JJNY : 4in1 พท.เดินหน้าเอาผิดชาญวิทย์/อนค.เล็งฟ้องกลับกกต./อ.โกวิทชี้ไทยเปรียบอนุสาวรีย์ฯ/แบงก์ชาติหวั่นจีดีพีโตต่ำ3.8%

“เพื่อไทย” เดินหน้า ร้องเอาผิด “ชาญวิทย์” ปมถือหุ้นสื่อ พร้อมร้องยุบพรรค พปชร.
https://www.matichon.co.th/politics/news_1472338

“เพื่อไทย” เดินหน้า ร้องเอาผิด “ชาญวิทย์” ปมถือหุ้นสื่อ พร้อมร้องยุบพรรค พปชร.

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 30 เมษายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคพท. พร้อมด้วยนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค แถลงถึงกรณีการถือหุ้นสื่อของนายชาญวิทย์ วิภูศิริ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถือหุ้นสื่อ โดยนายปลอดประสพได้เซ็นเอกสารมอบอำนาจให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคไปดำเนินการกับนายชาญวิทย์ ต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมแถลงว่า

มี 5 ประเด็นหลักที่จะเสนอต่อสื่อมวลชน คือ

1. ฝ่ายรัฐบาลและทหารพูดเสมอว่าประเทศต้องปกครองภายใต้กฎหมาย ตนอยากจะจรรโลงสิ่งเหล่านี้
2. อยากร้องเรียนเรื่องการตัดสินคดีต่างๆที่ไม่มีความเท่าเทียม ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งตนอยากให้เกิดความมั่นใจในส่วนนี้
3. ตนจะร้องนายชาญวิทย์ กรณีถือหุ้นสื่อ
4. นายชาญวิทย์ และคณะกรรมการบริหารพรรคพปชร. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในลักษณะยอมรับแล้วว่าถือหุ้นสื่อจริง
และ 5. ตน และพรรคพท.ได้หารือกันแล้วโดยพรรคได้มอบหมายให้ตนดำเนินการให้จบสิ้นกระบวนความโดยการไปร้องนายชาญวิทย์ทั้งในสถานะส่วนตัว และในฐานะกรรมการบริหารพรรคพปชร.

ซึ่งการร้องเรียนนี้อาจทำให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ และการที่นายชาญวิทย์เป็นกรรมการบริหารพรรคอาจส่งผลต่อพรรคพปชร. ซึ่งตนจะยื่นร้องต่อ กกต.ให้ดำเนินการเลือกตั้งใหม่ และให้ กกต.พิจารณากรณีถือหุ้นสื่อหาก กกต.เห็นว่ามีความผิดจริงก็ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค พปชร.โดยตนได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายพรรคไปยื่นเรื่อง กกต.ในวันพรุ่งนี้เวลา 10.00 น.

ด้านนายชูศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีข้อพิสูจน์แล้ว คือ

1. ขณะรับสมัครรับเลือกตั้งนั้นนายชาญวิทย์เป็นเจ้าของและถือหุ้นในบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการสื่อทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 42(3) ดังนั้นนายชาญวิทย์ถือเป็นบุคคลเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามกฏหมาย
และ
2. บุคคลใดที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งนายชาญวิทย์ในฐานะกรรมการบริหารพรรคจะต้องเซ็นรับรองด้วยแสดงว่า กรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็น รับรู้ และส่งผู้สมัครโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ถือว่ากรรมการบริหารพรรคประทำผิดกฎหมายเสียเอง ด้วยเหตุนี้กรรมการบริหารพรรคจะต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายด้วย

ดังนั้นหาก กกต.วินิจฉัยว่ามีความผิด กกต.มีอำนาจที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยใช้ยุบพรรคโดยระหว่างนั้น กกต.จะต้องเพิกถอน สิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลนั้นเป็นการชั่วคราว และหากผู้สมัครมีโอกาสได้รับเลือกตั้งหรือมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งต้องระงับการประกาศผลการเลือกตั้งและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่



อนาคตใหม่เล็งฟ้องกลับ กกต. เพราะหลายการกระทำอาจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
https://prachatai.com/journal/2019/04/82261

