สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 29
ขอเล่าตามประสบการณ์ของลูกที่พ่อแม่อยากให้มีสังคมที่ดี การเรียนที่ดี แต่แต่ค่าสังคมไม่ถึงนะคะ
เราเรียนโรงเรียนเอกชนภาคEP ที่ค่าเทอมแพงกว่าเงินเดือนพ่อเราในตอนนั้น พ่อเราพยายามส่งให้เราเรียนที่ดีๆเพราะอยากให้เราได้อยู่ในสังคมดีๆ ซึ่งในจุดนี้เราขอบคุณพ่อกับแม่มากๆ เราสอบชิงทุนได้ไปเรียนต่างประเทศตอนป.ตรีได้ เพราะพ่อกับแม่ทุ่มทุนเรื่องการศึกษาของเรามาตลอด
แต่การที่ค่าสังคมของเราไม่ถึง ไม่เท่าคนอื่นก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่สร้างปมในใจให้เรามาถึงตอนนี้เช่นกันค่ะ
ตอนเราอยู่ป.4 เราจำได้ไม่ลืมเลยว่าครูเอาใบปลิวไปเรียนซัมเมอร์ที่สิงคโปร์มาแจก เพื่อนในกลุ่มเราตื่นเต้นกันมาก ดูตารางเที่ยวที่เขามีให้แล้วก็วางแผนกันสนุกสนานว่าจะไปแล้วทำอะไรกัน ตอนนั้นทุกคนสัญญากันว่าจะกลับบ้านไปขอพ่อกับแม่ เราที่เป็นเด็กไม่ได้รู้ว่าบ้านเรามีเงินมากแค่ไหน เอาใบปลิวให้พ่อดู แต่พอพ่อเห็นค่าใช้จ่ายก็ไม่อนุญาต เราเสียใจมาก เถียงกับพ่อ นั่งร้องไห้ทั้งคืน ตอนเช้าที่พ่อไปส่งเรียนก็ไม่ยอมคุยกับพ่อ
พอเราไปถึงห้องก็บอกเพื่อนว่าพ่อกับแม่เราไม่ให้ไป ทุกคนตกใจกันมาก เพราะเขาขอไปได้กันหมด มีแค่เรากับเพื่อน a อีกคนนึงที่ขอไม่ได้ ตอนแรกเราก็รู้สึกดีนิดหน่อยที่เพื่อน a ก็ไปไม่ได้เหมือนเรา เพราะอย่างน้อยจะได้มีคนไว้คุยด้วย เวลาที่คนอื่นเขาวางแผนเรื่องทริปกัน แต่สุดท้ายเพื่อน a คนนั้นก็ได้ไปค่ะ เขาบอกกับเราว่าอากงเขาเป็นห่วงว่าเขาจะดูแลตัวเองไม่ไอ้ เลยให้เขาซักถุงเท้าอาทิตย์นึงเป็นเงื่อนไขว่าจะดูแลตัวเองให้เขาเห็นได้มั้ย ถ้าทำได้ก็ได้ไป เพื่อนเราซักถุงเท้าอยู่แค่สามวันอากงก็ใจอ่อนแล้วก็ให้ไปแล้วค่ะ
ตอนนั้นคนอื่นในกลุ่มเห็นว่าเพื่อน a ทำแบบนี้ก็ได้ไป ก็มาคะยั้นคะยอให้เราไปตื๊อพ่อ ไปต่อรองกับพ่อดู คิดว่าเราไม่ได้ไปเพราะพ่อเับแม่เป็นห่วงแน่ๆ เราก็ลองไปขอดูใหม่ค่ะ แต่ก็ไม่ได้ไปอยู่ดี เถียงกันแทบบ้านแตก เรารู้สึกเสียใจมากๆจนยังจำทุกเรื่องเป็นฉากๆได้ถึงตอนนี้ ตอนนั้นเราคิดแค่ว่า เราเป็นเด็กที่เก่งภาษาอังกฤษที่สุดในห้อง แต่พ่อกับแม่กลับไม่ยอมให้เราทำในสิ่งที่เราทำได้ดี ทั้งๆที่เราเก่งมากกว่าเพื่อนเราหลายคนที่แค่พูดกับอาจารย์ฝรั่งก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เราได้เรียนรู้ถึง ‘ความแตกต่าง’ ระหว่างเรากับเด็กคนอื่นๆค่ะ
หลังจากนั้นเราก็กลายเป็นเด็กมีปมไปว่าเรามีไม่เท่าเพื่อน เราเริ่มสำรวจความแตกต่างของเพื่อนกับเราถึงได้เห็นว่า เพื่อนเราทุกคนจะมีของซานริโอ้ใช้ยกเว้นเรา มีนาฬิกาเบบี้จีใส่ มีตุ๊กตาบลายธ์เล่น มีเสื้อผ้าสวยๅที่เราเคยเห็นแขวนอยู่ในห้างใส่ ทุกปิดเทอมต้องซื้อทัวร์ไปเที่ยวตปท.กันทั้งครอบครัว มีเงินเก็บกันเป็นหมื่นๆจากอั่งเปา มีพี่เลี้ยงกันอย่างน้อยคนสองคน ตอนจะกลับบ้านไม่เคยต้องถือกระเป๋าเอง อยากกินอะไรหลังเลิกเรียนก็แค่บอกพี่เลี้ยงไว้ เคยมีครั้งนึงเราหลุดปากบอกเพื่อนไปว่าเรานั่งรถสองแถวกลับบ้านทุกคนตกใจกันใหญ่ เข้ามาถามเราว่ามันคันใหญ่ดูอันตรายนะ พ่อกับแม่ยอมให้นั่งด้วยเหรอ ไม่ห่วงเหรอ
