วันนี้ ผมได้มีโอกาสคุยกับคุณพ่อเรื่องที่ผมอยากจะทำความสะอาดชั้นกลาง ที่เชื่องระหว่างชั้น 1 และชั้น 2 แต่สิ่งที่คุณพ่อบอกกับผม คืออยากจะทำอะไรก็ทำได้เลย แต่ในส่วนพื้นที่หลังบ้านที่เขาใช้ดูทีวี และจะกั้นห้องนั้น ห้ามยุ่งอะไรเด็ดขาด
(พื้นที่ส่วนหลังบ้าน เมื่อก่อนเป็นห้องครัว ด้านหลังที่คุณพ่อนั่งเป็นซิ้งล้างจาน ซึ่งตอนนี้สภาพดูไม่ได้ มีแมลง หนอน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนนึกออก มีเกือบทั้งหมด)
เราคุยกันนานระดับหนึ่ง จนกระทั่งผมน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว เขาตะโกนใส่ผม และบอกว่าไม่อยากให้มาพูดแบบนี้ อย่าบีบเขาอีก เขาอยากจะอยู่แบบนี้ และไม่อยากจะให้ยุ่งอะไรกับของๆ เขาทั้งนั้น บ้างนอกนั่นอยากจะทำอะไรก็ทำเลย แต่อะไรก็เป็นของเขาก็ห้ามยุ่งเช่นเดิม)
ทุกวันนี้บ้านของผมนั้น รกมากๆ หากนึกไม่ออกและถ้าผมจะบอกว่าเหมือนกันกับ 'โรงงานเก็บของเก่า' เล็กๆ สักโรงงานหนึ่ง ผมว่ามันตรงเผง
คุณแม่ของผม ท่านเป็นหนี้ (a lot) หลังจากที่ธุรกิจของคุณพ่อผมล้มลง เมื่อผมอยู่ประถม 4 แม่ของผมก็เริ่มที่จะประกอบธุรกิจของตัวเอง เช่น ร้านอาหาร (ผัดไท, ตามสั่ง, ก๋วยเตี๋ยว, โจ๊ก, หมูสะเต๊ะ) ร้านเสริมสวย ร้านขนม ร้านเย็บผ้า เหลือร้านนวดที่เกือบจะลองทำ แต่ยัง
คุณพ่อเล่าว่าส่วนหนึ่งที่ธุรกิจของเขาล้มนั้น ตอนที่เขาต้องการเงินที่จะนำมาหมุน คุณแม่ได้นำทรัพย์สินของครอบครัวไปจำนำ และนำไปใช้ในธุรกิจของเขา
(ส่วนนี้ผมไม่แน่ใจว่าจริงแค่ไหน พวกท่านไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่นั้นจนปัจจุบัน แม้จะอยู่ที่บ้านหลังเดียวกัน)
พี่สาวคนโตของผมแต่งงาน และย้ายไปทำงานที่เมืองนอกมาตั้งแต่ปี 2004 กลับบ้านบ้างครั้งคราว แล้วแต่โอกาส
พี่สาวคนที่สอง มีหน้าที่การงานที่ดี เงินเดือนสูง พอจุเจือครอบครัว และให้เงินเดือนคุณพ่อคุณแม่ได้
พี่สาวคนที่สาม เป็นคุณครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง กลับบ้านบ้างเป็นครั้งคราวเช่นกัน
2 ปีที่แล้วพี่สาวคนที่ 2 ของผมทนอยู่ที่บ้านไม่ไหว ด้วยสภาพบ้าน และสภาพแวดล้อม เขาตัดสินใจผ่อนคอนโดแห่งหนึ่ง และย้ายออกไป
ผมเป็นน้องคนสุดท้อง มาพร้อมด้วยโรคซึมเศร้าเต็มรูปแบบ (ไม่ทราบว่าโรคซึมเศร้ามีกี่สาขา แต่มั่นใจว่าต้องเป็นสักอย่างหนึ่ง)
ผมมีความคิดที่อยากหายไปทุกๆ วัน (เว้นคำว่าฆ่าตัวตายไว้ ทุกคนใช้บ่อยแล้ว) ผมไม่คิดว่าการที่จะอยู่บ้านหลังนี้ต่อ เป็นความคิดที่ดี
แต่การออกไปอยู่หอ ก็ยังไม่ใช่ความคิดที่ดีอีกเช่นกัน นั่นเพราะ
คุณพ่อ กับคุณแม่ อายุเกือบจะถึง 70 แล้ว เรียกได้ว่าไล่กันมาติดๆ
ตุลาคมปีที่แล้ว คุณแม่ของผมถูกคนในระแวกบ้านทำร้าย แน่นอนว่าแจ้งความแล้ว อยากให้ช่วยเดากันว่าเขาช่วยดำเนินคดีให้มั้ย
ผมตัดสินใจเดินไปคุยกับเขาในเช้ามืดวันนั้น เขาบอกผมว่าไม่ใช่เรื่องของผม พร้อมกับหันมีดมาใส่
ผมเครียด และทำอะไรไม่ถูก ทุกครั้งที่ผมจะทำอะไร เดินไปไหน เล่นเกมอะไรอยู่ หน้าของเขาจะลอยมา พร้อมกับข้อความในหัวว่าคุณแม่โดนคนพวกนี้ทำร้าย
