กลับมารีวิวกระทู้ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะอีสานใต้ต่อกัมพูชาตอนเหนือกันต่อเป็นตอนที่ 3 ซึ่งในตอนนี้จะเป็นการบอกเล่าประสบการณ์ของการเดินทางท่องเที่ยววันที่ 5 - 6 ของผมในทริปนี้ โดยไปชมปราสาทหินในเขตจังหวัดสระแก้วนะครับ หลังจากผมตระเวนไปชมปราสาทหินในจังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์มาแล้ว 4 วัน รู้สึกช่วงนี้ดื่มด่ำกับปราสาทขอมเป็นพิเศษจังเลยทุกวันต้องไปชมปราสาท 555
ก่อนอื่นไปรู้จักการเดินทางท่องเที่ยวของผมในทริปนี้ก่อนครับว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง โดยผมได้แบ่งทริปการเดินทางของผมในครั้งนี้เป็นดังนี้
วันที่ 1 : เดินทางจากกรุงเทพฯ – บุรีรัมย์ เที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์
วันที่ 2 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอละหานทราย โนนดินแดง และปะคำ และชมการแสดง
แสงสีเสียงในงานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง
วันที่ 3 : เที่ยวปราสาทหินในเขตบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ และอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และร่วมชมขบวนแห่ประเพณีขึ้น
เขาพนมรุ้ง
วันที่ 4 : เที่ยวปราสาทหินในเขตอำเภอปราสาท สังขะ และบัวเชดของจังหวัดสุรินทร์
วันที่ 5 : เดินทางจากสุรินทร์ไปจังหวัดสระแก้ว และเที่ยวปราสาทหินในจังหวัดสระแก้ว
วันที่ 6 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสระแก้ว (ต่อ)
วันที่ 7 : เดินทางไปเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา และเที่ยวปราสาทหินในเมืองเสียมเรียบ
วันที่ 8 : เที่ยวปราสาทหินกลุ่มหริหราลัย และปราสาทหินรายทางระหว่างทางจากเสียมเรียบไปกำปงธม
วันที่ 9 : เที่ยวกลุ่มปราสาทสมโบร์ไพรกุกที่เมืองกำปงธม
วันที่ 10 : เดินทางไปเมืองพระตะบอง และเที่ยวปราสาทหินในเมืองพระตะบอง
วันที่ 11 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองพระตะบอง
วันที่ 12 : เที่ยวกลุ่มปราสาทหินบันทายฉมาร์ที่เมืองบันเตียเมียนเจย
วันที่ 13 : เที่ยวเก็บตกในเมืองพระตะบอง และเดินทางกลับบ้าน
ถ้าเข้าใจข้อมูลการเดินทางของผมแล้ว พร้อมแล้วก็ Let go.... กันเลย
วันที่ 5 : เดินทางจากสุรินทร์ไปจังหวัดสระแก้วและเที่ยวปราสาทหินในจังหวัดสระแก้ว
วันนี้ผมเช็คเอ้าท์จากที่พักเร็วหน่อย 7 โมงกว่าก็รีบขี่รถมอเตอร์ไซค์จากที่พักไปยังตัวเมืองบุรีรัมย์ โดยใช้ถนนที่ผ่านตัวเมืองสุรินทร์ ระยะทาง 80 ก.ม. ใช้เวลาขี่รถไปประมาณ 1 ช.ม. 15 นาที เพื่อคืนรถที่เช่ากับทางร้าน เพราะวันนี้ผมมีแผนว่าจะไปอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อเที่ยวชมปราสาทหินในละแวกนั้นสัก 2 วันก่อนเดินทางไปประเทศกัมพูชาต่อครับ
ก่อนส่งรถคืนทางร้าน ผมถือโอกาสแวะไปสักการะศาลหลักเมืองและวัดกลางพระอารามหลวง ศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดบุรีรัมย์เพื่อเป็นความสิริมงคลก่อนครับ โดยศาลหลักเมืองของจังหวัดบุรีรัมย์มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนโดยสร้างเป็นเทวาลัยรูปปราสาทเขาพนมรุ้งแบบย่อส่วนที่สวยงามทาด้วยสีน้ำตาลอมส้มอ่อนทั้งหลัง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2548