ทั้งนี้ทั้งนั้นในสังคมของเราไม่ค่อยมีเพื่อนที่ขี้โอ้อวด หรือ-ดันคนที่ไม่มีเหมือนเขาค่ะ ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นของเรามาจากตัวเราเองทั้งสิ้น แต่ก็ยอมรับว่ามีบ้างที่เวลาเพื่อนมาถามว่าทำไมเราไม่ไปตปท.ช่วงปิดเทอม หรือทำไมเราไม่มีนั่นไม่มีนี่เหมือนเขา ทำให้เราอึดอัดมากๆจนอยากจะแทบบ้าในบางครั้ง เรากลายเป็นเด็กที่เรียนรู้ที่จะโกหกไปเพื่อให้ตัวเองสบายใจ ไม่ใช่โกหกว่าเรามีนะคะ แต่โกหกว่าเราไม่ชอบไม่อยากได้ค่ะ
ทุกครั้งที่มีเพื่อนถามเราว่าทำไมเราไม่ไปตปท. เราจะตอบว่า บ้านเราทุกคนไม่ชอบเที่ยว อยากอยู่บ้านกัน คุณพ่อทำงานเหนื่อยอยากพักผ่อนอยู่บ้าน เพื่อนเราที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรก็จะพยายามคะยั้นคะยอ บอกเราว่าหอไอเฟลสูงมากนะ บิ๊กเบนนี่ใหญ่มากเลยนะอยากให้เราไปเห็นกับตาตัวเองจริงๆ ไปเที่ยวดูเถอะ เราแทบอยากร้องไห้เลยค่ะ เราเป็นแค่เด็กประถมที่ไม่รู้จะจัดการกับเรื่องพวกนี้ยังไง ยิ่งเพื่อนถามมากๆเข้าเราก็ยิ่งโกหกกับทุกเรื่อง จนกลายเป็นโรคซึมเศร้าตอนโตไปค่ะ เรามีปัญหาว่าไม่สามารถซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองได้ ทุกครั้งที่มีคนถามเราว่าทำไมไม่มีไอ้นี่ไอ้นั่น เราก็จะตอบตลอดว่าเพราะเราไม่ชอบไม่อยากได้ ทั้งที่จริงๆเราก็อยากมีแบบพวกเขานั่นแหละค่ะ แต่มันเป็นไปไม่ได้ไงคะ
พอได้มานั่งวิเคราะห์ดูว่าทำไมเราถึงได้เป็นแบบนั้น เรามองว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะพ่อกับแม่เราค่ะ เราไม่โทษพ่อกับแม่นะคะ พ่อกับแม่เราพยายามสุดๆเพื่อเราตลอด แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ พ่อกับแม่ไม่เคยแม้แต่จะพยายามอธิบายให้เราฟังค่ะ ถึงเหตุผลว่าทำไมเรามีเหมือนเพื่อนไม่ได้ แม่เราคิดว่าไม่ควรพูดเรื่องเงินกับเด็ก แต่นั่นกลับทำให้เราเกิดคำถามในใจที่ตอบไม่ได้อยู่เสมอ ตอนเป็นเด็กบางครั้งถึงกับคิดว่าหรือพ่อกับแม่ไม่รักเรา เลยแกล้งเราไม่ให้เรามีเหมือนเพื่อน เวลาทะเลาะกันพ่อกับแม่ก็จะปัดคำถามของเราตกไปแล้วบอกให้ไปตั้งใจเรียนก็พอ แต่เรารู้สึกอยู่ตลอดว่าความพยายามของเรามันไม่rewarding ไม่มีประโยชน์ พยายามแล้วไม่เห็นได้อะไรเหมือนคนอื่นเลย เราสอบได้ที่หนึ่ง ได้ไปแข่งขันที่รร.อื่น ได้ถ้วยกลับมา พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ให้อะไรเรา แต่กลับเด็กคนอื่นสอบได้แค่ที่ 10 ที่ 20 ของห้องก็ได้ตุ๊กตาบาร์บี้ตัวใหม่ตลอด
