตัดภาพมาทีตัวเอง ซึ่งกำลังจัดเก็บเอกสารอยู่เสีย วันนี้บอสก็ดูอารมณ์เบ้ตลอดตั้งแต่ช่วงเช้า 'เฮ้อ วันนี้วันซวยหรือไงวะ' ฉันบ่นพึมพำชั่วครู่
          
           "นี่ ที่ห้างมีส่วนลดราคาเสื้อด้วยนะ" เพื่อนที่ทำงานเดินเตร่ถือเอกสารมาอย่างว่องไว เพื่อมาพูดคุยเรื่องสวย ๆ งาม ๆ กับฉัน
          "ห้ะ!" ฉันหันหลังกลับ
          "ก็ที่ห้างมีส่วนลดราคาเสื้อผ้าตั้ง 40% แหนะ"
          "จ...จริงดิ"
          "ร้านไหนวะ อีนี่รีบบอกเลยนะ" ฉันตาประกายวาวเพียงครู่ เสื้อผ้าที่อพาร์ทเมนต์ที่ฉันเช่าอยู่ก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก
          "ร้านที่เราเดินผ่านกันตอนเย็นเมื่อวานไง" เธอพูดทำให้ฉันจำความได้ละมั้ง
          "ร้านหรู ๆ หรือเปล่า?"
          "เออ ร้านั้นแหละ" เธอยิ้มให้ฉันแห้ง ก่อนหลับตาชั่วครู่ เหมือนเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง
          "ปิ่น ขอถามหน่อยดิ"
          "ถามอะไรล่ะ?"
          "วิ...มีเรื่องมาปิดบังพวกเราหรือเปล่า? บอกกูได้นะ" ฉันแอบชะงัก เธอถามคล้ายกับคนรู้ว่า ฉันมีเรื่องที่ไม่ดีปิดบังอยู่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนักหรอก
          "ห้ะ เรื่องอะไร กูไม่มีเรื่องอะไรนิ?" ฉันจึงแกล้งปฏิเสธเธอทันที
          "เห้อ...ไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้วล่ะ ถ้างั้นตอนเย็น ไปห้างกับกูด้วย พอดีไปดูเสื้อสักสิบยี่สิบนาทีน่ะ"

เธอกล่าวเป็นห่วงค่อนข้างแสดงออก แล้วเธอหมุนตัวหันหลังเดินออกข้างนอกโต๊ะทำงานของฉัน ฉันแปลกใจนิดหน่อย เมื่อเธอรู้ว่าฉันไม่เรื่องที่ยังไม่ได้บอกใคร

        11:14 น.

ฉันกำลังนั่งทำงานชิลล์ไม่มีทีท่าจะรีบร้อนหรือคร่ำครวญ ก็เพราะฉันนั่งทำงานตากเครื่องปรับอากาศในบริษัท
       
          "สวัสดีค่ะ บอส..."
          "สวัสดีเช่นเดียวกันครับ คุณสารวี" คนใหญ่คนโตของบริษัท หรือรู้ ๆ จักกันว่าคือ 'หัวหน้า' มาทักทายฉันหน้าระรื่นไกลจากฉัน 2-3 เมตร ส่วนฉันนั่งพิมพ์งานโปรแกรม Exel นิ้วกดแป้นพิมพ์ดั่งคนเต้นระบำ
          "วันนี้คุณทำงานหนักเลยนะครับ" จากที่ฉันทำงาน กลายเป็นเงยหน้าควับมองบอสทันทีเมื่อได้ยินบอสพูด งั้นความรู้สึกจุกจี๊ดมันปรี๊ดเล็กน้อยขึ้นหัวใจ
          "คุณสารวีครับ เป็นอะไรหรือครับ?"
          "คะ? ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ" ฉันเหม่อลอยชั่วครู่
          "ผมเห็นคุณมองหน้าผมอยู่นานน่ะครับ"
          "อ่อค่ะ พอดีว่าฉันกังวลเรื่องที่บ้านนิดหน่อยน่ะค่ะ ก็เลยบางเวลามันเหม่อย ๆ มึน ๆ ไปบ้าง"
          "แต่ดิฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วง..." บอสคนที่ยืนไกลจากฉันประมาณเกือบสิบก้าวย่องมาเนือย ๆ เสียงของรองเท้าหนังราคาแพงเตาะแตะบนพื้นกระเบื้องเบาจนเหมือนไม่มีคนเดิน
          "ครับ...แต่ผมได้ยินว่าคุณเครียดอยู่หนิ"
          "มีค่ะ ส่วนใหญก็เรื่องงานกับเรื่องบ้าน พอดิฉันกลับบ้านไปก็เพลียมาก เวลานอนจริงมีเวลาไม่ถึง 7 ชั่วโมงเลยค่ะ"
          "ก็ยังงี้แหละครับ ชีวิตคนออฟฟิศคุณต้องให้กำลังใจตัวเองบ่อย ๆ ถึงจะไม่ท้อน่ะครับ"
          "แต่ว่าคุณก็ทุ่มเวลาให้กับงานจริง ๆ นะครับ" ฉันขำกระปริบกระปรอย
          "ฮ่า ๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ กลับบ้านไปฉันก็กินข้าวดูทีวี จากนั้นก็ทำงาน พอทำงานสักสองชั่วโมง ฉันก็เก็บงานแล้วก็อาบน้ำนอนค่ะ ถ้าดึกหน่อยก็ซื้ออะไรมาทานเล่น"
          "ระวังอ้วนนะครับ คุณสารวี" บอสขำอ่อนใส่ ก่อนฉันแอบคิ้วขมวดขยี้คำสงสัย
          "เอ่อ...คุณสารวี คุณไหวกับงานหรือเปล่าครับ?" บอสถามฉันท่ามกลางพนักงานออฟิศคนอื่น
          "ไหวค่ะ งานแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้มากหรอกค่ะ"
          "งั้น แค่นี้ครับ ผมไปดูพนักงานคนอื่นต่อแล้วไปตรวจงานอีก"
          "ค่ะ บอส"

