วันที่ฉันป่วยด้วยอาการมีประจำเดือนนานผิดปกติ ตอนที่1

กระทู้คำถาม
กระทู้นี้เป็นโพสต์แรกที่อยากเขียนเพื่อแชร์และบอกเล่าประสบการณ์การเจ็บป่วยของตัวเองนะคะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวว่า เจ้าของโพสต์เองเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ที่มีกิจกรรมคือการวิ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นผ่านมา 1 ปีแล้วค่ะ ยิ้ม

- เริ่มต้นจากวันที่ 5 เมษายน 2561 เราเริ่มมีประจำเดือนวันแรกของเดือนนั้น ปกติเราเป็นคนที่มีประจำเดือนประมาณ 5 วัน และเป็นคนที่ประจำเดือนมาตรงมาก เช่นจะมาทุกๆวันที่ 25 ของเดือน หรือถ้าเปลี่ยนรอบก็จะอยู่ในช่วงวันที่เดิมๆตลอด โดยช่วง 3 วันแรก จะเป็นวันที่มีเลือดประจำเดือนปกติ อาจจะมีเป็นแบบเลือดก้อนเล็กๆบ้าง ส่วนอีก 2 วันหลังนั้นจะมีแบบกระปริบกระปรอย รวมถึงมีอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดท้องบ้างแต่ทานยาพอนสแตนก็หาย เอาถุงร้อนประคบก็ดีขึ้น แต่การเป็นประจำเดือนครั้งนี้แตกต่างกว่าทุกครั้ง T_T โดยวันที่ 8 เมษายน 2561 เราเองไปร่วมงานวิ่ง Samsung Galaxy 10K ซึ่งระหว่างที่วิ่งก็ไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไร (ซึ่งเป็นประจำเดือนวันที่ 4 แล้วก็มีจะเลือดบ้างกระปริปกระปรอย) หลังจากที่วิ่งเสร็จในตอนเย็นก็ไปนวดขา (ย้ำว่านวดแค่ขาอย่างเดียวนะคะไม่นวดส่วนอื่นของร่างกาย) ซึ่งก็ยังไม่ได้พบอะไรผิดปกติ ก็ยังมีเลือดประจำเดือนแบบกระปริปกระปรอยเช่นเดิม จากนั้นเราก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัดช่วงสงกรานต์โดยที่ยังมีเลือดประจำเดือนกระปริปกระปรอยทุกวันแต่ไม่มากนัก เราก็ยังใส่แผ่นรองอนามัยทุกวันเพื่อไม่ให้มันเลอะ แต่ตอนนั้นเราเริ่มใจไม่ดี แต่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แต่พยายามเสิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต รวมถึงในห้องพันทิปว่าเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ควรทำเช่นไร มีสาเหตุจากอะไร ตอนนั้นเราคิดว่าคงไม่มีอะไรมาก พยายามมองแง่ดีไว้ก่อน เพราะเราไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องประจำเดือน เพราะประจำเดือนเรามาปกติทุกเดือนไม่ได้ปวดแบบทรมานจนไปทำงานหรือต้องลางานเพื่อนอนพัก เราคิดว่ามันอาจจะแบบเปลี่ยนรอบเลยเป็นนานกว่าทุกครั้งและมันก็แค่กระปริปกระปรอย และเราแพลนไว้ว่าเราจะเดินทางกลับมาทำงานแล้วค่อยไปตรวจที่โรงพยาบาลประกันสังคม แต่เหตุการณ์เริ่มไม่ปกติในคืนวันที่ 15 เมษายน 2561 คืนนั้นเรารู้สึกแปลกๆผิดปกติและนอนไม่ค่อยหลับเลยลงมาเข้าห้องน้ำและพบว่ามีเลือดประจำเดือนออกมาค่อนข้างเยอะ เราเลยใส่ผ้าอนามัยแบบกลางคืนแล้วกลับไปพยายามนอนให้หลับ

