แบกเป้ผจญไพร ไปสตูล 4 วัน 3 คืน

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเจ้าของแอคเคาท์นะคะที่ให้เรายืมพื้นที่ในการเขียนรีวิวนี้
.
.
.
เมื่อกล่าวถึงจังหวัดสตูล หลายคนก็คงจะนึกถึงหลีเป๊ะกันใช่ไหมคะ ? แต่จริงๆแล้ว สตูลเป็นจังหวัดเล็กๆทางภาคใต้ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมายอีกหลายแห่ง คำขวัญที่ว่า "สตูล สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์" ก็ดูไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

ทริปของเราเป็นทริปแอดแวนเจอร์ กึ่งชุมชนและธรรมชาติ เรียกได้ว่ามาเที่ยวที่สตูลครั้งเดียวก็ได้ครบทุกบรรยากาศกันเลยทีเดียว

วันที่1 หมู่บ้านโตนปาหนัน

เราเดินทางโดยรถทัวร์มาถึงจังหวัดสตูลตอนเช้าก็มีรถจากชุมชนบ้านโตนปาหนันมารอรับอยู่ทางเข้าหน้าหมู่บ้าน จากนั้นก็เข้าไปยังหมู่บ้านเพื่อเก็บสัมภาระและจัดการธุระส่วนตัว จากนั้นก็กินมื้อเช้าเป็นข้าวต้มไก่ ก่อนจะออกไปทำกิจกรรมต่อไป

การละเล่นลูกสะบ้า
ลูกสะบ้าเป็นพืชชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นลูกแบนๆ สีน้ำตาล กติกาการเล่นก็ดูเหมือนจะไม่ยากเท่าไร เพียงแค่ดีดลูกสะบ้าให้ไปชนตัวหมากของอีกทีมให้ล้ม ฝั่งใดล้มหมดก่อนก็จะแพ้ไปนั่นเอง กีฬานี้เป็นที่นิยมมากๆของชาวบ้านในท้องถิ่น และจะมีการแข่งขันในแต่ละปีด้วยค่ะ
โกปี้บ้านโตนปาหนัน

ที่นี่จะมีการทำกาแฟที่ไม่ใช่กาแฟแบบที่เราคิดไว้ค่ะ โดยการทำกาแฟหรือโกปี้ของที่นี่นั้น จะเอาเมล็ดกาแฟไปทำความสะอาด ตากแห้ง แล้วนำไปคั่วกับน้ำตาล จะได้ออกมาเป็นลักษณะแข็งๆ ก้อนๆ เหมือนกับลูกอม จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด ก็จะสามารถนำมาชงดื่มได้เลย 
รสชาติหวานหอม ดื่มง่ายแม้กระทั่งคนที่ไม่ชอบดื่มกาแฟ เนื่องจากจะมีรสชาติหวานของน้ำตาลและไม่ขมมากจนเกินไป ได้ดื่มตอนเช้าๆพร้อมกับรับประทานขนมกอเดาะที่ทำจากแป้ง รสชาติคล้ายขนมโป๊งเหน่ง ริมลำธารแบบนี้ เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีจริงๆค่ะ
จากนั้นพี่ๆในชุมชนก็สาธิตวิธีการทำหลามข้าวหรือข้าวที่นำไปหุงในกระบอกไม้ไผ่ โดยนำเอาข้าวสารมาใส่ในใบยี่เล็ดแล้วห่อให้สนิท ใบยี่เล็ดมีลักษณะเหนียวทำให้ขาดยาก นำข้าวที่ห่อแล้วใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นก็ใส่น้ำแล้วนำไปเผาไฟ เมื่อน้ำใรกระบอกเปลี่ยนสีเป็นสีเขียว ก็นำเอาออกมาอังไฟไว้เฉยๆ เพื่อให้ความร้อนยังคงอยู่ 
เมื่อแกะออกมาข้าวจะมีกลิ่นหอมมากและไม่แห้งร่วน เกาะกันเป็นก้อนคล้ายข้าวเหนียว สามารถพกติดตัวไปกินได้สะดวกมากๆค่ะ พี่ๆในชุมชนจะทำหลามข้าวกันเฉพาะตอนที่จะขึ้นไปบนเขาหรือเข้าป่า เพราะวิธีการหุงข้าวแบบนี้ไม่ยุ่งยาก และยังเก็บไว้ได้นานถึง 3 วัน โดยไม่บูด นับว่าเป็นภูมิปัญญาที่นำใบยี่เล็ดมาใช้อย่างน่าสนใจมาก
หลังจากนั้นก็รับประทานอาหารกลางวันกันที่หมู่บ้านค่ะ มีหัวปลีทอด หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่ากุ้งมังกร แกงไก่หยวกกล้วย และข้าวที่หุงในไม้ไผ่ ตอนแรกแอบกังวลว่าทานอะไรไม่เป็นเลย แต่พอได้ลองกินหัวปลีทอดแล้ว ติดใจมากกกก รสชาติอร่อย ยิ่งกินกับน้ำจิ้มแซ่บๆแล้วเหมือนกินกุ้งทอดจริงๆ สุดท้ายกินกันไปสองจานกว่าเลยค่ะ อร่อยจริงๆ