ปิยบุตรถาม กกต. หากใช้สูตรคำนวณ ส.ส. แบบ 27 พรรค ที่นั่งอนาคตใหม่จะหายไป 7-8 ที่ คะแนนดิบจะหายไป 6 แสนกว่า แบบนี้เสียงของอนาคตใหม่ไร้ความหมายหรือ จี้เปิดคะแนนรายหน่วยทั่วประเทศหลังพบพิรุธมากมาย เตือนขั้นตอนการสอบกรณีหุ้นธนาธรไม่ชอบด้วยกฎหมาย เล็งฟ้องกลับ ป.อาญา ม. 157

30 เม.ย. 2562 ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวใน 3 ประเด็นสำคัญคือ
1.การเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยึดกฎหมายอย่างเคร่งครัดในการคำนวณจำนวน ส.ส.ที่พรรคการเมืองต่างๆ พึงมี
2.การเปิดเผยคะแนนดิบแบบรายหน่วย
และ 3.กระบวนการพิจารณา กรณีการโอนหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

ปิยบุตรกล่าวว่าการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามแถลงข่าวล่าสุดของ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. เหมือนจะใช้สูตรที่เรียกย่อๆ ว่า 27 พรรค คือกระจายให้พรรคที่ได้คะแนนไม่ถึงจำนวน ส.ส.พึงมี ได้ ส.ส. ด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ทางพรรคอนาคตใหม่มีส่วนได้เสียโดยตรง เนื่องจากจะทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อหายไป 7-8 ที่นั่ง คะแนนดิบหายไป 6 แสนกว่าคะแนน นี่คือคะแนนประชาชนที่สนับสนุนเราหายไปทันที ตนยืนยันว่า การคำนวนจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมีอยู่สูตรเดียวเท่านั้น คือตามรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ คือรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (1), (2) และ (4) ซึ่งในมาตรา 91 (2) เขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามมีพรรคการเมืองใดมีจำนวน ส.ส.เกินกว่าจำนวน ส.ส.พึงมี กรณีเดียวที่เป็นข้อยกเว้น คือตามกรณี 91 (4) ถ้าได้จำนวน ส.ส.แบ่งเขตมากกว่าจำนวน ส.ส.พึงมี ให้ถือว่าได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตโดยไม่ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นกรณียกเว้นเพียงกรณีเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ไม่มีข้อยกเว้นใดทั้งสิ้น

"หลายท่านพยายามอธิบายว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องการให้ความสำคัญกับทุกคะแนนเสียง กับพรรคการเมืองที่ได้ 3-4 หมื่นคะแนนนั้นมีความหมาย ผมขอถามกลับว่า แล้ว 6 แสนกว่าคะแนนของเรา(พรรคอนาคตใหม่) ที่หายไปไม่มีความหมายอย่างนั้นเหรอ การที่ กกต.ไปค้นคว้าเอาความเห็นของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มาอ้าง โดยไม่ดูตัวบทของรัฐธรรมนูญนั้นใช้ไม่ได้ กรธ. ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ และอีกอย่างความเห็นของ กรธ.แต่ละคนก็ไม่ตรงกันด้วย ดังนั้น ถ้าจะคำนวนอย่างยุติธรรมจริงๆ ให้เดินตามรัฐธรมนูญ แต่ถ้าหากยืนยันว่าจะใช้แบบให้ 27 พรรคได้ ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้เสียหายโดยตรง และผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลำดับที่จะหายไป เราในฐานะผู้แทนประชาชนขอสงวนสิทธิ์ดำเนินคดีกับ กกต. ตามประมวมกฎหมายอาญา ม.157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมถึงกรณีฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งจะถูกดำเนินคดีไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาต (ป.ป.ช.) และไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป" ปิยบุตร กล่าว

