Avengers: Endgame: 11 ปี ... แห่งความหลัง [Spoil!]

By มาร์ตี้ แม็คฟราย
**บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง

11 ปี ยาวนานแค่ไหน ..

ถ้านับเป็นอายุเด็กคนหนึ่ง ตอนนี้เด็กคนนั้นจะเรียนอยู่ชั้นประถม 5 
ถ้านับจากช่วงมัธยม ในตอนนี้เขาคนนั้นก็จะเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัว 
ถ้านับจากช่วงเวลาเพิ่งเรียนจบ ตอนนี้เขาคนนั้นจะต้องมีอายุเลยเลขสาม และบางคนอาจจะเพิ่งมีลูกคนแรก 

11 ปี คือช่วงเวลาที่เราอยู่กับแฟรนไชส์หนังที่ชื่อว่า MCU (Marvel Cinematic Universe) ผ่านหนังกว่า 21 เรื่อง จะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้น เวลาที่เดินผ่านไปเรื่อย ๆ โดยเราไม่ได้สังเกต เผลอแปปเดียว ก็ผ่านไปแล้ว 11 ปี และตอนนี้ มันถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ด้วยหนังที่ชื่อว่า Avengers: Endgame

เมื่อแสงไฟในโรงถูกเปิด (จากการไปดูรอบสอง) อธิบายความรู้สึกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร มันทั้งอิ่มเอมในความรู้สึก เศร้ากับการสูญเสีย และใจหายที่ได้รู้ว่าเราได้เดินมาถึงจุดจบแล้วจริง ๆ แต่เอาเป็นว่า หนังเรื่องนี้ได้สร้างประสบการณ์พิเศษ ที่ไม่เคยมีหนังเรื่องใดทำได้มาก่อน 

ประสบการณ์ที่ว่าคือประสบการณ์ที่เราได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้เจอกับเหล่าตัวละครที่คิดถึง รวมถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ยังไม่เคยลืม ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความยาวนานของแฟรนไชส์นี้ จาก 11 ปีที่ผ่านไป ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนที่เสียเปล่า หนังทุกเรื่องผ่านการวางแผนมาอย่างดี ว่าการเกิดขึ้นของหนังแต่เรื่องนั้นเพื่ออะไร อะไรที่ว่าก็คือบทสรุปในหนังเรื่องนี้เอง 

เช่น มิติควอนตัม (ที่ดูเป็นเรื่องไม่สำคัญในทีแรก แต่กลายเป็นคีย์หลักของการเอาชนะธานอส), หลายตัวละครที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังเหลือบาดแผลกับคนที่ยังอยู่ และคราวนี้เขาได้โอกาสแก้ไขบาดแผลนั้น 

ตัวหนังเก็บตกรายละเอียดของประเด็นที่ยังค้างคาของตัวละครทุกตัวไว้ได้ดีมาก ทั้งความสัมพันธ์พ่อ-ลูกที่แผลยังไม่จางหายของ โทนี่ และ ฮาวเวิร์ด (พ่อ) รักแท้ที่หมดโอกาสใช้ชีวิตร่วมกันของ สตีฟ และ เพ็กกี้ แม้แต่คำพูดที่ดูไม่สำคัญอะไรของตัวละคร ยังสามารถนำมาสื่อถึงกันได้ เช่น ความอยากกินชีสเบอร์เกอร์ของลูกสาวโทนี่ สอดคล้องกับสิ่งที่โทนี่โหยหาและกินสิ่งนี้ในงานแถลงข่าว หลังจากรอดชีวิตจากการลักพาตัวใน Iron Man (2008) เพื่อสื่อว่าเลือดพ่อกับลูกสาวนั้นข้นแม้แต่ความชอบในเรื่องอาหาร 

ยังไม่รวมการย้อนเวลาผ่านมิติควอนตัมเข้าไปในสถานที่และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในหนังเรื่องก่อน ๆ ทำให้เราได้เจอเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เรายังไม่ลืม หรืออีกแง่ มันยังตราตรึงในความทรงจำ ที่สำคัญสิ่งนี้ได้นำพาให้เราได้เจอตัวละครที่เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยความรู้สึกที่คิดถึงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการปรากฏตัวของ เรเน่ รุสโซ ในบทราชินีแห่งแอสการ์ด และ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด ในบทไฮดร้าที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้บทบาทผู้บังคับบัญชาหน่วยชิลด์ ก็เป็นการปรากฏตัวที่เกิดคาด อย่างที่ชวนให้คิดถึงและตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง ตามประสาคอหนังเก่า

สิ่งหนึ่งที่มาร์เวลมีมาตลอด 11 ปี คือพัฒนาการและความเป็นมนุษย์ของตัวละคร แม้ว่าตัวละครนั้นจะมีพลังทำลายล้างสูงปานใด เป็นเทพจากโลกไหน พวกเขาก็ยังมีหัวใจ พวกเขายังเป็นมนุษย์ และแสดงออกด้วยความเป็นมนุษย์ ซึ่งไม่มีอะไรชัดเจนกว่าบาดแผลจากการสูญเสีย จนปล่อยเวลาหมดไปกับการเมาเบียร์จนตัวอ้วนฉุของ ธอร์ ความไม่ปล่อยวางในการแบกรับความทุกข์ทุกอย่างไว้บนบ่าอย่างไม่รู้ตัวของ โทนี่ จนทำให้ตัวเขาเองเหนื่อยแสนสาหัสแต่ไม่แสดงออกมา 