ผมไม่สามารถออกไปไหน อยู่หอ หรืออยากจะไปทำงาน Part time เพราะมันใช้เวลานาน ถ้าพ่อของผมอยากจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยว นั่นหมายถึงเขาต้องเดินไปซื้อทุกๆ วัน ด้วยขาที่แย่ๆ ของเขา (ทุกวันนี้เดินกะเผลก อีกนิดนึงอยากแนะนำไม้เท้าสลักลายเจมส์ บอนด์ให้ จะได้ไม่เขิน)
บ้านของผม เละมากๆ เหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าผมอยากมีชีวิตที่ดี อยากมีบ้านสวยๆ แต่คุณพ่อ คุณแม่ไม่ให้ความร่วมมือ และอยากจะเก็บทุกอย่างที่เป็นสมบัติของเขาต่อไป ไม่ระบายออก (ทั้งที่ผมมั่นใจว่า คงไม่ได้ใช้จริงๆ นะ เห็นวางมาหลายปี บางชิ้นสนิมนี่เขรอะ)
ผมอยากหายไป ผมอยู่ออกไปอยู่ข้างนอก อยากไปอยู่หอ อยากมีสังคม อยากมีชีวิตในรั้วมหา'ลัย แต่ผมออกจากบ้านมาไม่ได้เพราะผมเป็นห่วงคุณพ่อ กับคุณแม่
พวกเขาฟังผมในตอนที่ผมอธิบาย จนกระทั่งวันนี้เขาคงทนไม่ไหว และบอกผมว่าให้อยู่ในส่วนของตัวเอง และอย่ายุ่งกับของๆ เขา
คุณแม่เป็นหนี้ ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าเงินพอใช้มั้ย เพราะเงินที่พี่คนที่สองส่งมาให้เขานำมาใช้หนี้ทุกเดือน
คุณแม่ยืมเงินผม ผมเองก็แทบไม่มีเงินซื้อข้าว บางครั้งก็อด ไม่ก็ซื้อมาม่ามาตุนไว้ ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมไม่ซีเรียส (แต่ปัญหาคือผมต้องใช้เป็นเงินสมัครค่าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะกู้ กยศ. ก็ยังมีค่าสมัครอยู่หลักพัน)
ผมอยากจัดบ้าน ผมอยากทำให้ชีวิตของคนในบ้านดีขึ้น พี่สาวกลับมาที่บ้านบ่อยขึ้น เราทุกคนนั่งทานข้าวที่โต๊ะด้วยกัน 6 คนเหมือนเมื่อก่อน
หวังว่าคุณพ่อจะลืมเรื่องในอดีต และเริ่มที่จะปรับความเข้าใจกับคุณแม่ หวังว่าคุณแม่จะหาทางออก และเลิกบุ่มบ่ามที่จะลงทุนทำธุรกิจโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาหน้าตายังไง
อยากจะให้พี่สาวทั้ง 3 คนพาผมไปเที่ยวบ่อยขึ้น หวังว่าทุกสิ่งที่ผมคิดจะเป็นความจริงเข้าสักวันหนึ่ง แค่ผมอยากมีบ้านสวยๆ และมีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนแต่ก่อน
ผมบอกกับตัวเองทุกวันว่าผมไม่ได้ขอมากไป เพียงแต่ทุกสิ่งอาจเป็นได้แค่ความคิด หรือจินตนาการที่ทำให้ผมหลอกตัวเองอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
มันจะยากแค่ไหน กับการที่เริ่มลงมือทำ จัดบ้าน ปรับความเข้าใจ หรือกระทั่งกลับไปเรียนต่อ หลังจากที่ผมทำตัวเหลวไหล และคิดว่าโลกใบนี้หมุนรอบตัวของผมเอง
บางครั้งผมก็ไม่ทราบว่าตัวเองพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง แต่ทุกอย่างมันสะสม และออกมาเป็นผลลัพท์ที่ผมไม่อยากให้เกิด
ทุกครั้งที่ผมวาดฝัน พร้อมอธิบายให้กับคนๆ หนึ่งที่คอยอยู่กับผมมาโดยตลอดฟัง ผมมักจะมีความสุขอยู่เสมอ ที่อย่างน้อยเธอคนนี้ก็ยังคอยอยู่ข้างผม
สิ่งที่อยู่รอบตัวผม ผมไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟัง เพราะทุกคนอาจมองว่าน่าเบื่อ หรือกระทั่งเปลี่ยนเรื่องคุย หรืออาจจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง พร้อมกับบอกว่า "เข้าใจแล้วใช่มั้ย?"