เวลาเราเอาไปถามแม่ แม่ก็จะบอกเราแค่ว่า เพื่อนเราเขาได้เพราะพ่อกับแม่เขาอยากให้ มันทำให้เราเกิดคำถามว่าแล้วพ่อกับแม่ไม่อยากให้เราบ้างเหรอ เราตั้งใจกว่าเด็กพวกนั้นอีกนะ แต่พอเราถามมากๆเขา แม่เราเขาก็จะทำเสียงดุๆบอกให้เราเลิกถาม ไม่งั้นจะฟาดด้วยไม้แขวนเสื้อ
แน่นอนค่ะว่าทุกอย่างเรามาเข้าใจตอนเริ่มโตประมาณม.ต้นว่าฐานะการเงินที่บ้านเป็นอย่างไร มาเข้าใจเพราะวันนั้นแม่ทะเลาะกับพ่อแล้วเอามาลงที่เรา อธิบายสิ่งที่เราควรจะรู้ตั้งแต่เด็กให้เราฟังในคืนเดียว แล้วทำเหมือนมันเป็นความผิดเราที่ไม่เคยรู้อะไรเลยแล้วก็เรียนแพงเอง เราเสียใจมากค่ะ นึกถึงกี่ครั้งก็ยังเสียใจอยู่ เราเข้าใจพ่อกับแม่ แต่ถ้าเป็นไปได้อยากเตือนจขกท.ในจุดนี้ค่ะ ว่าอย่าทำแบบพ่อกับแม่เรานะคะ การอยากให้ลูกได้ดี ส่งลูกเข้าสังคมที่ดีเป็นเรื่องดีค่ะ แต่การเอาใจใส่ ไม่ปกปิดเด็กในเรื่องที่เขาควรได้รู้ก็สำคัญเช่นกันค่ะ เราเชื่อว่าถ้าตอนนั้นแม่ค่อยๆบอกเรา ไม่ใช่ระเบิดออกมาทุกครั้งที่แม่โมโหพ่อ เราคงเข้าใจพ่อกับแม่แล้วไม่ทำให้เขาลำบากใจมากกว่านี้ค่ะ
ทุกวันนี้เราโตแล้ว ไม่ได้มานั่งน้อยใจพ่อกับแม่อะไรแบบนี้แล้วค่ะ แค่ปม ความเก็บกด กับความรู้สึกบางอย่างมันยังจำได้ขึ้นใจเฉยๆ
เราคิดว่าจขกท.ไม่จำเป็นต้องให้ลูกมีทุกอย่างเหมือนเพื่อนถ้ามันเกินตัวเกินไป แค่ไม่ละเลยว่าลูกอาจจะเจอปัญหาแบบเราแล้วกลายเป็นเด็กเก็บกดได้ เราว่าถ้าสอนแกดีๆ คอยตอบคำถามแกให้เข้าใจ ลูกคุณจะไม่เป็นแบบเราค่ะ
เราเรียนโรงเรียนเอกชนภาคEP ที่ค่าเทอมแพงกว่าเงินเดือนพ่อเราในตอนนั้น พ่อเราพยายามส่งให้เราเรียนที่ดีๆเพราะอยากให้เราได้อยู่ในสังคมดีๆ ซึ่งในจุดนี้เราขอบคุณพ่อกับแม่มากๆ เราสอบชิงทุนได้ไปเรียนต่างประเทศตอนป.ตรีได้ เพราะพ่อกับแม่ทุ่มทุนเรื่องการศึกษาของเรามาตลอด
แต่การที่ค่าสังคมของเราไม่ถึง ไม่เท่าคนอื่นก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่สร้างปมในใจให้เรามาถึงตอนนี้เช่นกันค่ะ
ตอนเราอยู่ป.4 เราจำได้ไม่ลืมเลยว่าครูเอาใบปลิวไปเรียนซัมเมอร์ที่สิงคโปร์มาแจก เพื่อนในกลุ่มเราตื่นเต้นกันมาก ดูตารางเที่ยวที่เขามีให้แล้วก็วางแผนกันสนุกสนานว่าจะไปแล้วทำอะไรกัน ตอนนั้นทุกคนสัญญากันว่าจะกลับบ้านไปขอพ่อกับแม่ เราที่เป็นเด็กไม่ได้รู้ว่าบ้านเรามีเงินมากแค่ไหน เอาใบปลิวให้พ่อดู แต่พอพ่อเห็นค่าใช้จ่ายก็ไม่อนุญาต เราเสียใจมาก เถียงกับพ่อ นั่งร้องไห้ทั้งคืน ตอนเช้าที่พ่อไปส่งเรียนก็ไม่ยอมคุยกับพ่อ
พอเราไปถึงห้องก็บอกเพื่อนว่าพ่อกับแม่เราไม่ให้ไป ทุกคนตกใจกันมาก เพราะเขาขอไปได้กันหมด มีแค่เรากับเพื่อน a อีกคนนึงที่ขอไม่ได้ ตอนแรกเราก็รู้สึกดีนิดหน่อยที่เพื่อน a ก็ไปไม่ได้เหมือนเรา เพราะอย่างน้อยจะได้มีคนไว้คุยด้วย เวลาที่คนอื่นเขาวางแผนเรื่องทริปกัน แต่สุดท้ายเพื่อน a คนนั้นก็ได้ไปค่ะ เขาบอกกับเราว่าอากงเขาเป็นห่วงว่าเขาจะดูแลตัวเองไม่ไอ้ เลยให้เขาซักถุงเท้าอาทิตย์นึงเป็นเงื่อนไขว่าจะดูแลตัวเองให้เขาเห็นได้มั้ย ถ้าทำได้ก็ได้ไป เพื่อนเราซักถุงเท้าอยู่แค่สามวันอากงก็ใจอ่อนแล้วก็ให้ไปแล้วค่ะ
