“เพื่อไทย” เดินหน้า ร้องเอาผิด “ชาญวิทย์” ปมถือหุ้นสื่อ พร้อมร้องยุบพรรค พปชร.
https://www.matichon.co.th/politics/news_1472338
“เพื่อไทย” เดินหน้า ร้องเอาผิด “ชาญวิทย์” ปมถือหุ้นสื่อ พร้อมร้องยุบพรรค พปชร.
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 30 เมษายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นาย
ปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคพท. พร้อมด้วยนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค แถลงถึงกรณีการถือหุ้นสื่อของนาย
ชาญวิทย์ วิภูศิริ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถือหุ้นสื่อ โดยนาย
ปลอดประสพได้เซ็นเอกสารมอบอำนาจให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคไปดำเนินการกับนาย
ชาญวิทย์ ต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมแถลงว่า
มี 5 ประเด็นหลักที่จะเสนอต่อสื่อมวลชน คือ
1. ฝ่ายรัฐบาลและทหารพูดเสมอว่าประเทศต้องปกครองภายใต้กฎหมาย ตนอยากจะจรรโลงสิ่งเหล่านี้
2. อยากร้องเรียนเรื่องการตัดสินคดีต่างๆที่ไม่มีความเท่าเทียม ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งตนอยากให้เกิดความมั่นใจในส่วนนี้
3. ตนจะร้องนาย
ชาญวิทย์ กรณีถือหุ้นสื่อ
4. นาย
ชาญวิทย์ และคณะกรรมการบริหารพรรคพปชร. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในลักษณะยอมรับแล้วว่าถือหุ้นสื่อจริง
และ 5. ตน และพรรคพท.ได้หารือกันแล้วโดยพรรคได้มอบหมายให้ตนดำเนินการให้จบสิ้นกระบวนความโดยการไปร้องนาย
ชาญวิทย์ทั้งในสถานะส่วนตัว และในฐานะกรรมการบริหารพรรคพปชร.
ซึ่งการร้องเรียนนี้อาจทำให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ และการที่นาย
ชาญวิทย์เป็นกรรมการบริหารพรรคอาจส่งผลต่อพรรคพปชร. ซึ่งตนจะยื่นร้องต่อ กกต.ให้ดำเนินการเลือกตั้งใหม่ และให้ กกต.พิจารณากรณีถือหุ้นสื่อหาก กกต.เห็นว่ามีความผิดจริงก็ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค พปชร.โดยตนได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายพรรคไปยื่นเรื่อง กกต.ในวันพรุ่งนี้เวลา 10.00 น.
ด้านนาย
ชูศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีข้อพิสูจน์แล้ว คือ
1. ขณะรับสมัครรับเลือกตั้งนั้นนาย
ชาญวิทย์เป็นเจ้าของและถือหุ้นในบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการสื่อทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 42(3) ดังนั้นนาย
ชาญวิทย์ถือเป็นบุคคลเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามกฏหมาย
และ
2. บุคคลใดที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งนาย
ชาญวิทย์ในฐานะกรรมการบริหารพรรคจะต้องเซ็นรับรองด้วยแสดงว่า กรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็น รับรู้ และส่งผู้สมัครโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ถือว่ากรรมการบริหารพรรคประทำผิดกฎหมายเสียเอง ด้วยเหตุนี้กรรมการบริหารพรรคจะต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายด้วย
ดังนั้นหาก กกต.วินิจฉัยว่ามีความผิด กกต.มีอำนาจที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยใช้ยุบพรรคโดยระหว่างนั้น กกต.จะต้องเพิกถอน สิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลนั้นเป็นการชั่วคราว และหากผู้สมัครมีโอกาสได้รับเลือกตั้งหรือมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งต้องระงับการประกาศผลการเลือกตั้งและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
อนาคตใหม่เล็งฟ้องกลับ กกต. เพราะหลายการกระทำอาจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
https://prachatai.com/journal/2019/04/82261
ปิยบุตรถาม กกต. หากใช้สูตรคำนวณ ส.ส. แบบ 27 พรรค ที่นั่งอนาคตใหม่จะหายไป 7-8 ที่ คะแนนดิบจะหายไป 6 แสนกว่า แบบนี้เสียงของอนาคตใหม่ไร้ความหมายหรือ จี้เปิดคะแนนรายหน่วยทั่วประเทศหลังพบพิรุธมากมาย เตือนขั้นตอนการสอบกรณีหุ้นธนาธรไม่ชอบด้วยกฎหมาย เล็งฟ้องกลับ ป.อาญา ม. 157
30 เม.ย. 2562
ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวใน 3 ประเด็นสำคัญคือ
1.การเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยึดกฎหมายอย่างเคร่งครัดในการคำนวณจำนวน ส.ส.ที่พรรคการเมืองต่างๆ พึงมี
2.การเปิดเผยคะแนนดิบแบบรายหน่วย
และ 3.กระบวนการพิจารณา กรณีการโอนหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย ของ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
ปิยบุตรกล่าวว่าการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามแถลงข่าวล่าสุดของ พ.ต.อ.
จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. เหมือนจะใช้สูตรที่เรียกย่อๆ ว่า 27 พรรค คือกระจายให้พรรคที่ได้คะแนนไม่ถึงจำนวน ส.ส.พึงมี ได้ ส.ส. ด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ทางพรรคอนาคตใหม่มีส่วนได้เสียโดยตรง เนื่องจากจะทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อหายไป 7-8 ที่นั่ง คะแนนดิบหายไป 6 แสนกว่าคะแนน นี่คือคะแนนประชาชนที่สนับสนุนเราหายไปทันที ตนยืนยันว่า การคำนวนจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมีอยู่สูตรเดียวเท่านั้น คือตามรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ คือรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (1), (2) และ (4) ซึ่งในมาตรา 91 (2) เขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามมีพรรคการเมืองใดมีจำนวน ส.ส.เกินกว่าจำนวน ส.ส.พึงมี กรณีเดียวที่เป็นข้อยกเว้น คือตามกรณี 91 (4) ถ้าได้จำนวน ส.ส.แบ่งเขตมากกว่าจำนวน ส.ส.พึงมี ให้ถือว่าได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตโดยไม่ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นกรณียกเว้นเพียงกรณีเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ไม่มีข้อยกเว้นใดทั้งสิ้น
"หลายท่านพยายามอธิบายว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องการให้ความสำคัญกับทุกคะแนนเสียง กับพรรคการเมืองที่ได้ 3-4 หมื่นคะแนนนั้นมีความหมาย ผมขอถามกลับว่า แล้ว 6 แสนกว่าคะแนนของเรา(พรรคอนาคตใหม่) ที่หายไปไม่มีความหมายอย่างนั้นเหรอ การที่ กกต.ไปค้นคว้าเอาความเห็นของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มาอ้าง โดยไม่ดูตัวบทของรัฐธรรมนูญนั้นใช้ไม่ได้ กรธ. ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ และอีกอย่างความเห็นของ กรธ.แต่ละคนก็ไม่ตรงกันด้วย ดังนั้น ถ้าจะคำนวนอย่างยุติธรรมจริงๆ ให้เดินตามรัฐธรมนูญ แต่ถ้าหากยืนยันว่าจะใช้แบบให้ 27 พรรคได้ ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้เสียหายโดยตรง และผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลำดับที่จะหายไป เราในฐานะผู้แทนประชาชนขอสงวนสิทธิ์ดำเนินคดีกับ กกต. ตามประมวมกฎหมายอาญา ม.157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมถึงกรณีฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งจะถูกดำเนินคดีไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาต (ป.ป.ช.) และไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป" ปิยบุตร กล่าว
ปิยบุตรกล่าวต่อว่า เรื่องที่สอง การเปิดคะแนนดิบรายหน่วย ล่าสุด รองเลขาฯ กกต. แถลงว่าเอกสารคะแนนรายหน่วยไม่ใช่ความลับ และอยู่ที่ กกต. จังหวัด ใครอยากได้ให้ไปขอ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ได้ให้ผู้สมัครไปร้องขอมาก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง คนละมาตรฐานการปฏิบัติ อย่างกรณี จ. นครปฐม เขต 1 เมื่อได้แล้วนำมาตรวจสอบลองรวมใหม่ ก็พบว่าชนะ 4 คะแนน จนทำให้ กกต. มีคำสั่งให้นับคะแนนใหม่ดังที่ผ่านมา หรือ เขต 2 กรุงเทพมหานคร เมื่อได้คะแนนรายหน่วยมาก็พบพบพิรุธ แบบฟอร์ม ส.ส 5/11 กับ ส.ส 5/18 ไม่ตรงกัน เราเห็นข้อผิดพลาดนี้ เพราะเราได้เห็นคะแนนดิบรายหน่วย นี่คือหลักฐานชัดว่ามีข้อผิดพลาดบกพร่องในการนับคะแนนจริงๆ ดังนั้น เมื่อคะแนนดิบรายหน่วยไม่ใช่ความลับ ท่านต้องมีคำสั่งลงไปที่หน่วยปฏิบัติว่าให้มีการเปิดเผย เมื่อไม่เปิดความลับจะเก็บไปทำไม เช่นที่ จ.นครราชสีมา เขต 1 ผู้สมัรคพรรคอนาคตใหม่ขอไปเป็นเดือนแล้วยังไม่ได้ กลายเป็นว่ามาตรฐานไม่ตรงกัน