เดินป่า
ก่อนจะขึ้นเขาต้องวอร์มร่างกายก่อนนะคะ เหยียดขา เหยียดแขน หรือจะเต้นสักเพลงสองเพลงก็ไม่ว่ากันค่ะ และต้องฉีดน้ำยาผสมยาเส้นเพื่อป้องกันตัวทากด้วยนะคะ ใครมีถุงกันทากก็สามารถใส่ได้ หรือจะใส่ขายาวมิดชิดก็ป้องกันได้ในระดับนึงค่ะ 

ระยะทางช่วงแรกจะชัน แต่มีปูนเทไว้ทำให้ยังเดินได้ง่ายอยู่ ข้างทางก็จะเป็นสวนของชาวบ้าน มีเงาะ ทุเรียน และต้นจำปาดะที่คล้ายกับขนุนอบู่ค่อนข้างเยอะ
เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆเริ่มหมดแรง จึงพักกันที่น้ำตกล้างหน้าให้สดชื่นสักนิด

เดินทางกันต่อไปร่างกายเริ่มล้า กระเป๋าก็หนักมากแต่ต้องอดทนเดินต่อไป เป็นป่าเริ่มลึก ทางเดินชันและเดินยากมากขึ้น

เราแวะพักกันอีกรอบ ดื่มน้ำ ล้างหน้า และก็ลุยกันต่อ ทางเดินเดินยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทางลื่นและชันมาก แต่ก็คุ้มเพราะตลอดทางจะได้เห็นธรรมชาติสวยงามมากๆอย่างที่ไม่เคยเห็น แถมพี่เลี้ยงจากหมู่บ้านโตนปาหนันก็ให้ความรู้เป็นอย่างดีตลอดการเดินทาง ทำให้เพลิดเพลิน คลายความเหนื่อยล้าลงไปได้บ้าง
เราเดินมาถึงยังจุดพัก มีพี่นำเอาเปลือกไม้มาให้แล้วบอกว่าดมสิ ยาดม ตอนนั้นงงค่ะ เปลือกไม้จะมาเป็นยาดมได้ไง แต่พอเอามาดมแล้ว หอมมาก เหมือนยาดมจริงๆเลยค่ะ สดชื่นดี เปลือกไม้นี้เรียกว่า "เทพทาโร" เป็นต้นไม้หอมชนิดหนึ่ง ที่จะพบได้มากในป่าดงดิบแถบภาคใต้

ในที่สุดก็ถึงแล้วค่ะ ที่พักของเราในคืนนี้ พอถึงเราก็เก็บของ หาจุดกางเปล และไปอาบน้ำกันที่น้ำตก น้ำเย็นสดชื่นมากกกก หายเหนื่อยเลยค่ะ

จากนั้นก็ไปทำกับข้าวกินกัน เมนูคืนวันนี้ก็จะมีคั่วกลิ้งไก่ ต้มไก่ใบชะมวง และไข่เจียว ด้วยความเหนื่อยล้าก็รับประทานกันไปเยอะจนต้องขอเติมและบอกพี่เขาว่า พี่คะหนูขอ "ต้มยำไก่" อย่างมั่นใจ พี่ๆขำกลิ้งเลยค่ะ เพราะมันคือต้มไก่ใบชะมวง แหะๆ หนูเขินนะคะพี่

ทานข้าวเสร็จพี่ๆก็ชวนเพื่อนๆไปหาปลากัน แต่ถ้าใครไม่ไปก็จะทำขนมโคกันค่ะ ขนมโคเป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้าผสมกัน ปั้นแล้วนำไปห่อกับน้ำตาลโตนดที่ตัดเป็นก้อนเล็กๆ แล้วนำไปต้ม เมื่อสุกแล้วก็คลุกกับมะพร้าว รสชาติอร่อยมากก ได้ความหวานจากน้ำตาลข้างใน นุ่มและหอมมะพร้าว จนต้องลิสต์ไว้เป็นขนมในดวงใจเลยค่ะ 
นี่คือน้ำที่เราไว้ใช้ดื่มกัน ตอนแรกคิดว่าเพื่อนแกล้ง แต่มันดื่มได้จริงๆนะคะ ตื่นเต้นมาก