ผมไม่กล้าแม้แต่อยากจะลองหาจิตแพทย์ เพราะผมไม่คิดว่าเขาจะทนฟังเรื่องของผมได้
ผมไม่กล้าแม้แต่จะหายไป เพราะพี่สาวคนโตบอกผมไว้ว่า อย่าทำร้ายคนในครอบครัวด้วยการหายไปเลย
ผมอยากจะทราบว่ามีใครที่มีปัญหาหนักกว่าผมไหม ผมจะได้บอกกับตัวเองว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ กับเรื่องเล็กแค่นี้ทำไมยังแก้ปัญหาเองไม่ได้
ผมอ่อนแอ ผมต้องการใครสักคนช่วย แต่ผมไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปาก
ผมว่าผมอยากจะพอแล้ว แต่มันยาก สำหรับผมที่แค่อยากจะมีบ้านดีๆ พร้อมกับพี่สาวของผมกลับมาหาที่บ้านบ่อยๆ และคุณพ่อ คุณแม่ที่คอยทำอาหารให้ผมเหมือนเมื่อสมัยก่อน ผมแค่อยากจะให้พวกเขาเข้าใจผมมากขึ้น
____________________________________________________________________________________
ผมอาจจะไม่ได้กลับมาอ่านข้อความที่อาจจะมีคนเข้ามาอ่าน และแสดงความคิดเห็น ผมเคยตั้งกระทู้เล่าเรื่องของตัวเองแบบนี้ไว้ แต่มีคนๆ หนึ่งพูดว่ามันเป็นเรื่องที่เล็กน้อย และไร้สาระ ผมแค่อยากจะเข้ามาระบายเท่านั้น แค่อยากให้มีคนรับรู้ผมก็พอใจแล้วครับ
ขอบคุณที่อ่านจนถึงตอนนี้ ผมไม่ทราบว่าเรื่องที่ผมเขียนจะมีคนที่ช่วยอ่านเรื่องของผมกันกี่คนแต่ผมขอบคุณจริงๆ อย่ามองเป็นเรื่องไร้สาระนะครับ ผมขอแค่นั้น
ผมควรจะใช้ชีวิตยังไงต่อ
คุณแม่ของผม ท่านเป็นหนี้ (a lot) หลังจากที่ธุรกิจของคุณพ่อผมล้มลง เมื่อผมอยู่ประถม 4 แม่ของผมก็เริ่มที่จะประกอบธุรกิจของตัวเอง เช่น ร้านอาหาร (ผัดไท, ตามสั่ง, ก๋วยเตี๋ยว, โจ๊ก, หมูสะเต๊ะ) ร้านเสริมสวย ร้านขนม ร้านเย็บผ้า เหลือร้านนวดที่เกือบจะลองทำ แต่ยัง
คุณพ่อเล่าว่าส่วนหนึ่งที่ธุรกิจของเขาล้มนั้น ตอนที่เขาต้องการเงินที่จะนำมาหมุน คุณแม่ได้นำทรัพย์สินของครอบครัวไปจำนำ และนำไปใช้ในธุรกิจของเขา
(ส่วนนี้ผมไม่แน่ใจว่าจริงแค่ไหน พวกท่านไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่นั้นจนปัจจุบัน แม้จะอยู่ที่บ้านหลังเดียวกัน)
พี่สาวคนโตของผมแต่งงาน และย้ายไปทำงานที่เมืองนอกมาตั้งแต่ปี 2004 กลับบ้านบ้างครั้งคราว แล้วแต่โอกาส
พี่สาวคนที่สอง มีหน้าที่การงานที่ดี เงินเดือนสูง พอจุเจือครอบครัว และให้เงินเดือนคุณพ่อคุณแม่ได้
พี่สาวคนที่สาม เป็นคุณครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง กลับบ้านบ้างเป็นครั้งคราวเช่นกัน
2 ปีที่แล้วพี่สาวคนที่ 2 ของผมทนอยู่ที่บ้านไม่ไหว ด้วยสภาพบ้าน และสภาพแวดล้อม เขาตัดสินใจผ่อนคอนโดแห่งหนึ่ง และย้ายออกไป
ผมเป็นน้องคนสุดท้อง มาพร้อมด้วยโรคซึมเศร้าเต็มรูปแบบ (ไม่ทราบว่าโรคซึมเศร้ามีกี่สาขา แต่มั่นใจว่าต้องเป็นสักอย่างหนึ่ง)