"เพื่อทำให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน เราขอเรียกร้องให้ท่านสั่งเจ้าหน้าที่หน่วยลงไปว่าเปิดให้หมด และระหว่างมีคำสั่งนี้ ถ้ามีใครร้องขอให้เจ้าหน้าที่เปิดคะแนนต้องให้ดูทันที เพราะผมถือว่า รองเลขาธิการ กกต. พูดว่า ไม่เป็นความลับ ไม่มีเหตุต้องปกปิด ใครขอต้องให้ หรือจะอำนวยความสะดวกประชาชนกว่านี้คือ ไม่ต้องขอ ให้เปิดมาเลย เพราะถ้าหากกระทำหน้าที่ด้วยสุจริตเที่ยงธรรม การเปิดเผยนี่แหละจะเป็นเกราะป้องกันให้ท่าน" ปิยบุตร กล่าว
ประเด็นที่สาม
ปิยบุตรกล่าวว่ากระบวนพิจารณาการถือหุ้นวี-ลัค มีเดีย ของ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีความผิดปกติหลายประการ ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนที่พรรคอนาคตใหม่พยายามยื่นหลักฐานในขั้นตอนการพิสูจน์มูลฟ้อง กลับปรากฏว่าคณะกรรมการ กกต. ปล่อยให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคอนาคตใหม่นั่งรอถึง 4 ชั่วโมง จนหมดเวลาราชการ โดยไม่เปิดโอกาสให้เข้าไปชี้แจงในห้องประชุม แต่กลับไปเรียกรับเอาเอกสารจากหน่วยงานต่างๆ แต่ยกเว้นทางผู้ถูกกล่าวหา และยังมีทิศทางการพิจารณาไปตามที่สำนักข่าวบางสำนักนำเสนออยู่ข้างเดียวด้วย นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการออกหนังสือเชิญให้นาง
สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ามาชี้แจงกับคณะกรรมการในเวลา 10.00 น.ของวันที่ 22 เมษายน แต่หนังสือกลับมาถึงบ้านของนางสมพรในเวลา 13.45 น.ของวันที่ 22 เมษายน มีหลักฐานเป็นใบลงทะเบียน EMS ซึ่งคนที่จะไปชี้แจงได้คงต้องนั่งไทม์แมชชีนกลับไป กลายเป็นเหตุให้ฝ่ายที่ถูกตรวจสอบไม่มีโอกาสในการชี้แจงแสดงหลักฐานเลยแม้แต่น้อย
"นอกจากนี้ในเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาที่ส่งมาถึงธนาธร ระบุว่า ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันส่งบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ ส่งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ จากการตรวจสอบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่บริษัท วี-ลัค มีเดีย ส่งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าท่านเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย ดังนั้นจึงเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ส่งเป็นผู้สมัคร ซึ่งตรงนี้ถามว่า 1. กกต. อ้างเอกสาร บอจ.5 ฉบับไหน ลงวันที่เท่าไหร่ไม่ยอมบอก ซึ่งเรายืนยันมาตลอดว่า การโอนหุ้นของธนาธรจบไปแล้วตั้งแต่ 8 ม.ค. และ 2.ข้อกล่าวหาตีขลุมไปเลยว่า พบว่าเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย นี่เป็นการแจ้งข้อกล่าวหาที่ไม่ละเอียด เป็นการฟ้องคลุมเครือ ไม่ชัด เหมือนการให้การบ้านมาแต่ก็ไม่บอกว่าให้ชี้แจงเรื่องอะไร ซึ่งตามกระบวนการทางอาญาปกติ ถ้าอัยการเขียนฟ้องให้มีความคลุมเครือเช่นนี้ จะถูกศาลไล่ให้ไปเขียนมาใหม่ และอาจส่งผลถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายในการแจ้งข้อกล่าวหาด้วย" ปิยบุตร กล่าว
