●●กลั่นแกล้ง...สกัดกั้น เรื่องจริงหรือวาทกรรม●●

ในเวลานี้มีคนที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนของประเทศไทยบางคนที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายด้วยข้อหา
ต่างๆ กันไป บางคนก็ยอมรับโดยดุษณีเมื่อ กกต. หรือศาลตัดสินให้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้สมัครลง
รับเลือกตั้ง แต่บางคนก็ไม่ยอมรับ และมีการสร้างวาทกรรมต่างๆ นานา เช่น เป็นความบกพร่องของกฎหมายที่
ทำให้กฎเกณฑ์ต่างๆ พิกลพิการ จนทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย
ทั้งๆ ที่กฎหมายเหล่านั้นผ่านการทำประชามติมาแล้ว และตนเองก็รับรู้กฎหมายเหล่านี้ก่อนที่จะสมัครลงรับ
เลือกตั้ง แต่พอทำผิด แทนที่จะโทษตัวเองที่ทำผิดกฎหมายที่เป็นที่รับรู้มาตั้งแต่ต้น กลับมาโทษว่ากฎหมายไม่ดี
และแสดงเจตนาที่จะเข้ามาแก้ไขกฎหมายที่ผ่านประชามติมาด้วยคะแนนมากกว่า 16 ล้านเสียง
สำหรับคนที่ไม่ยอมรับการวินิจฉัยหรือการตัดสินของ กกต. หรือของศาลรัฐธรรมนูญนั้น นอกจากจะกล่าวหา
ว่ากฎหมายไม่ดีแล้ว ก็พยายามจะต่อสู้ด้วยเนื้อหาก่อน โดยคิดว่ามีทางที่จะสู้ด้วยข้อเท็จจริง
แต่เมื่อคนเราพยายามที่จะแก้ตัวด้วยข้อความที่เป็นเท็จ ประโยคหลายๆ ประโยคที่เขาพูดก็มีความขัดแย้งกัน
เป็นพิรุธ และทำให้คนในสังคมจับได้ว่าพวกเขาโกหกในความพยายามที่จะแก้ตัว นอกจากคนคนเดียวกันพูดจา
ขัดแย้งกันแล้ว เมื่อมีคนพยายามช่วยแก้ตัวให้หลายๆ คน ก็ปรากฏว่าข้อความที่คนหลายคนพูดนั้นมีความขัดแย้ง
กัน เป็นข้อพิรุธอย่างชัดเจน ข้อความที่พวกเขาพูดไม่ตรงกันนั้นทำให้เราจับได้ว่าพวกเขาไม่ได้พูดความจริง
ไม่มีความน่าเชื่อถือ
ดังนั้นการที่พวกเขาต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงนั้นน่าจะรอดยาก เพราะข้อความต่างๆ มีความขัดแย้งกัน และไม่มี
ความสมเหตุสมผลตามหลักตรรกวิทยา
เมื่อต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงแล้วมีทีท่าว่าไม่น่าจะเอาชนะได้ ก็หันมาต่อสู้ทางด้านกฎหมาย เช่น กกต.ไม่มีอำนาจ
ที่จะสอบสวนตรวจสอบพวกเขาแล้ว เพราะมันเลยเวลาแล้ว ทำให้ กกต.ต้องออกมาชี้แจงว่า กกต.มีอำนาจที่
จะตรวจสอบเขาได้ไม่ว่าจะก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง หรือหลังจากการลงคะแนนแล้ว
แม้ว่าในเวลานี้ กกต.ยังไม่ได้ตัดสินว่าจะตัดสิทธิ์พวกเขาด้วยการให้ใบส้มหรือไม่ พวกเขาก็ออกมาพูดแล้วว่า กกต.ไม่สามารถที่จะให้ใบส้มเขาได้เพราะจะเหลือใบส้ม ใบแดงนั้นใช้ได้เฉพาะคนที่ลงรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เขตเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ กกต.ไม่อาจจะออกใบส้มให้พวกเขาได้
จากการแสดงทัศนะแบบนี้แสดงว่าพวกเขาก็พอจะมองออกว่าโทษที่พวกเขาอาจจะได้รับนั้นคือการได้ใบส้ม
จึงออกมาตีปลาหน้าไซว่า กกต.ไม่สามารถออกใบส้มให้พวกเขาได้ และบัดนี้คนที่เขารู้กฎหมาย เขาก็ออกมา
พูดกันแล้วว่ากรณีนี้ไม่มีใบส้ม มีแต่ถอนสิทธิ์ของการเป็นผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเท่านั้น
ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะพอรู้ตัวแล้วว่าชะตาชีวิตของการเป็นนักการเมืองของพวกเขาจะเป็นเช่นไร
พวกเขาก็เริ่มออกมาตีปลาหน้าไซแล้วว่า ถ้าหาก กกต.ทำงานด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม พวกเขาก็จะไม่มี
ความผิดและบ้านเมืองก็จะเจริญก้าวหน้าเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่หาก กกต.ทำงานไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม
พวกเขาก็อาจจะมีความผิดและบ้านเมืองก็จะวุ่นวายไม่สงบเรียบร้อย
ถ้าหากเราอ่านระหว่างบรรทัดของการพูดแบบนี้ก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องพ้นผิดเท่านั้น กกต.จึงจะได้
ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำงานด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
นอกจากนั้นคำพูดที่ว่าบ้านเมืองจะวุ่นวาย ไม่มีความสงบ ฟังแล้วเหมือนการข่มขู่ หมายความว่าถ้าหากพวกเขา
ต้องเป็นคนผิดนั้น อาจจะมีมวลชนออกมาสร้างความวุ่นวายให้ประเทศ
ฟังแล้วทำให้มองเห็นว่าในอดีตก็มีคนที่เคยใช้กลยุทธ์นี้มาก่อนแล้ว คือการเอาประชาชนมาเป็นรั้วทองแดง
กำแพงเหล็ก ออกมาปกป้องตนเอง ทั้งๆ ที่ความผิดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการทำความผิดกฎหมายส่วนบุคคลที่ไม่ใช่ปัญหาของสังคมแต่อย่างใด แต่มีความพยายามที่จะเอามวลชนมาต่อรองกับกฎหมาย เข้าข่ายจะใช้กฎหมู่ให้
อยู่เหนือกฎหมาย เอาเรื่องความวุ่นวายมาข่มขู่การทำหน้าที่ของ กกต.
ณ บัดนี้ สิ่งที่เราได้เห็นก็คือ คนที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายนั้นได้มีความพยายามที่จะทำให้คดีของเขาที่เป็น
คดี “ส่วนบุคคล” ให้เป็นคดีทางสังคม ดังที่เขาพูดว่าคนที่มาต้อนรับเขากลับประเทศไทยนั้น เขาบอกว่าคนพวกนี้
ไม่ได้มาสู้เพื่อเขา แต่มาสู้เพื่อประชาธิปไตย มาสู้เพื่อความยุติธรรม มาต่อสู้เพื่อสังคม
ทั้งๆ ที่คดีเป็นการทำผิดกฎหมายของตัวเขาเอง แต่เขาพยายามสร้างวาทกรรมให้ประชาชน (โดยเฉพาะคนที่
ชื่นชมเขา) มองว่าคดีของเขาไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของสังคม เป็นเรื่องของความยุติธรรม เป็นเรื่องของ ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลย
ตัวเขาเองนั่นแหละที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ควรที่จะดึงเอาเรื่องปัญหาของกระบวนการยุติธรรมหรือความเป็นประชาธิปไตยเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีส่วนตัวของเขาเลยอีก
ความพยายามหนึ่งที่เราเห็นได้ในเวลานี้ก็คือ การสร้างวาทกรรมว่าพวกเขากำลัง “โดนกลั่นแกล้ง” และพวกเขา
กำลัง “โดนสกัดกั้น” ไม่ให้เข้าสู่แวดวงทางการเมือง ก็ต้องตั้งคำถามว่า ถ้าหากพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย
อะไรใครจะ แกล้งเขาได้ แม้ว่าเขาจะโดนกล่าวหา แต่ถ้าในความเป็นจริงเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร ใครจะ