ผมมีความคิดที่อยากหายไปทุกๆ วัน (เว้นคำว่าฆ่าตัวตายไว้ ทุกคนใช้บ่อยแล้ว) ผมไม่คิดว่าการที่จะอยู่บ้านหลังนี้ต่อ เป็นความคิดที่ดี
แต่การออกไปอยู่หอ ก็ยังไม่ใช่ความคิดที่ดีอีกเช่นกัน นั่นเพราะ
คุณพ่อ กับคุณแม่ อายุเกือบจะถึง 70 แล้ว เรียกได้ว่าไล่กันมาติดๆ
ตุลาคมปีที่แล้ว คุณแม่ของผมถูกคนในระแวกบ้านทำร้าย แน่นอนว่าแจ้งความแล้ว อยากให้ช่วยเดากันว่าเขาช่วยดำเนินคดีให้มั้ย
ผมตัดสินใจเดินไปคุยกับเขาในเช้ามืดวันนั้น เขาบอกผมว่าไม่ใช่เรื่องของผม พร้อมกับหันมีดมาใส่
ผมเครียด และทำอะไรไม่ถูก ทุกครั้งที่ผมจะทำอะไร เดินไปไหน เล่นเกมอะไรอยู่ หน้าของเขาจะลอยมา พร้อมกับข้อความในหัวว่าคุณแม่โดนคนพวกนี้ทำร้าย
ผมไม่สามารถออกไปไหน อยู่หอ หรืออยากจะไปทำงาน Part time เพราะมันใช้เวลานาน ถ้าพ่อของผมอยากจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยว นั่นหมายถึงเขาต้องเดินไปซื้อทุกๆ วัน ด้วยขาที่แย่ๆ ของเขา (ทุกวันนี้เดินกะเผลก อีกนิดนึงอยากแนะนำไม้เท้าสลักลายเจมส์ บอนด์ให้ จะได้ไม่เขิน)
บ้านของผม เละมากๆ เหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าผมอยากมีชีวิตที่ดี อยากมีบ้านสวยๆ แต่คุณพ่อ คุณแม่ไม่ให้ความร่วมมือ และอยากจะเก็บทุกอย่างที่เป็นสมบัติของเขาต่อไป ไม่ระบายออก (ทั้งที่ผมมั่นใจว่า คงไม่ได้ใช้จริงๆ นะ เห็นวางมาหลายปี บางชิ้นสนิมนี่เขรอะ)
ผมอยากหายไป ผมอยู่ออกไปอยู่ข้างนอก อยากไปอยู่หอ อยากมีสังคม อยากมีชีวิตในรั้วมหา'ลัย แต่ผมออกจากบ้านมาไม่ได้เพราะผมเป็นห่วงคุณพ่อ กับคุณแม่
พวกเขาฟังผมในตอนที่ผมอธิบาย จนกระทั่งวันนี้เขาคงทนไม่ไหว และบอกผมว่าให้อยู่ในส่วนของตัวเอง และอย่ายุ่งกับของๆ เขา
คุณแม่เป็นหนี้ ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าเงินพอใช้มั้ย เพราะเงินที่พี่คนที่สองส่งมาให้เขานำมาใช้หนี้ทุกเดือน
คุณแม่ยืมเงินผม ผมเองก็แทบไม่มีเงินซื้อข้าว บางครั้งก็อด ไม่ก็ซื้อมาม่ามาตุนไว้ ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมไม่ซีเรียส (แต่ปัญหาคือผมต้องใช้เป็นเงินสมัครค่าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะกู้ กยศ. ก็ยังมีค่าสมัครอยู่หลักพัน)
ผมอยากจัดบ้าน ผมอยากทำให้ชีวิตของคนในบ้านดีขึ้น พี่สาวกลับมาที่บ้านบ่อยขึ้น เราทุกคนนั่งทานข้าวที่โต๊ะด้วยกัน 6 คนเหมือนเมื่อก่อน
หวังว่าคุณพ่อจะลืมเรื่องในอดีต และเริ่มที่จะปรับความเข้าใจกับคุณแม่ หวังว่าคุณแม่จะหาทางออก และเลิกบุ่มบ่ามที่จะลงทุนทำธุรกิจโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาหน้าตายังไง