ปิยบุตรกล่าวต่อว่า เรื่องที่สอง การเปิดคะแนนดิบรายหน่วย ล่าสุด รองเลขาฯ กกต. แถลงว่าเอกสารคะแนนรายหน่วยไม่ใช่ความลับ และอยู่ที่ กกต. จังหวัด ใครอยากได้ให้ไปขอ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ได้ให้ผู้สมัครไปร้องขอมาก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง คนละมาตรฐานการปฏิบัติ อย่างกรณี จ. นครปฐม เขต 1 เมื่อได้แล้วนำมาตรวจสอบลองรวมใหม่ ก็พบว่าชนะ 4 คะแนน จนทำให้ กกต. มีคำสั่งให้นับคะแนนใหม่ดังที่ผ่านมา หรือ เขต 2 กรุงเทพมหานคร เมื่อได้คะแนนรายหน่วยมาก็พบพบพิรุธ แบบฟอร์ม ส.ส 5/11 กับ ส.ส 5/18 ไม่ตรงกัน เราเห็นข้อผิดพลาดนี้ เพราะเราได้เห็นคะแนนดิบรายหน่วย นี่คือหลักฐานชัดว่ามีข้อผิดพลาดบกพร่องในการนับคะแนนจริงๆ ดังนั้น เมื่อคะแนนดิบรายหน่วยไม่ใช่ความลับ ท่านต้องมีคำสั่งลงไปที่หน่วยปฏิบัติว่าให้มีการเปิดเผย เมื่อไม่เปิดความลับจะเก็บไปทำไม เช่นที่ จ.นครราชสีมา เขต 1 ผู้สมัรคพรรคอนาคตใหม่ขอไปเป็นเดือนแล้วยังไม่ได้ กลายเป็นว่ามาตรฐานไม่ตรงกัน

"เพื่อทำให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน เราขอเรียกร้องให้ท่านสั่งเจ้าหน้าที่หน่วยลงไปว่าเปิดให้หมด และระหว่างมีคำสั่งนี้ ถ้ามีใครร้องขอให้เจ้าหน้าที่เปิดคะแนนต้องให้ดูทันที เพราะผมถือว่า รองเลขาธิการ กกต. พูดว่า ไม่เป็นความลับ ไม่มีเหตุต้องปกปิด ใครขอต้องให้ หรือจะอำนวยความสะดวกประชาชนกว่านี้คือ ไม่ต้องขอ ให้เปิดมาเลย เพราะถ้าหากกระทำหน้าที่ด้วยสุจริตเที่ยงธรรม การเปิดเผยนี่แหละจะเป็นเกราะป้องกันให้ท่าน" ปิยบุตร กล่าว

ประเด็นที่สาม ปิยบุตรกล่าวว่ากระบวนพิจารณาการถือหุ้นวี-ลัค มีเดีย ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีความผิดปกติหลายประการ ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนที่พรรคอนาคตใหม่พยายามยื่นหลักฐานในขั้นตอนการพิสูจน์มูลฟ้อง กลับปรากฏว่าคณะกรรมการ กกต. ปล่อยให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคอนาคตใหม่นั่งรอถึง 4 ชั่วโมง จนหมดเวลาราชการ โดยไม่เปิดโอกาสให้เข้าไปชี้แจงในห้องประชุม แต่กลับไปเรียกรับเอาเอกสารจากหน่วยงานต่างๆ แต่ยกเว้นทางผู้ถูกกล่าวหา และยังมีทิศทางการพิจารณาไปตามที่สำนักข่าวบางสำนักนำเสนออยู่ข้างเดียวด้วย นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการออกหนังสือเชิญให้นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ามาชี้แจงกับคณะกรรมการในเวลา 10.00 น.ของวันที่ 22 เมษายน แต่หนังสือกลับมาถึงบ้านของนางสมพรในเวลา 13.45 น.ของวันที่ 22 เมษายน มีหลักฐานเป็นใบลงทะเบียน EMS ซึ่งคนที่จะไปชี้แจงได้คงต้องนั่งไทม์แมชชีนกลับไป กลายเป็นเหตุให้ฝ่ายที่ถูกตรวจสอบไม่มีโอกาสในการชี้แจงแสดงหลักฐานเลยแม้แต่น้อย