กลั่นแกล้งเขาได้
แม้ว่า ในยามนี้เขาจะโดนแจ้งข้อกล่าวหา ทาง กกต.ก็ยังไม่ได้ตัดสินอะไร และให้โอกาสเขาชี้แจง ถ้าหากเขา
ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย เขาก็สามารถชี้แจงและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเขาเอง
นอกจากวาทกรรมเรื่อง “ถูกสกัดกั้น” นั้นก็เช่นกัน หากแม้นพวกเขาทำถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด และลง
แข่งขันตามกติกาทุกสิ่งทุกอย่าง ใครจะไปสกัดกั้นเขาได้ แม้ว่าจะมีคนจำนวนมากมองว่าพวกเขาเป็นพวกที่มี
แนวความคิดที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของสถาบันต่างๆ ของประเทศ และยังเป็นอันตรายต่อการดำรงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมของประเทศ และอยากจะสกัดกั้นไม่ให้พวกเขา
เข้ามามีอำนาจทางการเมือง ก็เป็นเพียงความรู้สึกที่อยากให้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่หากพวกเขาทำตามกติกา ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ความต้องการดังกล่าวก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้
ดังนั้นวาทกรรมว่าผู้มีอำนาจทั้งหลายพยายามจะสกัดกั้นเขานั้น จึงเป็นคำพูดที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงแต่อย่างใด มันคือวาทกรรมที่นำไปสู่ความแตกแยกระหว่างวัยเท่านั้นเอง.
Cr.
https://www.thaipost.net/main/detail/34597
●●กลั่นแกล้ง...สกัดกั้น เรื่องจริงหรือวาทกรรม●●
ในเวลานี้มีคนที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนของประเทศไทยบางคนที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายด้วยข้อหา
ต่างๆ กันไป บางคนก็ยอมรับโดยดุษณีเมื่อ กกต. หรือศาลตัดสินให้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้สมัครลง
รับเลือกตั้ง แต่บางคนก็ไม่ยอมรับ และมีการสร้างวาทกรรมต่างๆ นานา เช่น เป็นความบกพร่องของกฎหมายที่
ทำให้กฎเกณฑ์ต่างๆ พิกลพิการ จนทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย
ทั้งๆ ที่กฎหมายเหล่านั้นผ่านการทำประชามติมาแล้ว และตนเองก็รับรู้กฎหมายเหล่านี้ก่อนที่จะสมัครลงรับ
เลือกตั้ง แต่พอทำผิด แทนที่จะโทษตัวเองที่ทำผิดกฎหมายที่เป็นที่รับรู้มาตั้งแต่ต้น กลับมาโทษว่ากฎหมายไม่ดี
และแสดงเจตนาที่จะเข้ามาแก้ไขกฎหมายที่ผ่านประชามติมาด้วยคะแนนมากกว่า 16 ล้านเสียง
สำหรับคนที่ไม่ยอมรับการวินิจฉัยหรือการตัดสินของ กกต. หรือของศาลรัฐธรรมนูญนั้น นอกจากจะกล่าวหา
ว่ากฎหมายไม่ดีแล้ว ก็พยายามจะต่อสู้ด้วยเนื้อหาก่อน โดยคิดว่ามีทางที่จะสู้ด้วยข้อเท็จจริง
แต่เมื่อคนเราพยายามที่จะแก้ตัวด้วยข้อความที่เป็นเท็จ ประโยคหลายๆ ประโยคที่เขาพูดก็มีความขัดแย้งกัน
เป็นพิรุธ และทำให้คนในสังคมจับได้ว่าพวกเขาโกหกในความพยายามที่จะแก้ตัว นอกจากคนคนเดียวกันพูดจา
ขัดแย้งกันแล้ว เมื่อมีคนพยายามช่วยแก้ตัวให้หลายๆ คน ก็ปรากฏว่าข้อความที่คนหลายคนพูดนั้นมีความขัดแย้ง