ตอนนั้นคนอื่นในกลุ่มเห็นว่าเพื่อน a ทำแบบนี้ก็ได้ไป ก็มาคะยั้นคะยอให้เราไปตื๊อพ่อ ไปต่อรองกับพ่อดู คิดว่าเราไม่ได้ไปเพราะพ่อเับแม่เป็นห่วงแน่ๆ เราก็ลองไปขอดูใหม่ค่ะ แต่ก็ไม่ได้ไปอยู่ดี เถียงกันแทบบ้านแตก เรารู้สึกเสียใจมากๆจนยังจำทุกเรื่องเป็นฉากๆได้ถึงตอนนี้ ตอนนั้นเราคิดแค่ว่า เราเป็นเด็กที่เก่งภาษาอังกฤษที่สุดในห้อง แต่พ่อกับแม่กลับไม่ยอมให้เราทำในสิ่งที่เราทำได้ดี ทั้งๆที่เราเก่งมากกว่าเพื่อนเราหลายคนที่แค่พูดกับอาจารย์ฝรั่งก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เราได้เรียนรู้ถึง ‘ความแตกต่าง’ ระหว่างเรากับเด็กคนอื่นๆค่ะ
หลังจากนั้นเราก็กลายเป็นเด็กมีปมไปว่าเรามีไม่เท่าเพื่อน เราเริ่มสำรวจความแตกต่างของเพื่อนกับเราถึงได้เห็นว่า เพื่อนเราทุกคนจะมีของซานริโอ้ใช้ยกเว้นเรา มีนาฬิกาเบบี้จีใส่ มีตุ๊กตาบลายธ์เล่น มีเสื้อผ้าสวยๅที่เราเคยเห็นแขวนอยู่ในห้างใส่ ทุกปิดเทอมต้องซื้อทัวร์ไปเที่ยวตปท.กันทั้งครอบครัว มีเงินเก็บกันเป็นหมื่นๆจากอั่งเปา มีพี่เลี้ยงกันอย่างน้อยคนสองคน ตอนจะกลับบ้านไม่เคยต้องถือกระเป๋าเอง อยากกินอะไรหลังเลิกเรียนก็แค่บอกพี่เลี้ยงไว้ เคยมีครั้งนึงเราหลุดปากบอกเพื่อนไปว่าเรานั่งรถสองแถวกลับบ้านทุกคนตกใจกันใหญ่ เข้ามาถามเราว่ามันคันใหญ่ดูอันตรายนะ พ่อกับแม่ยอมให้นั่งด้วยเหรอ ไม่ห่วงเหรอ
ทั้งนี้ทั้งนั้นในสังคมของเราไม่ค่อยมีเพื่อนที่ขี้โอ้อวด หรือ-ดันคนที่ไม่มีเหมือนเขาค่ะ ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นของเรามาจากตัวเราเองทั้งสิ้น แต่ก็ยอมรับว่ามีบ้างที่เวลาเพื่อนมาถามว่าทำไมเราไม่ไปตปท.ช่วงปิดเทอม หรือทำไมเราไม่มีนั่นไม่มีนี่เหมือนเขา ทำให้เราอึดอัดมากๆจนอยากจะแทบบ้าในบางครั้ง เรากลายเป็นเด็กที่เรียนรู้ที่จะโกหกไปเพื่อให้ตัวเองสบายใจ ไม่ใช่โกหกว่าเรามีนะคะ แต่โกหกว่าเราไม่ชอบไม่อยากได้ค่ะ
ทุกครั้งที่มีเพื่อนถามเราว่าทำไมเราไม่ไปตปท. เราจะตอบว่า บ้านเราทุกคนไม่ชอบเที่ยว อยากอยู่บ้านกัน คุณพ่อทำงานเหนื่อยอยากพักผ่อนอยู่บ้าน เพื่อนเราที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรก็จะพยายามคะยั้นคะยอ บอกเราว่าหอไอเฟลสูงมากนะ บิ๊กเบนนี่ใหญ่มากเลยนะอยากให้เราไปเห็นกับตาตัวเองจริงๆ ไปเที่ยวดูเถอะ เราแทบอยากร้องไห้เลยค่ะ เราเป็นแค่เด็กประถมที่ไม่รู้จะจัดการกับเรื่องพวกนี้ยังไง ยิ่งเพื่อนถามมากๆเข้าเราก็ยิ่งโกหกกับทุกเรื่อง จนกลายเป็นโรคซึมเศร้าตอนโตไปค่ะ เรามีปัญหาว่าไม่สามารถซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองได้ ทุกครั้งที่มีคนถามเราว่าทำไมไม่มีไอ้นี่ไอ้นั่น เราก็จะตอบตลอดว่าเพราะเราไม่ชอบไม่อยากได้ ทั้งที่จริงๆเราก็อยากมีแบบพวกเขานั่นแหละค่ะ แต่มันเป็นไปไม่ได้ไงคะ