ปิยบุตรกล่าวต่อว่า ตนได้เคยอธิบายชัดแล้วเรื่องอำนาจ ของ กกต. ว่าไม่มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายธนาธรในเวลานี้ เพราะ กกต.มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส ได้ตั้งแต่วันสมัครจนถึง 1 วันก่อนเลือกตั้งคือ 23 มี.ค. ถ้าตรวจไม่เสร็จก็จบ หมดเวลา ทุกคนได้เข้าไปสู่การเลือกตั้ง 24 มี.ค. แต่กระนั้น ถ้ายังไม่ประกาศผล พบเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร ตรวจสอบได้เฉพาะแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งกฎหมายเขียนชัดมากใน มาตรา 53 ว่า หากผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตพบ ผู้สมัครมีคุณลักษณะต้องห้าม และผู้สมัครนั้นอยู่ในลำดับได้รับการเลือกตั้งสามารถตรวจสอบได้เฉพาะแบบแบ่งเขต ในกรณีของผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ หรือธนาธร ถ้าจะตรวจสอบต้องรอเป็นการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ส. ซึ่งเมื่อเจอแล้วต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส่วนการที่มีข่าวว่าจะมีแจกใบส้มตาม ม.132 นั้น ก็แจกไม่ได้ เพราะใบส้มใช้กับกรณีเลือกตั้งไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม หาก กกต.ตีความขยายอำนาจไปเรื่อยๆ แบบนี้ เป็นการจงใจใช้อำนาจขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น หาก กกต.ยังคงดึงดันที่จะดำเนินการตามช่องทางที่ผิดเช่นนี้ต่อไปจนส่งผลให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายที่ผิด ทางพรรคอนาคตใหม่ก็พร้อมที่จะดำเนินการเอาผิดต่อ กกต.ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต่อไป
"การที่ธนาธร ผม รวมถึงผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ เราเสนอตัวมาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เสนอนโยบายต่างๆ ด้วยอยากเข้ามาแก้ปัญหาประเทศที่สะสมยาวนาน เราปรารถนาดี อยากให้บ้านเมืองเดินหน้าสู่อนาคตแบบใหม่ และเราพร้อมตลอดเวลาสำหรับการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบต้องสุจริต เที่ยงธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ การใช้อำนาจในการตรวจสอบต้องไม่ถูกตกเป็นเครื่องมือสกัดกั้นไม่ให้ใครเข้าสภา หรือไม่ให้พรรคการเมืองหนึ่งดำเนินตามนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน การกลั่นแกล้งทางการเมือง ไม่ใช่กระทบแต่ต่อตัว ส.ส. คนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่กระทบคะแนนถึงคะแนนเสียงของประชาชนที่เลือกมาด้วย และที่สำคัญที่สุด คือ อย่านำเอาองค์กรอิสระ หรือองค์กรต่างๆ มาใช้เพื่อแรงจูงใจทางการเมือง
JJNY : 4in1 พท.เดินหน้าเอาผิดชาญวิทย์/อนค.เล็งฟ้องกลับกกต./อ.โกวิทชี้ไทยเปรียบอนุสาวรีย์ฯ/แบงก์ชาติหวั่นจีดีพีโตต่ำ3.8%
https://www.matichon.co.th/politics/news_1472338
“เพื่อไทย” เดินหน้า ร้องเอาผิด “ชาญวิทย์” ปมถือหุ้นสื่อ พร้อมร้องยุบพรรค พปชร.