กัน เป็นข้อพิรุธอย่างชัดเจน ข้อความที่พวกเขาพูดไม่ตรงกันนั้นทำให้เราจับได้ว่าพวกเขาไม่ได้พูดความจริง
ไม่มีความน่าเชื่อถือ
ดังนั้นการที่พวกเขาต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงนั้นน่าจะรอดยาก เพราะข้อความต่างๆ มีความขัดแย้งกัน และไม่มี
ความสมเหตุสมผลตามหลักตรรกวิทยา
เมื่อต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงแล้วมีทีท่าว่าไม่น่าจะเอาชนะได้ ก็หันมาต่อสู้ทางด้านกฎหมาย เช่น กกต.ไม่มีอำนาจ
ที่จะสอบสวนตรวจสอบพวกเขาแล้ว เพราะมันเลยเวลาแล้ว ทำให้ กกต.ต้องออกมาชี้แจงว่า กกต.มีอำนาจที่
จะตรวจสอบเขาได้ไม่ว่าจะก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง หรือหลังจากการลงคะแนนแล้ว
แม้ว่าในเวลานี้ กกต.ยังไม่ได้ตัดสินว่าจะตัดสิทธิ์พวกเขาด้วยการให้ใบส้มหรือไม่ พวกเขาก็ออกมาพูดแล้วว่า กกต.ไม่สามารถที่จะให้ใบส้มเขาได้เพราะจะเหลือใบส้ม ใบแดงนั้นใช้ได้เฉพาะคนที่ลงรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เขตเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ กกต.ไม่อาจจะออกใบส้มให้พวกเขาได้
จากการแสดงทัศนะแบบนี้แสดงว่าพวกเขาก็พอจะมองออกว่าโทษที่พวกเขาอาจจะได้รับนั้นคือการได้ใบส้ม
จึงออกมาตีปลาหน้าไซว่า กกต.ไม่สามารถออกใบส้มให้พวกเขาได้ และบัดนี้คนที่เขารู้กฎหมาย เขาก็ออกมา
พูดกันแล้วว่ากรณีนี้ไม่มีใบส้ม มีแต่ถอนสิทธิ์ของการเป็นผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเท่านั้น
ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะพอรู้ตัวแล้วว่าชะตาชีวิตของการเป็นนักการเมืองของพวกเขาจะเป็นเช่นไร
พวกเขาก็เริ่มออกมาตีปลาหน้าไซแล้วว่า ถ้าหาก กกต.ทำงานด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม พวกเขาก็จะไม่มี
ความผิดและบ้านเมืองก็จะเจริญก้าวหน้าเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่หาก กกต.ทำงานไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม
พวกเขาก็อาจจะมีความผิดและบ้านเมืองก็จะวุ่นวายไม่สงบเรียบร้อย
ถ้าหากเราอ่านระหว่างบรรทัดของการพูดแบบนี้ก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องพ้นผิดเท่านั้น กกต.จึงจะได้
ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำงานด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
นอกจากนั้นคำพูดที่ว่าบ้านเมืองจะวุ่นวาย ไม่มีความสงบ ฟังแล้วเหมือนการข่มขู่ หมายความว่าถ้าหากพวกเขา
ต้องเป็นคนผิดนั้น อาจจะมีมวลชนออกมาสร้างความวุ่นวายให้ประเทศ
ฟังแล้วทำให้มองเห็นว่าในอดีตก็มีคนที่เคยใช้กลยุทธ์นี้มาก่อนแล้ว คือการเอาประชาชนมาเป็นรั้วทองแดง
กำแพงเหล็ก ออกมาปกป้องตนเอง ทั้งๆ ที่ความผิดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการทำความผิดกฎหมายส่วนบุคคลที่ไม่ใช่ปัญหาของสังคมแต่อย่างใด แต่มีความพยายามที่จะเอามวลชนมาต่อรองกับกฎหมาย เข้าข่ายจะใช้กฎหมู่ให้
อยู่เหนือกฎหมาย เอาเรื่องความวุ่นวายมาข่มขู่การทำหน้าที่ของ กกต.