พอได้มานั่งวิเคราะห์ดูว่าทำไมเราถึงได้เป็นแบบนั้น เรามองว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะพ่อกับแม่เราค่ะ เราไม่โทษพ่อกับแม่นะคะ พ่อกับแม่เราพยายามสุดๆเพื่อเราตลอด แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ พ่อกับแม่ไม่เคยแม้แต่จะพยายามอธิบายให้เราฟังค่ะ ถึงเหตุผลว่าทำไมเรามีเหมือนเพื่อนไม่ได้ แม่เราคิดว่าไม่ควรพูดเรื่องเงินกับเด็ก แต่นั่นกลับทำให้เราเกิดคำถามในใจที่ตอบไม่ได้อยู่เสมอ ตอนเป็นเด็กบางครั้งถึงกับคิดว่าหรือพ่อกับแม่ไม่รักเรา เลยแกล้งเราไม่ให้เรามีเหมือนเพื่อน เวลาทะเลาะกันพ่อกับแม่ก็จะปัดคำถามของเราตกไปแล้วบอกให้ไปตั้งใจเรียนก็พอ แต่เรารู้สึกอยู่ตลอดว่าความพยายามของเรามันไม่rewarding ไม่มีประโยชน์ พยายามแล้วไม่เห็นได้อะไรเหมือนคนอื่นเลย เราสอบได้ที่หนึ่ง ได้ไปแข่งขันที่รร.อื่น ได้ถ้วยกลับมา พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ให้อะไรเรา แต่กลับเด็กคนอื่นสอบได้แค่ที่ 10 ที่ 20 ของห้องก็ได้ตุ๊กตาบาร์บี้ตัวใหม่ตลอด
เวลาเราเอาไปถามแม่ แม่ก็จะบอกเราแค่ว่า เพื่อนเราเขาได้เพราะพ่อกับแม่เขาอยากให้ มันทำให้เราเกิดคำถามว่าแล้วพ่อกับแม่ไม่อยากให้เราบ้างเหรอ เราตั้งใจกว่าเด็กพวกนั้นอีกนะ แต่พอเราถามมากๆเขา แม่เราเขาก็จะทำเสียงดุๆบอกให้เราเลิกถาม ไม่งั้นจะฟาดด้วยไม้แขวนเสื้อ
แน่นอนค่ะว่าทุกอย่างเรามาเข้าใจตอนเริ่มโตประมาณม.ต้นว่าฐานะการเงินที่บ้านเป็นอย่างไร มาเข้าใจเพราะวันนั้นแม่ทะเลาะกับพ่อแล้วเอามาลงที่เรา อธิบายสิ่งที่เราควรจะรู้ตั้งแต่เด็กให้เราฟังในคืนเดียว แล้วทำเหมือนมันเป็นความผิดเราที่ไม่เคยรู้อะไรเลยแล้วก็เรียนแพงเอง เราเสียใจมากค่ะ นึกถึงกี่ครั้งก็ยังเสียใจอยู่ เราเข้าใจพ่อกับแม่ แต่ถ้าเป็นไปได้อยากเตือนจขกท.ในจุดนี้ค่ะ ว่าอย่าทำแบบพ่อกับแม่เรานะคะ การอยากให้ลูกได้ดี ส่งลูกเข้าสังคมที่ดีเป็นเรื่องดีค่ะ แต่การเอาใจใส่ ไม่ปกปิดเด็กในเรื่องที่เขาควรได้รู้ก็สำคัญเช่นกันค่ะ เราเชื่อว่าถ้าตอนนั้นแม่ค่อยๆบอกเรา ไม่ใช่ระเบิดออกมาทุกครั้งที่แม่โมโหพ่อ เราคงเข้าใจพ่อกับแม่แล้วไม่ทำให้เขาลำบากใจมากกว่านี้ค่ะ
ทุกวันนี้เราโตแล้ว ไม่ได้มานั่งน้อยใจพ่อกับแม่อะไรแบบนี้แล้วค่ะ แค่ปม ความเก็บกด กับความรู้สึกบางอย่างมันยังจำได้ขึ้นใจเฉยๆ
เราคิดว่าจขกท.ไม่จำเป็นต้องให้ลูกมีทุกอย่างเหมือนเพื่อนถ้ามันเกินตัวเกินไป แค่ไม่ละเลยว่าลูกอาจจะเจอปัญหาแบบเราแล้วกลายเป็นเด็กเก็บกดได้ เราว่าถ้าสอนแกดีๆ คอยตอบคำถามแกให้เข้าใจ ลูกคุณจะไม่เป็นแบบเราค่ะ
ความคิดเห็นที่ 10
ผมสามารถส่งลูกเรียน โรงเรียน นานาชาติได้...แต่ผมเลือกให้เขาเรียน นา นา นา...