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 30 เมษายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคพท. พร้อมด้วยนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค แถลงถึงกรณีการถือหุ้นสื่อของนายชาญวิทย์ วิภูศิริ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถือหุ้นสื่อ โดยนายปลอดประสพได้เซ็นเอกสารมอบอำนาจให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคไปดำเนินการกับนายชาญวิทย์ ต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมแถลงว่า
มี 5 ประเด็นหลักที่จะเสนอต่อสื่อมวลชน คือ
1. ฝ่ายรัฐบาลและทหารพูดเสมอว่าประเทศต้องปกครองภายใต้กฎหมาย ตนอยากจะจรรโลงสิ่งเหล่านี้
2. อยากร้องเรียนเรื่องการตัดสินคดีต่างๆที่ไม่มีความเท่าเทียม ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งตนอยากให้เกิดความมั่นใจในส่วนนี้
3. ตนจะร้องนายชาญวิทย์ กรณีถือหุ้นสื่อ
4. นายชาญวิทย์ และคณะกรรมการบริหารพรรคพปชร. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในลักษณะยอมรับแล้วว่าถือหุ้นสื่อจริง
และ 5. ตน และพรรคพท.ได้หารือกันแล้วโดยพรรคได้มอบหมายให้ตนดำเนินการให้จบสิ้นกระบวนความโดยการไปร้องนายชาญวิทย์ทั้งในสถานะส่วนตัว และในฐานะกรรมการบริหารพรรคพปชร.
ซึ่งการร้องเรียนนี้อาจทำให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ และการที่นายชาญวิทย์เป็นกรรมการบริหารพรรคอาจส่งผลต่อพรรคพปชร. ซึ่งตนจะยื่นร้องต่อ กกต.ให้ดำเนินการเลือกตั้งใหม่ และให้ กกต.พิจารณากรณีถือหุ้นสื่อหาก กกต.เห็นว่ามีความผิดจริงก็ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค พปชร.โดยตนได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายพรรคไปยื่นเรื่อง กกต.ในวันพรุ่งนี้เวลา 10.00 น.
ด้านนายชูศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีข้อพิสูจน์แล้ว คือ
1. ขณะรับสมัครรับเลือกตั้งนั้นนายชาญวิทย์เป็นเจ้าของและถือหุ้นในบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการสื่อทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 42(3) ดังนั้นนายชาญวิทย์ถือเป็นบุคคลเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามกฏหมาย
และ
2. บุคคลใดที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งนายชาญวิทย์ในฐานะกรรมการบริหารพรรคจะต้องเซ็นรับรองด้วยแสดงว่า กรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็น รับรู้ และส่งผู้สมัครโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ถือว่ากรรมการบริหารพรรคประทำผิดกฎหมายเสียเอง ด้วยเหตุนี้กรรมการบริหารพรรคจะต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายด้วย
ดังนั้นหาก กกต.วินิจฉัยว่ามีความผิด กกต.มีอำนาจที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยใช้ยุบพรรคโดยระหว่างนั้น กกต.จะต้องเพิกถอน สิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลนั้นเป็นการชั่วคราว และหากผู้สมัครมีโอกาสได้รับเลือกตั้งหรือมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งต้องระงับการประกาศผลการเลือกตั้งและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
อนาคตใหม่เล็งฟ้องกลับ กกต. เพราะหลายการกระทำอาจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
https://prachatai.com/journal/2019/04/82261