ที่หน้าบันเหนือกรอบประตูทางเข้าด้านหน้าของศาลหลักเมืองทำประติกรรมนูนสูงเป็นรูปศิวนาฏราชพร้อมทับหลังรูปพระพุทธเจ้าประทับเหนือหน้ากาล หน้าบันเลียนแบบมาจากหน้าบันของปราสาทประธานของปราสาทเขาพนมรุ้งเลยครับ ซุ้มหน้าบันทำเป็นรูปนาคสวมกระบังหน้าตามแบบนครวัด ภายในศาลประดิษฐานเสาหลักเมืองเอาไว้
บริเวณบันไดทางขึ้นศาลทุกประตูจะมีรูปทวารบาลเฝ้าตรงเชิงบันไดอยู่ ทำเป็นรูปสัตว์เช่น ม้า ลิง และรูปยักษ์เฝ้าปกป้องศาลอยู่ รูปลักษณ์สร้างตามแบบประติมากรรมของขอมโบราณคล้ายที่พบที่ปราสาทบันทายศรีในประเทศกัมพูชา ทาด้วยสีเขียวทั้งตัว

ข้าง ๆ ศาลหลักเมืองก็มีศาลเจ้าของชาวจีนไว้ให้สักการะบูชาด้วยครับ ตกแต่งสไตล์แบบจีนอยู่ใกล้กับศาลหลักเมืองแบบขอม แสดงถึงการมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของจังหวัดนี้ได้เป็นอย่างดี

เสร็จจากการสักการะไหว้ศาลหลักเมืองแล้ว ผมก็เดินข้ามถนนไปอีกฟากไปชมวัดกลางพระอารามหลวง วัดคู่บ้านคู่เมืองประจำอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ตามประวัติบอกว่า วัดนี้เดิมเป็นวัดร้างมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว โดยในสมัยกรุงธนบุรีเมื่อคราวที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ 1) ได้นำทัพไปปราบกบฏนางรอง และได้หยุดพักทัพที่บริเวณนี้ซึ่งมีสระน้ำขนาดใหญ่ภายในวัด ซึ่งเชื่อว่าเป็นบารายของขอม จึงได้มีการจัดตั้งเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาขึ้นในปี พ.ศ. 2329 โดยใช้ชื่อเรียกว่า
“วัดแปะใหญ่” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงเปลี่ยนชื่อวัดใหม่ว่า
“วัดกลาง” และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ภายในวิหารของวัดกลางประดิษฐานพระพุทธรูปหอนศิลาแลงลงรักปิดทองทั้งองค์ สร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
มีชื่อเรียกว่า
“หลวงพ่อโต”

ต่อมาผมขี่รถไปส่งคืนร้านเช่ารถที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบุรีรัมย์ เพราะต้องการต่อรถไปอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วให้ทันรอบเวลา 10.30 น.

แต่ปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องรถนิดหน่อย เลยทำให้ผมตกรอบรถคันดังกล่าว จึงต้องนั่งรถตู้แล้วไปรอต่อรถบัสไปจันทบุรีที่จะผ่านไปอรัญประเทศในรอบเที่ยงแทนนะครับ ดังนั้นใครต้องการนั่งรถจากสถานีขนส่งที่นี่ไปอรัญประเทศ สระแก้ว หรือจันทบุรี ควรเช็ครอบเวลารถออกให้ดี และมารอก่อนเนิ่น ๆ นะครับ เพราะรถที่วิ่งไปจุดหมายดังกล่าววันหนึ่ง ๆ มีไม่กี่รอบ รอบหนึ่งทิ้งช่วงห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมงเลยครับ
รถบัสสาย 522 ที่วิ่งระหว่างบุรีรัมย์ไปจันทบุรี จะผ่านอรัญประเทศด้วยครับ รถใช้เวลาวิ่งจากต้นทางถึงปลายทาง 9 ชั่วโมง หากลงแค่อรัญประเทศจะใช้เวลาวิ่งประมาณ 5 ชั่วโมงครับ ค่าโดยสารคนละ 100 บาท
รอบเวลาที่รถบัสสาย 522 ออกจากท่าที่ขนส่งบุรีรัมย์ วัน ๆ วิ่งไม่กี่เที่ยวนะครับ
รถตู้ที่วิ่งจากขนส่งบุรีรัมย์ไปสุดทางที่อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว จะขึ้นรถคันนี้แล้วค่อยไปต่อรถตู้โคราชไปตลาดโรงเกลือก็ได้ครับ จะวิ่งไวกว่ารถบัสสาย 522 ครับ
ผมนั่งรถตู้ไปลงอำเภอละหานทรายก่อน แล้วค่อยไปดักรอรถบัสสาย 522 บุรีรัมย์ - จันทบุรี เพราะขี้เกียจรอรถรอบต่อไปตอนเที่ยงตรง
เกือบ 4 โมงเย็น ผมก็มาถึงอำเภออรัญประเทศ เลยจ้างรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากที่นี่ให้ไปส่งโรงแรมที่ผมจองมาคือ โรงแรมอินโดจีน ค่าโดยสาร 40 บาท