- ตอนเช้าประมาณตี 4 วันที่ 16 เมษายน เราตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อขับรถกลับไปเตรียมตัวทำงาน (ปีนั้นบริษัทเราเปิดงานวันที่ 18 เมษายน) โดยที่ขับกลับพร้อมน้องชาย (ลูกน้าสาว) เหตุการณ์เหมือนจะปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราขับมาได้ 115 กิโลเมตร ก็แวะจอดที่ปั๊มเพื่อให้น้องชายเข้าห้องน้ำและเติมน้ำมัน ในตอนนั้นเรารู้สึกได้ว่าเลือดประจำเดือนไหลออกมาแบบอุ่นๆ ในปริมาณที่เยอะพอสมควร -*- จากนั้นเราก็ขับรถต่อไปเรื่อยๆ โดยที่เลือดประจำเดือนก็เหมือนจะไหลอยู่เรื่อยๆตลอดเวลา เราขับไปส่งน้องชายที่มหาลัยซึ่งเราก็จบจากสถาบันนี้เช่นกัน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยง เรารู้สึกว่ากางเกงเราเปียกชุ่มโชกมาก เลยก้มดูพบว่าเลือดออกมาเยอะมาก อารมณ์เหมือนเด็กสาววัยรุ่นที่เพิ่งมีประจำเดือนแล้วไม่ได้ใส่ผ้าอนามัย เราเลยหยิบผ้าอนามัยแบบกลางคืนแผ่นที่#2 และเอากางเกงไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ตอนที่เปลี่ยนพบว่าผ้าอนามัยที่เราใส่มานั้นมันหนักอึ้งมาก ไม่มีจุดไหนที่ไม่เปื้อนเลือดเลย (เริ่มกังวลมาก) ก่อนจะเข้าห้องน้ำก็ได้ถามน้องชายแล้วว่า รพ มหาลัยอยู่ที่ไหน ตอนนั้นก็อยากจะตรวจแล้วแอดมิท แต่พอคิดอีกทีขับรถอีก 2:30 ชั่วโมงก็จะถึงบ้านของเราในจังหวัดที่เราทำงานละ ก็เลยตั้งสมาธิในการขับรถเพื่อไปถึงบ้านให้เร็วที่สุด (ระหว่างทางได้โทรไปปรึกษาน้องสาวที่เป็นพยาบาลและเล่าอาการที่เกิดขึ้น) โชคดีที่รถไม่ติดมากทำให้เรากลับมาถึงบ้านได้เร็ว ตอนนั้นผ้าอนามัยแบบกลางคืนแผ่นที่#2 เปียกชุ่มเราเลยไปอาบน้ำเพื่อจะขับรถต่อเพื่อไป รพ ที่เรามีประกันสังคม แต่ก่อนที่เราจะไปอาบน้ำเรารู้สึกได้ว่ามันมีเลือดไหลออกมาเป็นก้อนอุ่นๆ แต่เราหาไม่เจอ....จนกระทั่งเราพบว่ามันติดอยู่ที่หว่างขาของเราเอง เป็นก้อนเลือดขนาดใหญ่นึกภาพก้อนเลือดขนาดครึ่งฝ่ามือ ลักษณะเหมือนตับหมูที่ตลาดเวลาไปซื้อ T______T เรารีบแต่งตัวเพื่อขับรถไป รพ ระหว่างนั้นเราโทรหาน้องสาวอีกครั้ง น้องสาวเราบอกว่าให้เตรียมน้ำผสมเกลือแร่จิบไประหว่างทาง เราก็เริ่มร้องไห้เพราะใจไม่ดีมากๆ วางสายจากน้องสาวก็โทรหารุ่นน้อง ป.โท ที่สนิทกัน เล่าเหตุการณ์น้องช่วยหาเบอร์ รพ เราเลยรีบโทรติดต่อไปที่ รพ ทาง รพ บอกว่าหมอสูติทำงานถึงแค่ 5 โมงเย็นถ้าจะตรวจต้องรีบมาก่อน 5 โมงเย็น แต่ตอนนั้นที่เราขับรถคือ บ่าย 3:30 โมงแล้ว ระยะ 75 กิโลเมตรไม่น่าจะทันเพราะรถของคนที่กลับบ้านช่วงสงกรานต์เริ่มมากขึ้น ทาง รพ บอกว่าให้เรามาใหม่วันถัดไป เราเลยตอบไปว่าเราต้องไปพบหมอวันนี้ เพราะอาการเราแย่มากจะให้ขับรถมาวันรุ่งขึ้นได้ไง!!!! (เริ่มหัวร้อน) ในที่สุดเราพาตัวเราเองมาถึง รพ ในเวลา 5 โมงกว่าๆ เรารีบไปที่เคาท์เตอร์แจ้งสิทธิการรักษาพยาบาล บอกอาการเจ็บป่วย รอพบหมออายุรกรรมคนที่ 1 (อย่าหาว่าเรานินทาหรือร้ายเลยนะหมอคนที่ 1 เนี่ยหน้าตาดูเด็กมากไม่มีความน่าเชื่อถือว่านี่คือหมอเลยจริงๆ) เราเล่าอาการต่างๆที่เกิดขึ้น หมอคนที่ 1 ยืนยันว่าให้เรากลับบ้านแล้วมาพบหมอสูติใหม่ในวันรุ่งขึ้นแทน (มันใช่ไหม๊!!!) หมอไม่อินกับอาการเจ็บป่วยเราเลยจ้าาาา เหมือนถามไปงั้นๆว่าต้องถามอะไร 1-2-3-4-5 เราบอกหมอคนที่ 1 ไปว่าเราต้องการแอดมิท และยืนยันว่าจะแอดมิท!!!เพราะไม่มีแรงจะขับรถกลับบ้านแล้ว แถมหมอคนที่ 1 บอกว่างั้นคุณไปเจาะเลือด เก็บปัสสาวะมาตรวจ เราเลยโวยไปว่าเป็นประจำเดือนอยู่ จะเก็บฉี่มาตรวจได้ไง จะอ่านผลแลปเลือดได้ยังไงคะ -*- สุดท้ายเราก็เอากระปุกไปเก็บฉี่แล้วเอามาส่งห้องแลป