ปิยบุตรถาม กกต. หากใช้สูตรคำนวณ ส.ส. แบบ 27 พรรค ที่นั่งอนาคตใหม่จะหายไป 7-8 ที่ คะแนนดิบจะหายไป 6 แสนกว่า แบบนี้เสียงของอนาคตใหม่ไร้ความหมายหรือ จี้เปิดคะแนนรายหน่วยทั่วประเทศหลังพบพิรุธมากมาย เตือนขั้นตอนการสอบกรณีหุ้นธนาธรไม่ชอบด้วยกฎหมาย เล็งฟ้องกลับ ป.อาญา ม. 157
30 เม.ย. 2562 ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวใน 3 ประเด็นสำคัญคือ
1.การเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยึดกฎหมายอย่างเคร่งครัดในการคำนวณจำนวน ส.ส.ที่พรรคการเมืองต่างๆ พึงมี
2.การเปิดเผยคะแนนดิบแบบรายหน่วย
และ 3.กระบวนการพิจารณา กรณีการโอนหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
ปิยบุตรกล่าวว่าการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามแถลงข่าวล่าสุดของ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. เหมือนจะใช้สูตรที่เรียกย่อๆ ว่า 27 พรรค คือกระจายให้พรรคที่ได้คะแนนไม่ถึงจำนวน ส.ส.พึงมี ได้ ส.ส. ด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ทางพรรคอนาคตใหม่มีส่วนได้เสียโดยตรง เนื่องจากจะทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อหายไป 7-8 ที่นั่ง คะแนนดิบหายไป 6 แสนกว่าคะแนน นี่คือคะแนนประชาชนที่สนับสนุนเราหายไปทันที ตนยืนยันว่า การคำนวนจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมีอยู่สูตรเดียวเท่านั้น คือตามรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ คือรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (1), (2) และ (4) ซึ่งในมาตรา 91 (2) เขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามมีพรรคการเมืองใดมีจำนวน ส.ส.เกินกว่าจำนวน ส.ส.พึงมี กรณีเดียวที่เป็นข้อยกเว้น คือตามกรณี 91 (4) ถ้าได้จำนวน ส.ส.แบ่งเขตมากกว่าจำนวน ส.ส.พึงมี ให้ถือว่าได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตโดยไม่ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นกรณียกเว้นเพียงกรณีเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ไม่มีข้อยกเว้นใดทั้งสิ้น
"หลายท่านพยายามอธิบายว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องการให้ความสำคัญกับทุกคะแนนเสียง กับพรรคการเมืองที่ได้ 3-4 หมื่นคะแนนนั้นมีความหมาย ผมขอถามกลับว่า แล้ว 6 แสนกว่าคะแนนของเรา(พรรคอนาคตใหม่) ที่หายไปไม่มีความหมายอย่างนั้นเหรอ การที่ กกต.ไปค้นคว้าเอาความเห็นของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มาอ้าง โดยไม่ดูตัวบทของรัฐธรรมนูญนั้นใช้ไม่ได้ กรธ. ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ และอีกอย่างความเห็นของ กรธ.แต่ละคนก็ไม่ตรงกันด้วย ดังนั้น ถ้าจะคำนวนอย่างยุติธรรมจริงๆ ให้เดินตามรัฐธรมนูญ แต่ถ้าหากยืนยันว่าจะใช้แบบให้ 27 พรรคได้ ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้เสียหายโดยตรง และผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลำดับที่จะหายไป เราในฐานะผู้แทนประชาชนขอสงวนสิทธิ์ดำเนินคดีกับ กกต. ตามประมวมกฎหมายอาญา ม.157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมถึงกรณีฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งจะถูกดำเนินคดีไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาต (ป.ป.ช.) และไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป" ปิยบุตร กล่าว