มาถึงโรงแรมที่พักใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ เห็นทางโรงแรมจัดเตรียมพระพุทธรูปและอุปกรณ์สรงน้ำพระให้แขกที่มาพักที่โรงแรมได้สรงน้ำกัน ผมเลยถือโอกาสสรงน้ำพระซักหน่อยระหว่างรอเช็คอินห้องพัก
เก็บสัมภาระและตรวจดูห้องพักที่จองมาหน่อย ห้องกว้างดีนะครับมีอาหารเช้าพร้อม นอนสบายเหมาะสมกับราคาและคุณภาพของโรงแรม 3 ดาว เสียแต่ที่ตั้งดันอยู่ห่างจากตัวอำเภออรัญประเทศและตลาดโรงเกลือไปหน่อย ตอนจองมาผมก็ดูไม่ออกว่าโรงแรมอยู่ในละแวกตัวเมืองรึเปล่า ก็เลยจองมาเป็นยังงี้
จากนั้นให้รถตู้โรงแรมไปส่งผมที่ตลาดโรงเกลือ เพราะผมต้องการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ตระเวนเที่ยวชมปราสาทหินในละแวกนี้สัก 2 วัน
แต่กว่าจะหารถเช่าได้ยากเหมือนกันเล่นเอาเดินหารอบตลาดกันเลย เพราะพี่เขมรแกเป็นเจ้าของร้านเช่ารถมักให้เช่าเฉพาะวันเดียว เช่าเช้าต้องคืนเย็น ห้ามข้ามคืน และให้เช่าขี่ได้เฉพาะภายในตลาดโรงเกลือเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ภายในตลาดโรงเกลือมีร้านเช่ารถมากมาย แต่มีแค่บางร้านนะครับที่จะยอมให้เราเช่าชี่รถออกไปนอกตลาดโรงเกลือและเช่ารถข้ามวันได้ ค่าเช่าที่นี่ถูกดีนะครับคันละ 150 บาทต่อวัน คิดรอบชนรอบ ผมเช่าขี่รถ 2 วันก็เพียง 300 บาทเท่านั้น
ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะอีสานตอนใต้ต่อกัมพูชาตอนเหนือ ตอนที่ 3
กลับมารีวิวกระทู้ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะอีสานใต้ต่อกัมพูชาตอนเหนือกันต่อเป็นตอนที่ 3 ซึ่งในตอนนี้จะเป็นการบอกเล่าประสบการณ์ของการเดินทางท่องเที่ยววันที่ 5 - 6 ของผมในทริปนี้ โดยไปชมปราสาทหินในเขตจังหวัดสระแก้วนะครับ หลังจากผมตระเวนไปชมปราสาทหินในจังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์มาแล้ว 4 วัน รู้สึกช่วงนี้ดื่มด่ำกับปราสาทขอมเป็นพิเศษจังเลยทุกวันต้องไปชมปราสาท 555
ก่อนอื่นไปรู้จักการเดินทางท่องเที่ยวของผมในทริปนี้ก่อนครับว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง โดยผมได้แบ่งทริปการเดินทางของผมในครั้งนี้เป็นดังนี้
วันที่ 1 : เดินทางจากกรุงเทพฯ – บุรีรัมย์ เที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์
วันที่ 2 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอละหานทราย โนนดินแดง และปะคำ และชมการแสดง
แสงสีเสียงในงานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง
วันที่ 3 : เที่ยวปราสาทหินในเขตบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ และอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และร่วมชมขบวนแห่ประเพณีขึ้น
เขาพนมรุ้ง
วันที่ 4 : เที่ยวปราสาทหินในเขตอำเภอปราสาท สังขะ และบัวเชดของจังหวัดสุรินทร์
วันที่ 5 : เดินทางจากสุรินทร์ไปจังหวัดสระแก้ว และเที่ยวปราสาทหินในจังหวัดสระแก้ว
วันที่ 6 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสระแก้ว (ต่อ)
วันที่ 7 : เดินทางไปเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา และเที่ยวปราสาทหินในเมืองเสียมเรียบ
วันที่ 8 : เที่ยวปราสาทหินกลุ่มหริหราลัย และปราสาทหินรายทางระหว่างทางจากเสียมเรียบไปกำปงธม
วันที่ 9 : เที่ยวกลุ่มปราสาทสมโบร์ไพรกุกที่เมืองกำปงธม
วันที่ 10 : เดินทางไปเมืองพระตะบอง และเที่ยวปราสาทหินในเมืองพระตะบอง
วันที่ 11 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองพระตะบอง
วันที่ 12 : เที่ยวกลุ่มปราสาทหินบันทายฉมาร์ที่เมืองบันเตียเมียนเจย
วันที่ 13 : เที่ยวเก็บตกในเมืองพระตะบอง และเดินทางกลับบ้าน
ถ้าเข้าใจข้อมูลการเดินทางของผมแล้ว พร้อมแล้วก็ Let go.... กันเลย
วันที่ 5 : เดินทางจากสุรินทร์ไปจังหวัดสระแก้วและเที่ยวปราสาทหินในจังหวัดสระแก้ว
วันนี้ผมเช็คเอ้าท์จากที่พักเร็วหน่อย 7 โมงกว่าก็รีบขี่รถมอเตอร์ไซค์จากที่พักไปยังตัวเมืองบุรีรัมย์ โดยใช้ถนนที่ผ่านตัวเมืองสุรินทร์ ระยะทาง 80 ก.ม. ใช้เวลาขี่รถไปประมาณ 1 ช.ม. 15 นาที เพื่อคืนรถที่เช่ากับทางร้าน เพราะวันนี้ผมมีแผนว่าจะไปอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อเที่ยวชมปราสาทหินในละแวกนั้นสัก 2 วันก่อนเดินทางไปประเทศกัมพูชาต่อครับ
ก่อนส่งรถคืนทางร้าน ผมถือโอกาสแวะไปสักการะศาลหลักเมืองและวัดกลางพระอารามหลวง ศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดบุรีรัมย์เพื่อเป็นความสิริมงคลก่อนครับ โดยศาลหลักเมืองของจังหวัดบุรีรัมย์มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนโดยสร้างเป็นเทวาลัยรูปปราสาทเขาพนมรุ้งแบบย่อส่วนที่สวยงามทาด้วยสีน้ำตาลอมส้มอ่อนทั้งหลัง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2548
ที่หน้าบันเหนือกรอบประตูทางเข้าด้านหน้าของศาลหลักเมืองทำประติกรรมนูนสูงเป็นรูปศิวนาฏราชพร้อมทับหลังรูปพระพุทธเจ้าประทับเหนือหน้ากาล หน้าบันเลียนแบบมาจากหน้าบันของปราสาทประธานของปราสาทเขาพนมรุ้งเลยครับ ซุ้มหน้าบันทำเป็นรูปนาคสวมกระบังหน้าตามแบบนครวัด ภายในศาลประดิษฐานเสาหลักเมืองเอาไว้
บริเวณบันไดทางขึ้นศาลทุกประตูจะมีรูปทวารบาลเฝ้าตรงเชิงบันไดอยู่ ทำเป็นรูปสัตว์เช่น ม้า ลิง และรูปยักษ์เฝ้าปกป้องศาลอยู่ รูปลักษณ์สร้างตามแบบประติมากรรมของขอมโบราณคล้ายที่พบที่ปราสาทบันทายศรีในประเทศกัมพูชา ทาด้วยสีเขียวทั้งตัว
ข้าง ๆ ศาลหลักเมืองก็มีศาลเจ้าของชาวจีนไว้ให้สักการะบูชาด้วยครับ ตกแต่งสไตล์แบบจีนอยู่ใกล้กับศาลหลักเมืองแบบขอม แสดงถึงการมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของจังหวัดนี้ได้เป็นอย่างดี
เสร็จจากการสักการะไหว้ศาลหลักเมืองแล้ว ผมก็เดินข้ามถนนไปอีกฟากไปชมวัดกลางพระอารามหลวง วัดคู่บ้านคู่เมืองประจำอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ตามประวัติบอกว่า วัดนี้เดิมเป็นวัดร้างมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว โดยในสมัยกรุงธนบุรีเมื่อคราวที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ 1) ได้นำทัพไปปราบกบฏนางรอง และได้หยุดพักทัพที่บริเวณนี้ซึ่งมีสระน้ำขนาดใหญ่ภายในวัด ซึ่งเชื่อว่าเป็นบารายของขอม จึงได้มีการจัดตั้งเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาขึ้นในปี พ.ศ. 2329 โดยใช้ชื่อเรียกว่า “วัดแปะใหญ่” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงเปลี่ยนชื่อวัดใหม่ว่า “วัดกลาง” และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ภายในวิหารของวัดกลางประดิษฐานพระพุทธรูปหอนศิลาแลงลงรักปิดทองทั้งองค์ สร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
มีชื่อเรียกว่า “หลวงพ่อโต”
ต่อมาผมขี่รถไปส่งคืนร้านเช่ารถที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดบุรีรัมย์ เพราะต้องการต่อรถไปอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วให้ทันรอบเวลา 10.30 น.