บอสยิ้มให้ก่อนจากไปดูพนักงานเพิ่มเติม อีกอย่างบอสอดิสรท่าทางอมรมณ์ดีเป็นพิเศษ ปกติเยี่ยมพนักงานแล้วมาถาม จะไม่มาคุยกันยาวขนาดนี้ ทำไมกันนะ?
         
         ".. บอสเขาคุยอะไรกับวะ"
เพื่อนร่วมงาน 'ฝ้าย' ถามไร้สิ่งลังเล 'นิ่ม' ก็เดินค่อยเป็นค่อยไปกับฝ้าย หลังฉันเล่นบทสนทนากับบอส เธอทั้งสองสีหน้าระรื่น
         "ไม่ได้คุยอะไรมากละ"
         "อ้าว! ยายบ้าตอบตรงคำถามหน่อยสิคะ?!"
ฉันลืมไป นางก็พูดจริงนิหน่า
        "เรื่องส่วนตัวอ่ะ"
        "เรื่องไร สำคัญไหม" ฝ้ายถาม
        "ไม่ค่อยสำคัญ เขาเห็นฉันเครียดละมั้ง มันก็ทั้งเรื่องบ้าน"
        "งั้นสิ..."
        "อืม แล้วก็เรื่องงานที่นี่เขาถามทำนองว่าไหวไหม ทำได้หรือเปล่า ก็ห่วงแบบลูกพี่ลูกน้อง"
เพื่อนร่วมงานของฉันทำท่าทะเล้น ยิ้มแก้มปริ่มเล็กน้อย และเอียงคอไปข้างขวาช้า ๆ
        "ใช่ป่าว คงไม่ใช่เขาชอบเธอนะ หนุ่ม ๆ ซะด้วย"
        "เขาคงไม่ได้ชอบฉันสักนิด เขาอาจมีภรรยาแล้วก็ได้" ฉันตอบกลับทันที
        "รู้ดีนะเนี่ย~~" ฝ้ายยิ้มกริ่ม
        "รู้ดี? บ้าป้ะ ไม่กี่วันก่อน ฉันเห็นเขามาบริษัทพร้อมกับผู้หญิงข้าง ๆ อ่ะ ก็คงมาแนะนำตัวที่นี่ เธอไม่เห็นจริงดิ!?" ฉันเงยหน้าเปิดปากคิดไม่ค่อยสู้ดี ฝ้ายยืนฟังฉันทำกอดอกเหมือนกำลังตั้งใจถามฉันหรืออาจฟังฉัน นิ่มกระพริบตายืนเป็นหุ่นสตาฟ ถ้าให้เดา ทั้งคู่น่าจะฟังฉันพูดแต่ละคำพร้อมกัน
        "สวยมั้ย?"
        "ไม่รู้ กูมองทีไร ผู้หญิงคนนั้นหันหลังให้ ตอนนั้นกูกำลังไปแถวห้องประชาสัมพันธ์ ไปเดินเรื่องเอกสารนั่นแหละ ไม่รู้ว่าหน้าตาดีสักไหร่"
        "กูก็เหมือนกัน  เมื่อวานฉันเห็นนางมาส่งบอส เห็นแค่แวบเดียวเท่านั้น รู้สึกว่าหน้านางไม่ได้แย่"

เพื่อนอีกคน 'นิ่ม' ที่ยืนกับฝ้ายถอนหายใจพลาง และพูดขึ้น
        "ฝ้าย เรามีงานทำไม่ใช่เหรอ? หยุดเมาท์ได้แล้ว ต่างคนต่างมีงานนะว้อย" ฝ้ายมองบนที่โต๊ะทำงานของฉัน ฝ้ายหันหลังควับมองนิ่มสักพัก 'แป๊บนึงสิ" จากนั้นฝ้ายหันควับกลับมาหาฉัน
        "งั้น แค่นี้นะ อย่าลืมไปกินข้าวกันด้วยนะ"
        "จ้ะ อีเพื่อน ไม่ลืมหรอก"