ปิยบุตรกล่าวต่อว่า เรื่องที่สอง การเปิดคะแนนดิบรายหน่วย ล่าสุด รองเลขาฯ กกต. แถลงว่าเอกสารคะแนนรายหน่วยไม่ใช่ความลับ และอยู่ที่ กกต. จังหวัด ใครอยากได้ให้ไปขอ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ได้ให้ผู้สมัครไปร้องขอมาก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง คนละมาตรฐานการปฏิบัติ อย่างกรณี จ. นครปฐม เขต 1 เมื่อได้แล้วนำมาตรวจสอบลองรวมใหม่ ก็พบว่าชนะ 4 คะแนน จนทำให้ กกต. มีคำสั่งให้นับคะแนนใหม่ดังที่ผ่านมา หรือ เขต 2 กรุงเทพมหานคร เมื่อได้คะแนนรายหน่วยมาก็พบพบพิรุธ แบบฟอร์ม ส.ส 5/11 กับ ส.ส 5/18 ไม่ตรงกัน เราเห็นข้อผิดพลาดนี้ เพราะเราได้เห็นคะแนนดิบรายหน่วย นี่คือหลักฐานชัดว่ามีข้อผิดพลาดบกพร่องในการนับคะแนนจริงๆ ดังนั้น เมื่อคะแนนดิบรายหน่วยไม่ใช่ความลับ ท่านต้องมีคำสั่งลงไปที่หน่วยปฏิบัติว่าให้มีการเปิดเผย เมื่อไม่เปิดความลับจะเก็บไปทำไม เช่นที่ จ.นครราชสีมา เขต 1 ผู้สมัรคพรรคอนาคตใหม่ขอไปเป็นเดือนแล้วยังไม่ได้ กลายเป็นว่ามาตรฐานไม่ตรงกัน
"เพื่อทำให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน เราขอเรียกร้องให้ท่านสั่งเจ้าหน้าที่หน่วยลงไปว่าเปิดให้หมด และระหว่างมีคำสั่งนี้ ถ้ามีใครร้องขอให้เจ้าหน้าที่เปิดคะแนนต้องให้ดูทันที เพราะผมถือว่า รองเลขาธิการ กกต. พูดว่า ไม่เป็นความลับ ไม่มีเหตุต้องปกปิด ใครขอต้องให้ หรือจะอำนวยความสะดวกประชาชนกว่านี้คือ ไม่ต้องขอ ให้เปิดมาเลย เพราะถ้าหากกระทำหน้าที่ด้วยสุจริตเที่ยงธรรม การเปิดเผยนี่แหละจะเป็นเกราะป้องกันให้ท่าน" ปิยบุตร กล่าว
ประเด็นที่สาม ปิยบุตรกล่าวว่ากระบวนพิจารณาการถือหุ้นวี-ลัค มีเดีย ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีความผิดปกติหลายประการ ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนที่พรรคอนาคตใหม่พยายามยื่นหลักฐานในขั้นตอนการพิสูจน์มูลฟ้อง กลับปรากฏว่าคณะกรรมการ กกต. ปล่อยให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคอนาคตใหม่นั่งรอถึง 4 ชั่วโมง จนหมดเวลาราชการ โดยไม่เปิดโอกาสให้เข้าไปชี้แจงในห้องประชุม แต่กลับไปเรียกรับเอาเอกสารจากหน่วยงานต่างๆ แต่ยกเว้นทางผู้ถูกกล่าวหา และยังมีทิศทางการพิจารณาไปตามที่สำนักข่าวบางสำนักนำเสนออยู่ข้างเดียวด้วย นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการออกหนังสือเชิญให้นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ามาชี้แจงกับคณะกรรมการในเวลา 10.00 น.ของวันที่ 22 เมษายน แต่หนังสือกลับมาถึงบ้านของนางสมพรในเวลา 13.45 น.ของวันที่ 22 เมษายน มีหลักฐานเป็นใบลงทะเบียน EMS ซึ่งคนที่จะไปชี้แจงได้คงต้องนั่งไทม์แมชชีนกลับไป กลายเป็นเหตุให้ฝ่ายที่ถูกตรวจสอบไม่มีโอกาสในการชี้แจงแสดงหลักฐานเลยแม้แต่น้อย
"นอกจากนี้ในเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาที่ส่งมาถึงธนาธร ระบุว่า ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันส่งบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ ส่งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ จากการตรวจสอบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่บริษัท วี-ลัค มีเดีย ส่งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าท่านเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย ดังนั้นจึงเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ส่งเป็นผู้สมัคร ซึ่งตรงนี้ถามว่า 1. กกต. อ้างเอกสาร บอจ.5 ฉบับไหน ลงวันที่เท่าไหร่ไม่ยอมบอก ซึ่งเรายืนยันมาตลอดว่า การโอนหุ้นของธนาธรจบไปแล้วตั้งแต่ 8 ม.