- เราไปเข้าห้องน้ำแล้วพบว่าผ้าอนามัยแบบกลางคืนแผ่นที่#3 เปียกชุ่มเช่นเคยจนเปียกเลอะกางเกงที่ใส่มา รพ โชคดีที่เป็นกางเกงวิ่งสีดำ จากนั้นได้พบหมอคนที่ 2 คนนี้ดีหน่อยที่มีแผ่นชาร์ทเขียนบันทึกอาการเจ็บป่วยของเราทุกอย่าง และเข้าใจถึงความต้องการของเราที่ต้องการแอดมิท โดยหมอบอกว่าผลแลปเลือดอ่านค่าไม่ได้ แหงแหละเลือดซะขนาดนั้น -*- โดยหมอคนที่ 2 แจ้งว่าจะให้ยาชะลอการไหลของเลือดไปก่อนและบันทึกลงบนแผ่นชาร์ทเพื่อส่งต่อให้อาจารย์หมอประจำเวรคืนนี้ จากนั้น จนท ก็ดำเนินการหาห้องให้เราแอดมิทและถามว่ามีญาติคนไข้มาด้วยไหม๊ เพราะห้องพักแบบพิเศษต้องมีญาติเฝ้าไม่เช่นนั้นเราจะต้องไปอยู่ห้องรวม เราก็บอกไปตามตรงว่าเรามาคนเดียว ไม่ได้มีญาติมาด้วย (อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะคะ คือเราเป็นคนขี้เกรงใจ กลัวเพื่อนพี่น้องที่ทำงานจะลำบากพามาหรือมาเฝ้า พอทุกคนรู้เรื่องหลังจากเราป่วยและแอบขับรถไปนอนแอดมิทคนเดียว โดนด่าหูชาไปละค่ะ) บุรุษพยาบาลก็พาเราไปเอาของใช้ที่รถ แล้วก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าผู้ป่วยนอนพัก เวลา 2 ทุ่มอาจารย์หมอมาพร้อมพยาบาลมีตุ่นปากเป็ดมาด้วย -*- จากนั้นหมอก็เอาตุ่นปากเป็ดสอดเข้าไปพบว่าเลือดออกเยอะมาก มีเป็นลิ่มๆออกมา อาจารย์หมอบอกว่าต้องรอหมอสูติตรวจเพิ่มตอนเช้า ระหว่างนี้ให้น้ำเกลือ ฉีดยาเพื่อชะลอการไหลของเลือดไปก่อน เราเริ่มหลับเพราะเพลียและมีสลับตื่นช่วงพยาบาลมาเจาะเลือดและวัดความดันทุกๆ 2 ชั่วโมง