อยู่ที่เรา และลูกครับ ว่าจะเลือกแบบไหน สำคัญที่สุดมองไปถึงอนาคต ตอนที่เขาไม่มีเราแล้ว จะอยู่อย่างงัย.
ปล.ตอนนี้กำลังจะขึ้น ป.2 เรียนโรงเรียนแบบ บูรณาการ มาตั้งแต่ อนุบาล (เรียนหลักการ 7้ habits และ light house)









อยู่ที่เรา และลูกครับ ว่าจะเลือกแบบไหน สำคัญที่สุดมองไปถึงอนาคต ตอนที่เขาไม่มีเราแล้ว จะอยู่อย่างงัย.
ปล.ตอนนี้กำลังจะขึ้น ป.2 เรียนโรงเรียนแบบ บูรณาการ มาตั้งแต่ อนุบาล (เรียนหลักการ 7้ habits และ light house)










ความคิดเห็นที่ 2
ส่วนตัวมองว่าถ้ายังเล็กมากๆอาจจะไม่รู้สึกอะไร
แต่พอเด็กเริ่มรู้เรื่องมากๆ เหมือนจับเค้าวางในสังคมที่เค้าไม่สามารถเป็นส่วนนึงด้วยได้
เพื่อนๆมีของเล่นของใช้ดีๆ ลูกไม่มี. เพื่อนๆคุยกันเรื่องไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ ไปซัมเมอร์ที่โน่นนี่นั่น แล้วเราจะซัพพอร์ตลูกจุดนี้ได้มากแค่ไหน
อย่าว่าแต่โรงเรียนนานาชาติเลย ตัวเราเองจำได้สมัยเรียนมหาลัย(ของรัฐแห่งนึงใจกลางเมือง) ตอนปี1เข้าไปแรกๆมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ สุดท้ายกลุ่มก็ค่อยๆหดไปเหลือเแพาะคนที่มีไลฟ์สไตล์ตรงกันและเข้ากันได้
จำได้ไม่ลืมเลยว่าเพื่อนคนนึงมาบอกเราว่า เพื่อนชื่อ อ. ไม่สามารถไปกินข้าวนอกมหาลัยหรือตามร้านอาหารทุกเที่ยงแบบพวกเราได้ และเพื่อนไม่สามารถต่อบทสนทนากับพวกเราได้ อย่างเวลาเราคุยกันเรื่องที่จอดรถในมหาลัย ที่เที่ยวต่างๆ แฟชั่นกระเป๋าเสื้อผ้าเครื่องสำอางค์ หรือแม้แต่เวลาเม้ามอยดารา. ทั้งๆที่เราไม่ได้คิดอะไรมากมาย คิดว่ายังไงก็เพื่อน
ตอนนั้นเรารู้สึกแย่มาก แต่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อแก้ไขจุดนั้น ทุกวันนี้มองย้อนกลับไป คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่ไม่ดีเลย แต่ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าคนที่มาจากภูมิหลังต่างกันฐานะที่ต่างกัน แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่เจ้าตัวเค้าต้องรู้สึกแปลกแยกแน่ๆ.
นี่ขนาดเรียนมหาลัยแล้ว. แล้วเด็กๆที่ยังอยู่ในวัยเปรียบเทียบจะรู้สึกแย่ขนาดไหน.
แต่พอเด็กเริ่มรู้เรื่องมากๆ เหมือนจับเค้าวางในสังคมที่เค้าไม่สามารถเป็นส่วนนึงด้วยได้
เพื่อนๆมีของเล่นของใช้ดีๆ ลูกไม่มี. เพื่อนๆคุยกันเรื่องไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ ไปซัมเมอร์ที่โน่นนี่นั่น แล้วเราจะซัพพอร์ตลูกจุดนี้ได้มากแค่ไหน
อย่าว่าแต่โรงเรียนนานาชาติเลย ตัวเราเองจำได้สมัยเรียนมหาลัย(ของรัฐแห่งนึงใจกลางเมือง) ตอนปี1เข้าไปแรกๆมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ สุดท้ายกลุ่มก็ค่อยๆหดไปเหลือเแพาะคนที่มีไลฟ์สไตล์ตรงกันและเข้ากันได้
จำได้ไม่ลืมเลยว่าเพื่อนคนนึงมาบอกเราว่า เพื่อนชื่อ อ. ไม่สามารถไปกินข้าวนอกมหาลัยหรือตามร้านอาหารทุกเที่ยงแบบพวกเราได้ และเพื่อนไม่สามารถต่อบทสนทนากับพวกเราได้ อย่างเวลาเราคุยกันเรื่องที่จอดรถในมหาลัย ที่เที่ยวต่างๆ แฟชั่นกระเป๋าเสื้อผ้าเครื่องสำอางค์ หรือแม้แต่เวลาเม้ามอยดารา. ทั้งๆที่เราไม่ได้คิดอะไรมากมาย คิดว่ายังไงก็เพื่อน
ตอนนั้นเรารู้สึกแย่มาก แต่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อแก้ไขจุดนั้น ทุกวันนี้มองย้อนกลับไป คิดว่าเราเป็นเพื่อนที่ไม่ดีเลย แต่ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าคนที่มาจากภูมิหลังต่างกันฐานะที่ต่างกัน แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่เจ้าตัวเค้าต้องรู้สึกแปลกแยกแน่ๆ.