ค. และ 2.ข้อกล่าวหาตีขลุมไปเลยว่า พบว่าเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย นี่เป็นการแจ้งข้อกล่าวหาที่ไม่ละเอียด เป็นการฟ้องคลุมเครือ ไม่ชัด เหมือนการให้การบ้านมาแต่ก็ไม่บอกว่าให้ชี้แจงเรื่องอะไร ซึ่งตามกระบวนการทางอาญาปกติ ถ้าอัยการเขียนฟ้องให้มีความคลุมเครือเช่นนี้ จะถูกศาลไล่ให้ไปเขียนมาใหม่ และอาจส่งผลถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายในการแจ้งข้อกล่าวหาด้วย" ปิยบุตร กล่าว
ปิยบุตรกล่าวต่อว่า ตนได้เคยอธิบายชัดแล้วเรื่องอำนาจ ของ กกต. ว่าไม่มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายธนาธรในเวลานี้ เพราะ กกต.มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส ได้ตั้งแต่วันสมัครจนถึง 1 วันก่อนเลือกตั้งคือ 23 มี.ค. ถ้าตรวจไม่เสร็จก็จบ หมดเวลา ทุกคนได้เข้าไปสู่การเลือกตั้ง 24 มี.ค. แต่กระนั้น ถ้ายังไม่ประกาศผล พบเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร ตรวจสอบได้เฉพาะแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งกฎหมายเขียนชัดมากใน มาตรา 53 ว่า หากผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตพบ ผู้สมัครมีคุณลักษณะต้องห้าม และผู้สมัครนั้นอยู่ในลำดับได้รับการเลือกตั้งสามารถตรวจสอบได้เฉพาะแบบแบ่งเขต ในกรณีของผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ หรือธนาธร ถ้าจะตรวจสอบต้องรอเป็นการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ส. ซึ่งเมื่อเจอแล้วต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส่วนการที่มีข่าวว่าจะมีแจกใบส้มตาม ม.132 นั้น ก็แจกไม่ได้ เพราะใบส้มใช้กับกรณีเลือกตั้งไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม หาก กกต.ตีความขยายอำนาจไปเรื่อยๆ แบบนี้ เป็นการจงใจใช้อำนาจขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น หาก กกต.ยังคงดึงดันที่จะดำเนินการตามช่องทางที่ผิดเช่นนี้ต่อไปจนส่งผลให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายที่ผิด ทางพรรคอนาคตใหม่ก็พร้อมที่จะดำเนินการเอาผิดต่อ กกต.ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต่อไป
"การที่ธนาธร ผม รวมถึงผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ เราเสนอตัวมาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เสนอนโยบายต่างๆ ด้วยอยากเข้ามาแก้ปัญหาประเทศที่สะสมยาวนาน เราปรารถนาดี อยากให้บ้านเมืองเดินหน้าสู่อนาคตแบบใหม่ และเราพร้อมตลอดเวลาสำหรับการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบต้องสุจริต เที่ยงธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ การใช้อำนาจในการตรวจสอบต้องไม่ถูกตกเป็นเครื่องมือสกัดกั้นไม่ให้ใครเข้าสภา หรือไม่ให้พรรคการเมืองหนึ่งดำเนินตามนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน การกลั่นแกล้งทางการเมือง ไม่ใช่กระทบแต่ต่อตัว ส.ส. คนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่กระทบคะแนนถึงคะแนนเสียงของประชาชนที่เลือกมาด้วย และที่สำคัญที่สุด คือ อย่านำเอาองค์กรอิสระ หรือองค์กรต่างๆ มาใช้เพื่อแรงจูงใจทางการเมือง