- วันที่ 17 เมษายน 2561 เวลาประมาณ 8 โมงเพื่อนที่เรียนป.โทด้วยกันเดินทางมาถึง รพ อยู่เป็นเพื่อน จนเวลา 9 โมงหมอสูติก็เข้ามาอธิบายผลเลือดต่างๆที่วัดค่าได้ คือ ผลเลือดปกติ ไม่มีภาวะโลหิตจาง เกล็ดเลือดปกติ (นี่คือข่าวดีที่สุด) แม้เราจะสูญเสียเลือดไปค่อนข้างมากมารู้ทีหลังเลือดเราดรอปลงไป 10% ซึ่งบางคนอาจจะต้องให้เลือด จากนั้นหมอสูติให้เราตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง และขึ้นขาหยั่งอีกรอบเพื่อตรวจ จากผลอัลตราซาวด์พบติ่งเนื้อในมดลูกที่ไม่ทราบขนาดแน่ชัดและบอกไม่ได้ว่าเป็นเนื้อดีหรือร้าย และพบว่ามดลูกมีขนาดโตผิดปกติ หมอเสนอทางเลือก 2 ทาง คือตัดมดลูกทิ้ง นั่นคือเราจะไม่มีโอกาสท้องและจะไม่มีประจำเดือนอีกต่อไป และอีกทางเลือก คือ ตั้งครรภ์ให้เร็วที่สุด ด้วยการฉีดไข่เข้าไปผสม เราปล่อยโฮออกมา เพราะทั้ง 2 ทางไม่ได้มีทางไหนที่ดีเลยในตอนนี้ เพราะเราเป็นสาวโสดไม่ได้มีแฟน -*- ตอนนั้นน้องที่แผนกเราเดินทางมาถึง เราร้องไห้ออกมาเพราะไม่คิดว่าจะต้องถึงกับตัดมดลูกทิ้งไป เราคิดว่าน่าจะแค่ขูดมดลูกเท่านั้น (อันนี้คือข้อมูลที่เราหาจากอินเตอร์เน็ต) ระหว่างที่เรากำลังเสียขวัญจากคำพิพากษาของคุณหมอที่จะตัดมดลูกเราทิ้ง เราบอกเลยว่าเรารับยังไม่ได้กับทางเลือกนั้น เราร้องไห้เหมือนเราสูญเสียลูกคนแรก (แท้งลูก) เราไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกนั้นเป็นยังไง แต่เรารู้สึกว่าเรายังไม่อยากเสียมดลูกของเราไปตอนนี้มันน่าจะความรู้สึกเดียวกัน ในขณะที่เรากำลังขวัญเสียน้องที่ทำงานและน้องที่เรียนป.โท เริ่มติดต่อหาเพื่อนพี่น้องคนรู้จักและเล่าอาการคร่าวๆของเราที่เกิดขึ้น เพื่อหาแนวทางการรักษา หลังจากตั้งสติได้เราโทรบอกที่บ้าน ตอนนั้นนายแม่เราเตรียมตัวจะไปเที่ยวเวียดนาม (ต้องยกเลิกทริปเที่ยวทันที) นายแม่บอกว่าถ้าตัดสินใจยังไงอยู่ รพ ไหนให้โทรมาบอกทุกคนที่บ้านพร้อมจะเดินทางทันที นี่คือพลังความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่และคนในครอบครัวค่ะ (^_____^)

- หมอพยายามโน้มน้าวเราให้ตัดมดลูกทิ้ง โดยพูดถึงข้อดีของการไม่มีมดลูก...ไม่มีการพูดถึงเรื่องผลกระทบของการไม่มีมดลูกเลย
หมอสูติ: คุณไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการมีประจำเดือนนะ คุณไม่ต้องมีความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งปากมดลูก เป็นเนื้องอก เป็นถุงน้ำด้วย ถ้าคุณเก็บมดลูกไว้ตอนนี้คือ มันเหมือนระเบิดเวลาที่รอวันระเบิด ครั้งต่อไปคุณอาจจะไม่โชคดีมารักษาที่ รพ ได้ทันเหมือนครั้งนี้ิ คุณอาจจะตกเลือดจนเสียชีวิตได้