นี่ขนาดเรียนมหาลัยแล้ว. แล้วเด็กๆที่ยังอยู่ในวัยเปรียบเทียบจะรู้สึกแย่ขนาดไหน.
ความคิดเห็นที่ 8
จากประสบการณ์ตรงนะคะ ตอนนี้ลูกเรากำลังเรียนอยู่ รร. นานาชาติใจกลางเมือง เรทราคาปีละเกิน 5 แสน มีชาวต่างชาติเรียนเกิน 70%
เราก็เห็นพ่อแม่ของนักเรียนคนอื่นๆ เดิน - ไถสกู๊ตเตอร์ - ขี่มอเตอร์ไซด์ - นั่งวิน - นั่งแท็กซี่ - นั่งรถตู้นักเรียน จนไปถึงนั่งรถหรูราคาเป็น 10 ล้าน มีคนขับรถมาส่งเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ส่งลูกเสร็จ บรรดาแม่ๆ ก็ไปนั่งตามร้านกาแฟ ร้านข้าวแกง ใต้ตึกออฟฟิสแถวๆ นั้น ไม่ได้เห็นว่าสังคมจะเริดหรูแบบที่คนพูดกันไปนะคะ
ชีวิตประจำวันของลูกเราก็เหมือนเด็กปกติ ซื้อขนมใน 7-11 กินข้าวแกง อาหารตามสั่งตามร้านทั่วไป ข้างทางบ้าง ตึกแถวบ้าง แต่ร้านหรูๆ ก็มีเหมือนกัน ตามแต่ความสะดวกและความอยาก
เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน ถ้าไปพวกสวนสนุกในห้าง ก็มีแม่ๆ ที่คอยหาบัตรลด โปรบัตรเครดิต เหมือนคนทั่วๆ ไปหล่ะค่ะ
ถ้าจะมีฟุ่มเฟือยหน่อยก็อาจจะเป็นเรื่องของการไปเที่ยว ตปท. เพราะเด็กๆ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ปิดเทอมที ทุกคนก็กลับประเทศตัวเอง คนไทยช่วงนี้ก็นิยมไปสกีที่ญี่ปุ่น เด็กๆ ก็จะมีคุยเรื่องนี้กันบ้าง แต่ถ้าอย่างครอบครัวเราและอึกหลายๆ คน พ่อแม่ทำงานประจำไม่ได้หยุดได้บ่อยๆ เราก็เที่ยวกันปีละหนเท่านั้นแหล่ะค่ะ
สรุปคือ ถ้าคุณมีรายได้ขนาดที่ไม่เดือดร้อนเรื่องค่าเทอมหลักแสนแล้ว คุณน่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องค่าสังคมในชีวิตประจำวันหรอกค่ะ เด็กๆ ก็ใช้ชีวิตปกติไม่ได้มีอะไรมากมายเท่าที่คนเค้าลือกันไปหรอกค่ะ
เราก็เห็นพ่อแม่ของนักเรียนคนอื่นๆ เดิน - ไถสกู๊ตเตอร์ - ขี่มอเตอร์ไซด์ - นั่งวิน - นั่งแท็กซี่ - นั่งรถตู้นักเรียน จนไปถึงนั่งรถหรูราคาเป็น 10 ล้าน มีคนขับรถมาส่งเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ส่งลูกเสร็จ บรรดาแม่ๆ ก็ไปนั่งตามร้านกาแฟ ร้านข้าวแกง ใต้ตึกออฟฟิสแถวๆ นั้น ไม่ได้เห็นว่าสังคมจะเริดหรูแบบที่คนพูดกันไปนะคะ
ชีวิตประจำวันของลูกเราก็เหมือนเด็กปกติ ซื้อขนมใน 7-11 กินข้าวแกง อาหารตามสั่งตามร้านทั่วไป ข้างทางบ้าง ตึกแถวบ้าง แต่ร้านหรูๆ ก็มีเหมือนกัน ตามแต่ความสะดวกและความอยาก
เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน ถ้าไปพวกสวนสนุกในห้าง ก็มีแม่ๆ ที่คอยหาบัตรลด โปรบัตรเครดิต เหมือนคนทั่วๆ ไปหล่ะค่ะ
ถ้าจะมีฟุ่มเฟือยหน่อยก็อาจจะเป็นเรื่องของการไปเที่ยว ตปท. เพราะเด็กๆ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ปิดเทอมที ทุกคนก็กลับประเทศตัวเอง คนไทยช่วงนี้ก็นิยมไปสกีที่ญี่ปุ่น เด็กๆ ก็จะมีคุยเรื่องนี้กันบ้าง แต่ถ้าอย่างครอบครัวเราและอึกหลายๆ คน พ่อแม่ทำงานประจำไม่ได้หยุดได้บ่อยๆ เราก็เที่ยวกันปีละหนเท่านั้นแหล่ะค่ะ