       12:17

        "โอ้ย วันนี้ไปกินอะไรดีวะ" ฉันตึงเครียดกระวนกระวายเดินเตาะแตะบนทางเท้าข้างถนน
        " ไปกินร้านอาหารตามสั่งแถวนี้ไหม" นิมเอ่ยพร้อมหยิบพัดมาโบกลมคลายร้อนจากกระเป๋าสะพายสีดำของเธอ
        "เออ ดีไหม?" ฝ้ายพูด
        "ร้านป้าสมาญนี่แหละ อยู่แถวนี้อ่ะ เห็นมีคนที่บริษัทเราบอกว่าอร่อย สะอาด ราคาก็ไม่แรง"
        "ดีนะ ร้านแถวไหน?" ฉันเหยาะคุยกับฝ้ายแป๊บ
        "เดินนิดเดียวเอง แถวหลังอพาร์ทเมนต์ ตรงซอยกาญจนา แล้วร้านเป็นร้านเปิดใหม่น่ะ รู้สึกบูมมาก ทั้งอร่อยดีอะไรดี ราคาถูกอีก แต่...เสียอย่างเดียวคือนิสัยแม่ค้าเป็นศัตรูกับลูกค้าที่มากินข้าวร้านแกที่นั่น"
        "ทำไมอ่ะ?" ฉันถามเธอตามประสา
        "ไม่ทำไม แม่ค้านิสัยแบบ พอลูกค้ามาสั่งอาหาร สั่งซ้ำ ๆ เดิม ๆ เขาก็โมโห แล้วพูดปฏิเสธทางอ้อมอ่ะนะ"
        "อ่อ"
        "ที่จริงเขานิสัยดีนะ เขาคือคนค่อนข้างมีน้ำใจ เวลาใครเดือดร้อนก็ช่วยเหลือ แล้วประมาณปิดทองหลังพระ เบื้องหน้า ใครที่ไม่รู้จักจริง ๆ อาจไม่ชอบไปเลยก็มี เสียอย่างเดียวเลยคือ เขาปากดี แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะนินทาคนอื่นตลอด"
        "เฮ่อ..จริงน้อคนเรา มันอยู่ที่มุมมองคนด้วยเนาะ" ฉันแซม
       
     2 นาทีผ่านไป...
      
        "ถึงแล้ว ร้านป้าสมาญ" นิ่มทักทุกคนเมื่อมาถึงร้านอาหารแล้ว
        "ใช่รึ" ฝ้ายถามทันที ขึ้นกับสีหน้างุนงงตามเสต็ป
        "ใช่สิ เมื่อเช้า กูขับรถผ่านร้านนี้"

       ฉันมองร้านอาหารตามสั่งของป้าสมาญ ตัวร้านมีสองชั้น เป็นคอนกรีตทั้งหมด โดยชั้นล่างเป็นร้านอาหารตามสั่ง ส่วนขยายมุงหลังคาเซรามิคที่เป็นชายคาบ้านลไร้ผนังคอนกรีตยื่นขยายค่อนข้างกว้าง เป็นส่วนพื้นที่โปร่ง ดูแล้วหายใจสะดวก รั้วไม้สีน้ำตาลวาวเจาะผนัง เคลือบสีย้อมไม้เป็นแผ่น ๆ ตอกตะปูติดกับแป๊บเหลี่ยมขนาดเล็กสองเส้น ยาวจนยึดติดเสาคอนกรีตทุกมุมของร้าน
       หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ติดตามความเหมาะสมของหลังคาที่ติด ส่วนพัดลมของร้าน ใช้พัดลมเพดานสีขาวติดห่างและเว้นกันเป็นแถวอย่างมีระเบียบ ป้ายไม้หน้าร้านเขียนว่า 'อาหารตามสั่ง ป้าสมาญ' แถมต้นไม้กระถางวางเรียงกันแนวยาวทางหน้ากระดานเล็กใหญ่ ใครเห็นร้านนี้ก็ต้องเย็นสบาย

         "ใช้ได้เลยนะเนี่ย" พวกเราเดินเข้าไปในร้าน แล้วเลือกนั่งโต๊ะใกล้ ๆ ทางเข้าเมื่อตะกี๊
         "ใช่สิ ร้านนี้นั่งไปไม่ร้อนเท่าร้านอื่นเลย"
         "แล้วพวกกินอะไรล่ะ"  

มือซ้ายของฝ้ายหยิบกระดาษจากตระกร้าเล็ก ๆ มันเป็นกระดาษมีเส้นแผ่นน้อย ส่วนมือขวาอีกข้างก็หยิบปากกาลูกลื่นสีน้ำเงินเข่นเดียวกัน ฉันหันหน้ามาทางฝ้าย
    
         "เอากะเพราหมูกรอบ 1"  
นิ่มตาม "ส่วนฉันก็...ผัดเผ็ดขี้เมา 1 จ้ะ"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่