เรา: (ร้องไห้) พร้อมบอกว่า เราทำใจไม่ได้จริงๆที่จะตัดมดลูกออกไป เพราะมดลูกเรามีแค่อันเดียว มันปลูกถ่ายไม่ได้ตัดแล้วก็คือไม่มีอวัยวะที่บ่งบอกเพศสภาพความเป็นผู้หญิงของเรา

หมอสูติ: ถ้าคุณกังวลเรื่องตั้งครรภ์ ไม่เห็นเป็นไรเลย คุณก็อุ้มบุญสิ หมอยังเก็บรังไข่ไว้ให้คุณนะ แค่คุณตั้งท้องไม่ได้แค่นั้นเอง

เรา: เราไม่ได้พูดออกไปในสิ่งที่เราคิด การอุ้มบุญในประเทศไทยไม่ได้ง่ายนะ เราเห็นปัญหาเกิดขึ้นมากมายจากการอุ้มบุญ (ไม่ขอลงรายละเอียด) และเราไม่ได้เห็นด้วยกับการที่หมอพูดเรื่องอุ้มบุญแบบหน้าตาเฉย -*-

หมอสูติ : นี่เบอร์ของหมอ คุณตัดสินใจยังไงโทรหาหมอได้จนถึงบ่ายสองนะครับ

- เราและน้องๆ 2 คน กลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย และพูดคุยกันในสภาพที่เราเริ่มมีสติกลับมาละ เรายืนยันว่าเราไม่อยากตัดมดลูก น้องๆทั้งสองคนเห็นด้วยและบอกว่าเราควรไปตรวจที่ รพ อื่นเพื่อหา 2nd opinion โดยน้องที่เรียนโทกับเราก็บอกว่าติดต่อไปหาน้องๆในกลุ่มเราแล้ว น้องบอกว่าให้ไปพบอาจารย์หมอด้านสูตินรีเวชกรรมที่เป็นหมอที่คุ้นเคยประจำบ้านของน้อง ตอนนี้ที่บ้านน้องได้ติดต่ออาจารย์หมอไว้แล้ว อาจารย์หมอบอกว่า ถ้าเป็นไปได้ให้เดินทางไปคลีนิคภายในเย็นวันนี้เลย (17 เมษายน 2561) เพราะอาจารย์หมอยังเชื่ออยู่ลึกๆว่า มันไม่น่าจะรุนแรงขนาดที่ต้องตัดมดลูกที่เป็นอวัยวะชิ้นเดียวที่สำคัญสำหรับผู้หญิง เพราะโดยจรรยาบรรณแล้วหมอจะพยายามรักษาหรือเซฟอวัยวะที่สำคัญหรือที่มีชิ้นเดียวของคนไข้ไว้ ยิ้ม ส่วนน้องที่ทำงานเราก็ติดต่อทาง รพ ศิริราชไว้ เพราะมีพี่ที่น้องเค้ารู้จักสนิทสนมทำงานอยู่ที่ รพ ศิริราชเพื่อเอาไว้เป็นอีกทางเลือก

- หลังจากตัดสินใจกันดีแล้ว เราเลยโทรหาหมอสูติที่ รพ ว่าเราขอปฏิเสธการรักษาโดยการผ่าตัดเอามดลูกทิ้งไป หมอสูติท่านนั้นตอบว่า "ก็แล้วแต่คุณนะ ก็ดีเหมือนกันผมก็ไม่ต้องรับเคสผ่าตัดเพิ่ม" เราเลยขอบคุณคุณหมอพร้อมขอเอกสารของอาการเจ็บป่วยทั้งหมดเพื่อเอาไปรักษาต่อที่อื่น

- จากนั้นน้องที่เรียนโทก็ขับรถพาเราไปพบอาจารย์หมอที่เจริญกรุงการแพทย์ ส่วนน้องที่ทำงานเรากลับไปเก็บของเตรียมตัวเพื่อจะมาเฝ้าที่ รพ ถ้าต้องแอดมิท

ปล.เดี๋ยวกลับมาเล่าต่อนะคะ
Link ตอนที่ 2 : https://pantip.com/topic/38827703
Link ตอนที่ 3 : https://pantip.com/topic/38833985
Link ตอนที่ 4 : https://pantip.com/topic/38866680
Link ตอนที่ 5 : https://pantip.com/topic/39056073
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่