วันที่ 2 ออกจากป่า
เช้ามาพี่ๆได้นำปลาที่หาได้เมื่อคืนมาแบ่งส่วนทอด บางส่วนก็ทำปลาเค็มย่าง กลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยมากค่ะ 
และนี่ก็คืออาหารเช้าของเรา ข้าวเหนียวดำ มะพร้าวขูด ปลาทอด และน้ำพริกที่ใส่มะพร้าวด้วยค่ะ เป็นเมนูที่แปลกใหม่มาก ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบค่ะ
หลังจากนั้นก็เริ่มเดินทางออกจากป่ากันแล้วว ขากลับทางค่อนข้างลื่นและชันเหมือนเดิม เดินยากมากๆ แต่ข้างทางมีสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากมาย เช่น ต้นไม้ที่ไม่เคยเห็น สมุนไพรที่เคยได้ยินแต่ชื่อ มีรอยเท้าของสัตว์ และความงดความของน้ำตก ที่ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี
กลับมาถึงหมู่บ้านโตนปาหนัน ก็มีขนมจีนรอพวกเราอยู่ มีขนมจีนกับแกงส้ม แกงไตปลา น้ำยา และจะมีผักดองไว้ด้วย อันนี้เพิ่งเคยเห็นแต่เพื่อนยืนยันกันหลายคนว่าอร่อย เลยต้องลองดูค่ะ

ถ้ำภูผาเพชร
เดินทางมาถึงถ้ำภูผาเพชร มองดูจากข้างนอกดูใหญ่มาก แต่ก็ยังนึกภาพไม่ออกค่ะว่าข้างในจะเป็นอย่างไร

ถ้ำภูผาเพชรมีชื่อเดิมว่า "ถ้ำยาว หรือถ้ำเพชร" เนื่องจากลักษณะของถ้ำที่มีความคดเคี้ยวไปมา ภายในมีหินงอกหินย้อย เมื่อกระทบกับแสงไฟของผนังถ้ำ จะมีประกายระยิบระยับเหมือนกับเพชร ต่อมาจึงเรียกถ้ำเพชร และเป็นชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ถ้ำภูผาเพชร" นั่นเอง
หากท่านใดไม่มีไฟฉายก็สามารถเช่าได้ในราคา 20 บาทค่ะ และค่าเข้าชมสถานที่เพียง 30 บาท ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่กำลังจะได้เห็นภายในถ้ำ

เราเดินขึ้นบันไดมาประมาณ 300 กว่าขั้น จนถึงปากถ้ำ เสียเหงื่อไปตามๆกัน แต่ข้างบนมีจุดให้พักเติมพลังก่อนที่จะเข้าไปข้างในนะคะ
ปากถ้ำที่นี่ค่อนข้างแคบและเข้าไปลำบาก แต่เมื่อได้เข้าไปข้างในแล้วก็ตะลึงในความกว้างอลังการของหิน อากาศถ่ายเทไม่เหม็นอับ ไม่เหมือนกับที่จินตนาการไว้เลยค่ะ 
ยิ่งเดินเข้ามาก็ยิ่งตะลึงกับความสวยงามของธรรมชาติที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หลายคนต่างจินตนาการหินเป็นรูปต่างๆ ได้ความรู้จากพี่วิทยากรที่ชี้ให้ดูจุดที่ไม่ควรพลาด อธิบายสาเหตุของมันว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ สนุกและเพลินจามากๆ
เมื่อเดินเข้ามาถึง "ลานแสงมรกต" ซึ่งเป็นจุดไฮไลต์ของถ้ำภูผาเพชร เวลาประมาณบ่าย 3 โมง แสงอาทิตย์จะตั้งฉากทำมุมกับหินเกิดเป็นแสงสีเขียว จึงเป็นที่มาของลานแสงมรกต

เมื่อถึงเวลาที่ต้องเดินออกจากถ้ำ พวกเราต่างรู้สึกเสียดายเป็ยอย่างมาก ข้างในถ้ำทำให้เราตะลึงความงามของธรรมชาติได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังอยากที่จะเที่ยวชมไปเรื่อยๆ หากมีเวลาก็จะต้องกลับมาที่นี่อีกแน่นอน มันสวยงามเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ ทุกท่านต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองให้ได้สักครั้งในชีวิต แล้วรับรองว่าจะต้องหลงรักสถานที่นี้แน่นอนค่ะ 
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่