สรุปคือ ถ้าคุณมีรายได้ขนาดที่ไม่เดือดร้อนเรื่องค่าเทอมหลักแสนแล้ว คุณน่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องค่าสังคมในชีวิตประจำวันหรอกค่ะ เด็กๆ ก็ใช้ชีวิตปกติไม่ได้มีอะไรมากมายเท่าที่คนเค้าลือกันไปหรอกค่ะ
ความคิดเห็นที่ 39
คคห.บน ๆ ได้ครอบคลุมทุกมิติไปแล้ว
สรุปได้ว่า ความแปลกแยก อาจจะไม่ได้เกิดจากสังคมที่อยู่รอบตัว หากแต่อยู่ที่ตัวเด็กเอง
หากเด็กค่อย ๆ ซึมซับความรู้สึกว่ามีไม่เท่าเพื่อน ไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกนี้อาจจะมากขึ้น และมากขึ้น ยิ่งโตขึ้น ก็เห็นภาพนี้ชัดขึ้น
สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ปัญหา หากเขายอมรับความแตกต่าง และไหลลื่นไปกับมัน
แต่ที่แย่คือ หากเขารู้สึกว่าการไม่มี เกิดพัฒนากลายเป็นความรู้สึก"ขาด" แล้วทำให้เกิดความรู้สึกด้อยตามมา
ทั้งที่ หากเทียบกับเด็กทั่วไป เขาไม่ได้ขาดเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เทียบกับเพื่อน กับสังคมในโรงเรียน เขามีไม่เท่า แค่นั้นเอง
อันนี้ ไม่มีใครบอกได้หรอกครับว่า ความรู้สึกของเขาจะไปทางไหน และเขาจะ"ทรงตัว"อยู่บนความรู้สึกนั้นได้อย่างไร
สรุปได้ว่า ความแปลกแยก อาจจะไม่ได้เกิดจากสังคมที่อยู่รอบตัว หากแต่อยู่ที่ตัวเด็กเอง
หากเด็กค่อย ๆ ซึมซับความรู้สึกว่ามีไม่เท่าเพื่อน ไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกนี้อาจจะมากขึ้น และมากขึ้น ยิ่งโตขึ้น ก็เห็นภาพนี้ชัดขึ้น
สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ปัญหา หากเขายอมรับความแตกต่าง และไหลลื่นไปกับมัน
แต่ที่แย่คือ หากเขารู้สึกว่าการไม่มี เกิดพัฒนากลายเป็นความรู้สึก"ขาด" แล้วทำให้เกิดความรู้สึกด้อยตามมา
ทั้งที่ หากเทียบกับเด็กทั่วไป เขาไม่ได้ขาดเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เทียบกับเพื่อน กับสังคมในโรงเรียน เขามีไม่เท่า แค่นั้นเอง
อันนี้ ไม่มีใครบอกได้หรอกครับว่า ความรู้สึกของเขาจะไปทางไหน และเขาจะ"ทรงตัว"อยู่บนความรู้สึกนั้นได้อย่างไร
แสดงความคิดเห็น
ถ้ามีลูกแล้วส่งลูกเรียน โรงเรียนนานาชาติ ถ้ามีเงินจ่ายค่าเรียน แต่ค่าสังคมมีไม่ถึงจะเป็นไงครับ
เรื่องเรียน และ กีฬาสนับสนุนเต็มที่ คงหาที่เรียนหรือกิจกรรมที่เด็กชอบ กะว่าเรียนเล่น เด็กต้องทำได้ดีไม่น้อยหน้าเพื่อน
เรื่องสิ้นเปลือง คงตัดๆออก แต่ไม่รู้มีอะไรบ้าง ค่าสังคมมีอะไรบ้างครับ
จะมีลกระทบอะไรตามมาครับ
ปล. ถ้าคุณมีคำถามแบบผม และเจอกระทู้นี้ผมอยากให้อ่านทุกๆ คห. เพราะมรู้สึกว่ามันทุก คห.คือเป็นประโยชน์มากๆบางประสบการณ์เราควรเรียนรู้เอง
แต่บางประการณ์เรียนรู้จาก สังคมก็จะทำให้เรามองกว้างขึ้น