ณ บัดนี้ สิ่งที่เราได้เห็นก็คือ คนที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายนั้นได้มีความพยายามที่จะทำให้คดีของเขาที่เป็น
คดี “ส่วนบุคคล” ให้เป็นคดีทางสังคม ดังที่เขาพูดว่าคนที่มาต้อนรับเขากลับประเทศไทยนั้น เขาบอกว่าคนพวกนี้
ไม่ได้มาสู้เพื่อเขา แต่มาสู้เพื่อประชาธิปไตย มาสู้เพื่อความยุติธรรม มาต่อสู้เพื่อสังคม
ทั้งๆ ที่คดีเป็นการทำผิดกฎหมายของตัวเขาเอง แต่เขาพยายามสร้างวาทกรรมให้ประชาชน (โดยเฉพาะคนที่
ชื่นชมเขา) มองว่าคดีของเขาไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของสังคม เป็นเรื่องของความยุติธรรม เป็นเรื่องของ ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลย
ตัวเขาเองนั่นแหละที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ควรที่จะดึงเอาเรื่องปัญหาของกระบวนการยุติธรรมหรือความเป็นประชาธิปไตยเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีส่วนตัวของเขาเลยอีก
ความพยายามหนึ่งที่เราเห็นได้ในเวลานี้ก็คือ การสร้างวาทกรรมว่าพวกเขากำลัง “โดนกลั่นแกล้ง” และพวกเขา
กำลัง “โดนสกัดกั้น” ไม่ให้เข้าสู่แวดวงทางการเมือง ก็ต้องตั้งคำถามว่า ถ้าหากพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย
อะไรใครจะ แกล้งเขาได้ แม้ว่าเขาจะโดนกล่าวหา แต่ถ้าในความเป็นจริงเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร ใครจะ
กลั่นแกล้งเขาได้
แม้ว่า ในยามนี้เขาจะโดนแจ้งข้อกล่าวหา ทาง กกต.ก็ยังไม่ได้ตัดสินอะไร และให้โอกาสเขาชี้แจง ถ้าหากเขา
ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย เขาก็สามารถชี้แจงและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเขาเอง
นอกจากวาทกรรมเรื่อง “ถูกสกัดกั้น” นั้นก็เช่นกัน หากแม้นพวกเขาทำถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด และลง
แข่งขันตามกติกาทุกสิ่งทุกอย่าง ใครจะไปสกัดกั้นเขาได้ แม้ว่าจะมีคนจำนวนมากมองว่าพวกเขาเป็นพวกที่มี
แนวความคิดที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของสถาบันต่างๆ ของประเทศ และยังเป็นอันตรายต่อการดำรงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมของประเทศ และอยากจะสกัดกั้นไม่ให้พวกเขา
เข้ามามีอำนาจทางการเมือง ก็เป็นเพียงความรู้สึกที่อยากให้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่หากพวกเขาทำตามกติกา ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ความต้องการดังกล่าวก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้
ดังนั้นวาทกรรมว่าผู้มีอำนาจทั้งหลายพยายามจะสกัดกั้นเขานั้น จึงเป็นคำพูดที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงแต่อย่างใด มันคือวาทกรรมที่นำไปสู่ความแตกแยกระหว่างวัยเท่านั้นเอง.
Cr. https://www.thaipost.net/main/detail/34597