ที่ผ่านมานึกสงสัยอยู่ว่าทำไมการประมูลโครงการหลัก ๆ ในอีอีซี จึงมีแค่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินที่ดูคึกคัก และมีข่าวออกมาไม่เว้นวัน แต่พอเป็นการประมูลโครงการท่าเรือแหลมฉบัง มาบตาพุด และสนามบินอู่ตะเภา ช่างเหงียบเหงาเหลือเกิน นักข่าวไม่สนใจทำข่าวกันหรือยังไง
จน 2-3 วันที่ผ่านมามีข่าวสะพัดว่า โครงการอู่ตะเภามีกลิ่นเน่า ๆ ซะแล้ว จากที่บอกว่าจะเปิดซอง 1 (คุณสมบัติทั่วไป) ตั้งแต่วันที่ให้ยื่นประมูล แต่ผ่านมา 2-3 สัปดาห์ก็ไม่ประกาศว่าใครผ่านไม่ผ่านเกณฑ์กันแน่ ที่แท้เพราะมีเบื้องลึกเบื้องหลังนี่เอง
อ่านจากข่าวแล้วเกิดข้อสงสัยหลายเรื่อง อย่างเช่น
ทำไมจู่ ๆ มีชื่อสนามบินนาริตะโผล่มา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มี ตอนส่งรายละเอียดการประมูล ทุกกลุ่มต้องมีความพร้อม ส่งข้อมูลให้ครบไม่ใช่หรือ แล้วทำไมคณะกรรมการถึงเปิดโอกาสให้ส่งชื่อทีหลังได้ อย่างนี้ไม่แฟร์กับรายอื่นที่เข้าประมูล เพราะเกี่ยวพันถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในการประมูลด้วย
ประเด็นต่อมาเรื่องการส่งเอกสาร จำได้ตามข่าวว่า ทั้งสามกลุ่มที่ยื่นประมูลมาลงทะเบียนทันเวลากันหมด ยังมีภาพข่าวถ่ายคากับนาฬิกาด้วยว่ากลุ่มไหนมากี่โมง แต่ทำไม ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นมาเล่นแง่ว่า ส่งเอกสารไม่ทันเวลา ซึ่งในความเป็นจริง การประมูลโครงการใหญ่ขนาดนี้ เอกสารต้องมีเป็นพัน ๆ ฉบับ ขนกันเป็นร้อยกล่อง เพราะฉะนั้นควรจะนับเวลาตอนที่มาลงทะเบียนจนกว่าจะขนเสร็จ
อีกส่วนที่สงสัยคือ คณะกรรมการควรรู้อยู่แล้วว่า โครงการใหญ่ขนาดนี้ เอกสารก็ต้องเยอะ และต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ ตามรายละเอียดที่แปะไว้ข้างกล่อง ว่าเป็นเอกสารของซองใด ชุดที่เท่าใด เป็นต้น ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ แล้วทำไมตอนแรกจึงบอกว่าจะเปิดซองแรกภายในวันเดียวกันเลย มันไม่ควรออกมาในรูปนี้ จะบอกว่ากรรมการไม่มีประสบการณ์ก็ไม่ได้ เพราะเห็น ๆ กันอยู่จากการประมูลโครงการรถไฟเชื่อมสนามบิน
ไม่รู้อะไรเป็นอะไร แต่ถ้าสู้กันในเกมแบบแฟร์ ๆ จะแพ้ชนะก็ยอมรับกันไปสไตล์สุภาพบุรุษ ไม่เล่นตุกติก จับมือแท็คทีม เตะตัดขา ก็น่าจะเปิดเผยขั้นตอนการพิจารณาให้โปร่งใส ไม่ใช่เป็นกล่องทึบ ที่ไม่ให้ใครมองเห็นอะไรข้างในว่าทำอะไรกัน อย่างที่เป็นอยู่นี้
หมากซ้อน เกมซ่อนเงื่อน ประมูลเมืองการบินอู่ตะเภา
จน 2-3 วันที่ผ่านมามีข่าวสะพัดว่า โครงการอู่ตะเภามีกลิ่นเน่า ๆ ซะแล้ว จากที่บอกว่าจะเปิดซอง 1 (คุณสมบัติทั่วไป) ตั้งแต่วันที่ให้ยื่นประมูล แต่ผ่านมา 2-3 สัปดาห์ก็ไม่ประกาศว่าใครผ่านไม่ผ่านเกณฑ์กันแน่ ที่แท้เพราะมีเบื้องลึกเบื้องหลังนี่เอง
อ่านจากข่าวแล้วเกิดข้อสงสัยหลายเรื่อง อย่างเช่น
ทำไมจู่ ๆ มีชื่อสนามบินนาริตะโผล่มา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มี ตอนส่งรายละเอียดการประมูล ทุกกลุ่มต้องมีความพร้อม ส่งข้อมูลให้ครบไม่ใช่หรือ แล้วทำไมคณะกรรมการถึงเปิดโอกาสให้ส่งชื่อทีหลังได้ อย่างนี้ไม่แฟร์กับรายอื่นที่เข้าประมูล เพราะเกี่ยวพันถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในการประมูลด้วย
ประเด็นต่อมาเรื่องการส่งเอกสาร จำได้ตามข่าวว่า ทั้งสามกลุ่มที่ยื่นประมูลมาลงทะเบียนทันเวลากันหมด ยังมีภาพข่าวถ่ายคากับนาฬิกาด้วยว่ากลุ่มไหนมากี่โมง แต่ทำไม ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นมาเล่นแง่ว่า ส่งเอกสารไม่ทันเวลา ซึ่งในความเป็นจริง การประมูลโครงการใหญ่ขนาดนี้ เอกสารต้องมีเป็นพัน ๆ ฉบับ ขนกันเป็นร้อยกล่อง เพราะฉะนั้นควรจะนับเวลาตอนที่มาลงทะเบียนจนกว่าจะขนเสร็จ
อีกส่วนที่สงสัยคือ คณะกรรมการควรรู้อยู่แล้วว่า โครงการใหญ่ขนาดนี้ เอกสารก็ต้องเยอะ และต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ ตามรายละเอียดที่แปะไว้ข้างกล่อง ว่าเป็นเอกสารของซองใด ชุดที่เท่าใด เป็นต้น ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ แล้วทำไมตอนแรกจึงบอกว่าจะเปิดซองแรกภายในวันเดียวกันเลย มันไม่ควรออกมาในรูปนี้ จะบอกว่ากรรมการไม่มีประสบการณ์ก็ไม่ได้ เพราะเห็น ๆ กันอยู่จากการประมูลโครงการรถไฟเชื่อมสนามบิน
ไม่รู้อะไรเป็นอะไร แต่ถ้าสู้กันในเกมแบบแฟร์ ๆ จะแพ้ชนะก็ยอมรับกันไปสไตล์สุภาพบุรุษ ไม่เล่นตุกติก จับมือแท็คทีม เตะตัดขา ก็น่าจะเปิดเผยขั้นตอนการพิจารณาให้โปร่งใส ไม่ใช่เป็นกล่องทึบ ที่ไม่ให้ใครมองเห็นอะไรข้างในว่าทำอะไรกัน อย่างที่เป็นอยู่นี้