ไม่แปลกเลยที่การตายของโทนี่ในช่วงท้ายเรื่อง จะสามารถเรียกน้ำตาออกมาได้ ความผูกพันของตัวละครกับคนดูที่ยาวนานก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะเราได้เห็นตัวละครนี้ผ่านเรื่องราวทั้งสุขและทุกข์มาเยอะ ตัวละครนี้แบกรับอะไรไว้เยอะเหลือเกิน ฉากนี้จึงไม่ใช่ฉากการตายของฮีโร่พลังเยอะ แต่มันคือฉากการตายของมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องคนที่เขารัก และเขาเหนื่อยเหลือเกิน จนเราต้องยอมรับว่าตอนนี้มันถึงเวลาที่เขาต้องพักผ่อนแล้วจริง ๆ 

มันจึงเป็นฉากการตาย ที่หากตัดเรื่องที่ว่ามันเป็นหนังฮีโร่ออกไป ยังไงมันก็เป็นฉากการตายที่สร้างความสะเทือนใจได้น่าจดจำอยู่ดี

ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลที่หลายคนบอกและคิดตรงกันว่า Endgame ไม่ใช่หนังที่เป็นบทสรุปของ Avengers: Infinity War (2018) แต่มันคือบทสรุปของเรื่องราวตลอด 11 ปี กับหนัง 21 เรื่องอย่างแท้จริง ซึ่งคนที่จะได้ประโยชน์สูงสุด ก็คือเหล่าแฟน ๆ ทั้งคอมมิคและหนัง ที่ติดตามมาตลอดตั้งแต่แรกเริ่ม 

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้จึงเป็นการคืนกำไรให้กับแฟน ๆ ที่ติดตามมาตลอด อย่างคุ้มค่าที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่เราที่รักมาร์เวล แต่มาร์เวลก็คงรักแฟน ๆ ของเขาไม่น้อยไปกว่ากัน

เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่า เควิน ไฟกี หัวเรือใหญ่แห่งมาร์เวล สตูดิโอ และทีมงานผู้สร้างสรรค์ทั้งหมดเก่งจริง ๆ ที่สามารถวางแผนระยะยาวกับหนังทั้ง 21 เรื่อง แล้วนำมาสู่บทสรุปที่น่าประทับใจขนาดนี้ จนแฟรนไชส์นี้ไม่ใช่แค่เป็นแฟรนไชส์ทำเงินสูงสุดในโลกเท่านั้น แต่มันได้กลายเป็นบทบันทึกใหม่แห่งยุคสมัยของวงการภาพยนตร์ ที่ได้อุบัติขึ้นแล้ว และแน่นอนว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นที่กล่าวถึงและเป็นหนึ่งประวัติศาสตร์ภาพยนตร์คนรุ่นหลังจะได้รับรู้

คล้ายกับที่เราเกิดไม่ทัน แต่ได้รับรู้ยุคของหนังบล็อกบัสเตอร์ยุค 70 ที่นำโดย Jaws (1975) และ Star Wars (1977) ของสองตำนานอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก และ จอร์จ ลูคัส ต่างกันก็ตรงที่คราวนี้ เราได้อยู่ในช่วงเวลาที่เป็นบทบันทึกของยุคสมัยแล้ว ณ ตอนนี้เอง ซึ่งเราได้เจอกับปรากฏการณ์นี้ด้วยตัวเอง ในยุคของหนังฮีโร่ ยุคของ Avengers ยุคของ Marvel

เราไม่อาจบอกว่า Avengers: Endgame ว่าเป็นหนังฮีโร่ที่ดีที่สุดได้ เพราะตัวหนังก็มีจุดบกพร่องอยู่แต่มันถูกกลบด้วยความพลิกผันของเนื้อเรื่องและอะไรต่อมิอะไรที่หนังเซอร์วิสเข้ามาจนลืมข้อบกพร่องนั้นเสียสนิท และเอาเข้าจริง มีหนังฮีโร่ที่ดีกว่านี้หากเปรียบในด้านศิลปะในศาสตร์ของภาพยนตร์ แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือหนังฮีโร่ที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับเราได้มากที่สุด ในทุกห้วงความรู้สึกเท่าที่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งจะให้ได้ 

และทุกครั้งที่เรานึกถึง ประโยคอย่าง ‘Avengers … Assemble’ ก็คงเป็นประโยคที่พาให้หัวใจแฟน ๆ ไปถึงฝั่งฝันของห้วงความรู้สึกมากที่สุดประโยคหนึ่งในชีวิตการดูหนัง

ความรู้สึกแบบนี้รึเปล่า? ที่ทำให้เป็นประสบการณ์การดูหนังที่น่าจดจำครั้งหนึ่งในชีวิต 

ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่