อยากจะให้พี่สาวทั้ง 3 คนพาผมไปเที่ยวบ่อยขึ้น หวังว่าทุกสิ่งที่ผมคิดจะเป็นความจริงเข้าสักวันหนึ่ง แค่ผมอยากมีบ้านสวยๆ และมีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนแต่ก่อน
ผมบอกกับตัวเองทุกวันว่าผมไม่ได้ขอมากไป เพียงแต่ทุกสิ่งอาจเป็นได้แค่ความคิด หรือจินตนาการที่ทำให้ผมหลอกตัวเองอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
มันจะยากแค่ไหน กับการที่เริ่มลงมือทำ จัดบ้าน ปรับความเข้าใจ หรือกระทั่งกลับไปเรียนต่อ หลังจากที่ผมทำตัวเหลวไหล และคิดว่าโลกใบนี้หมุนรอบตัวของผมเอง
บางครั้งผมก็ไม่ทราบว่าตัวเองพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง แต่ทุกอย่างมันสะสม และออกมาเป็นผลลัพท์ที่ผมไม่อยากให้เกิด
ทุกครั้งที่ผมวาดฝัน พร้อมอธิบายให้กับคนๆ หนึ่งที่คอยอยู่กับผมมาโดยตลอดฟัง ผมมักจะมีความสุขอยู่เสมอ ที่อย่างน้อยเธอคนนี้ก็ยังคอยอยู่ข้างผม
สิ่งที่อยู่รอบตัวผม ผมไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟัง เพราะทุกคนอาจมองว่าน่าเบื่อ หรือกระทั่งเปลี่ยนเรื่องคุย หรืออาจจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง พร้อมกับบอกว่า "เข้าใจแล้วใช่มั้ย?"
ผมไม่กล้าแม้แต่อยากจะลองหาจิตแพทย์ เพราะผมไม่คิดว่าเขาจะทนฟังเรื่องของผมได้
ผมไม่กล้าแม้แต่จะหายไป เพราะพี่สาวคนโตบอกผมไว้ว่า อย่าทำร้ายคนในครอบครัวด้วยการหายไปเลย
ผมอยากจะทราบว่ามีใครที่มีปัญหาหนักกว่าผมไหม ผมจะได้บอกกับตัวเองว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ กับเรื่องเล็กแค่นี้ทำไมยังแก้ปัญหาเองไม่ได้
ผมอ่อนแอ ผมต้องการใครสักคนช่วย แต่ผมไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปาก
ผมว่าผมอยากจะพอแล้ว แต่มันยาก สำหรับผมที่แค่อยากจะมีบ้านดีๆ พร้อมกับพี่สาวของผมกลับมาหาที่บ้านบ่อยๆ และคุณพ่อ คุณแม่ที่คอยทำอาหารให้ผมเหมือนเมื่อสมัยก่อน ผมแค่อยากจะให้พวกเขาเข้าใจผมมากขึ้น
____________________________________________________________________________________
ผมอาจจะไม่ได้กลับมาอ่านข้อความที่อาจจะมีคนเข้ามาอ่าน และแสดงความคิดเห็น ผมเคยตั้งกระทู้เล่าเรื่องของตัวเองแบบนี้ไว้ แต่มีคนๆ หนึ่งพูดว่ามันเป็นเรื่องที่เล็กน้อย และไร้สาระ ผมแค่อยากจะเข้ามาระบายเท่านั้น แค่อยากให้มีคนรับรู้ผมก็พอใจแล้วครับ
ขอบคุณที่อ่านจนถึงตอนนี้ ผมไม่ทราบว่าเรื่องที่ผมเขียนจะมีคนที่ช่วยอ่านเรื่องของผมกันกี่คนแต่ผมขอบคุณจริงๆ อย่ามองเป็นเรื่องไร้สาระนะครับ ผมขอแค่นั้น