แต่ปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องรถนิดหน่อย เลยทำให้ผมตกรอบรถคันดังกล่าว จึงต้องนั่งรถตู้แล้วไปรอต่อรถบัสไปจันทบุรีที่จะผ่านไปอรัญประเทศในรอบเที่ยงแทนนะครับ ดังนั้นใครต้องการนั่งรถจากสถานีขนส่งที่นี่ไปอรัญประเทศ สระแก้ว หรือจันทบุรี ควรเช็ครอบเวลารถออกให้ดี และมารอก่อนเนิ่น ๆ นะครับ เพราะรถที่วิ่งไปจุดหมายดังกล่าววันหนึ่ง ๆ มีไม่กี่รอบ รอบหนึ่งทิ้งช่วงห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมงเลยครับ
รถบัสสาย 522 ที่วิ่งระหว่างบุรีรัมย์ไปจันทบุรี จะผ่านอรัญประเทศด้วยครับ รถใช้เวลาวิ่งจากต้นทางถึงปลายทาง 9 ชั่วโมง หากลงแค่อรัญประเทศจะใช้เวลาวิ่งประมาณ 5 ชั่วโมงครับ ค่าโดยสารคนละ 100 บาท
รอบเวลาที่รถบัสสาย 522 ออกจากท่าที่ขนส่งบุรีรัมย์ วัน ๆ วิ่งไม่กี่เที่ยวนะครับ
รถตู้ที่วิ่งจากขนส่งบุรีรัมย์ไปสุดทางที่อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว จะขึ้นรถคันนี้แล้วค่อยไปต่อรถตู้โคราชไปตลาดโรงเกลือก็ได้ครับ จะวิ่งไวกว่ารถบัสสาย 522 ครับ
ผมนั่งรถตู้ไปลงอำเภอละหานทรายก่อน แล้วค่อยไปดักรอรถบัสสาย 522 บุรีรัมย์ - จันทบุรี เพราะขี้เกียจรอรถรอบต่อไปตอนเที่ยงตรง
เกือบ 4 โมงเย็น ผมก็มาถึงอำเภออรัญประเทศ เลยจ้างรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากที่นี่ให้ไปส่งโรงแรมที่ผมจองมาคือ โรงแรมอินโดจีน ค่าโดยสาร 40 บาท
มาถึงโรงแรมที่พักใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ เห็นทางโรงแรมจัดเตรียมพระพุทธรูปและอุปกรณ์สรงน้ำพระให้แขกที่มาพักที่โรงแรมได้สรงน้ำกัน ผมเลยถือโอกาสสรงน้ำพระซักหน่อยระหว่างรอเช็คอินห้องพัก
เก็บสัมภาระและตรวจดูห้องพักที่จองมาหน่อย ห้องกว้างดีนะครับมีอาหารเช้าพร้อม นอนสบายเหมาะสมกับราคาและคุณภาพของโรงแรม 3 ดาว เสียแต่ที่ตั้งดันอยู่ห่างจากตัวอำเภออรัญประเทศและตลาดโรงเกลือไปหน่อย ตอนจองมาผมก็ดูไม่ออกว่าโรงแรมอยู่ในละแวกตัวเมืองรึเปล่า ก็เลยจองมาเป็นยังงี้
จากนั้นให้รถตู้โรงแรมไปส่งผมที่ตลาดโรงเกลือ เพราะผมต้องการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ตระเวนเที่ยวชมปราสาทหินในละแวกนี้สัก 2 วัน
แต่กว่าจะหารถเช่าได้ยากเหมือนกันเล่นเอาเดินหารอบตลาดกันเลย เพราะพี่เขมรแกเป็นเจ้าของร้านเช่ารถมักให้เช่าเฉพาะวันเดียว เช่าเช้าต้องคืนเย็น ห้ามข้ามคืน และให้เช่าขี่ได้เฉพาะภายในตลาดโรงเกลือเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ภายในตลาดโรงเกลือมีร้านเช่ารถมากมาย แต่มีแค่บางร้านนะครับที่จะยอมให้เราเช่าชี่รถออกไปนอกตลาดโรงเกลือและเช่ารถข้ามวันได้ ค่าเช่าที่นี่ถูกดีนะครับคันละ 150 บาทต่อวัน คิดรอบชนรอบ ผมเช่าขี่รถ 2 วันก็เพียง 300 บาทเท่านั้น