"นอกจากนี้ในเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาที่ส่งมาถึงธนาธร ระบุว่า ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันส่งบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ ส่งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ จากการตรวจสอบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่บริษัท วี-ลัค มีเดีย ส่งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าท่านเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย ดังนั้นจึงเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ส่งเป็นผู้สมัคร ซึ่งตรงนี้ถามว่า 1. กกต. อ้างเอกสาร บอจ.5 ฉบับไหน ลงวันที่เท่าไหร่ไม่ยอมบอก ซึ่งเรายืนยันมาตลอดว่า การโอนหุ้นของธนาธรจบไปแล้วตั้งแต่ 8 ม.ค. และ 2.ข้อกล่าวหาตีขลุมไปเลยว่า พบว่าเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย นี่เป็นการแจ้งข้อกล่าวหาที่ไม่ละเอียด เป็นการฟ้องคลุมเครือ ไม่ชัด เหมือนการให้การบ้านมาแต่ก็ไม่บอกว่าให้ชี้แจงเรื่องอะไร ซึ่งตามกระบวนการทางอาญาปกติ ถ้าอัยการเขียนฟ้องให้มีความคลุมเครือเช่นนี้ จะถูกศาลไล่ให้ไปเขียนมาใหม่ และอาจส่งผลถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายในการแจ้งข้อกล่าวหาด้วย" ปิยบุตร กล่าว

ปิยบุตรกล่าวต่อว่า ตนได้เคยอธิบายชัดแล้วเรื่องอำนาจ ของ กกต. ว่าไม่มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายธนาธรในเวลานี้ เพราะ กกต.มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส ได้ตั้งแต่วันสมัครจนถึง 1 วันก่อนเลือกตั้งคือ 23 มี.ค. ถ้าตรวจไม่เสร็จก็จบ หมดเวลา ทุกคนได้เข้าไปสู่การเลือกตั้ง 24 มี.ค. แต่กระนั้น ถ้ายังไม่ประกาศผล พบเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัคร ตรวจสอบได้เฉพาะแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งกฎหมายเขียนชัดมากใน มาตรา 53 ว่า หากผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตพบ ผู้สมัครมีคุณลักษณะต้องห้าม และผู้สมัครนั้นอยู่ในลำดับได้รับการเลือกตั้งสามารถตรวจสอบได้เฉพาะแบบแบ่งเขต ในกรณีของผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ หรือธนาธร ถ้าจะตรวจสอบต้องรอเป็นการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ส. ซึ่งเมื่อเจอแล้วต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส่วนการที่มีข่าวว่าจะมีแจกใบส้มตาม ม.132 นั้น ก็แจกไม่ได้ เพราะใบส้มใช้กับกรณีเลือกตั้งไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม หาก กกต.ตีความขยายอำนาจไปเรื่อยๆ แบบนี้ เป็นการจงใจใช้อำนาจขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้น หาก กกต.ยังคงดึงดันที่จะดำเนินการตามช่องทางที่ผิดเช่นนี้ต่อไปจนส่งผลให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายที่ผิด ทางพรรคอนาคตใหม่ก็พร้อมที่จะดำเนินการเอาผิดต่อ กกต.ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต่อไป

"การที่ธนาธร ผม รวมถึงผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ เราเสนอตัวมาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เสนอนโยบายต่างๆ ด้วยอยากเข้ามาแก้ปัญหาประเทศที่สะสมยาวนาน เราปรารถนาดี อยากให้บ้านเมืองเดินหน้าสู่อนาคตแบบใหม่ และเราพร้อมตลอดเวลาสำหรับการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบต้องสุจริต เที่ยงธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ การใช้อำนาจในการตรวจสอบต้องไม่ถูกตกเป็นเครื่องมือสกัดกั้นไม่ให้ใครเข้าสภา หรือไม่ให้พรรคการเมืองหนึ่งดำเนินตามนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน การกลั่นแกล้งทางการเมือง ไม่ใช่กระทบแต่ต่อตัว ส.ส. คนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่กระทบคะแนนถึงคะแนนเสียงของประชาชนที่เลือกมาด้วย และที่สำคัญที่สุด คือ อย่านำเอาองค์กรอิสระ หรือองค์กรต่างๆ มาใช้เพื่อแรงจูงใจทางการเมือง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่