
อยากให้คนเป็นพ่อแม่ ได้อ่าน...และสำหรับเด็กๆ ในวัยเรียน ยิ่งอยากให้อ่าน
ในสังคมที่เราอยู่ มีคนใช้ชีวิตอยู่ 3 แบบ
แบบที่ 1.
มีหลายๆคน ร่ำเรียน จบมาทำงาน และใช้ชีวิตแบบนั้นไปจนแก่ตัว โดยที่เขาอาจไม่ได้รู้เลย ว่าเขาเป็นใคร อยากทำอะไร ชอบอะไร อยากใช้ชีวิตแบบไหน เพราะเขาไม่มีโอกาสได้ค้นพบตัวเอง...แต่จริงๆมันก็ไม่ได้ผิดอะไร ถ้าเขาก็มีงาน มีบ้าน และได้ใช้ชีวิตไปตามทางที่เป็น
แบบที่ 2
...มีอีกหลายๆคน ที่ค้นพบตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยากเป็นอะไร อยากใช้ชีวิตแบบไหน แต่ด้วยกรอบ ด้วยสถานะในสังคมที่ขีดไว้ ให้ต้องเดินตามกรอบนั้น หลายๆคน จำต้องเป็นไปในแบบที่ไม่ใช่ตัวเอง....การเลือกเดินในกรอบที่มีคนขีดไว้ให้ หรือตามที่สังคมขีดไว้ให้ บางทีมันก็ง่ายในวิธีการ แต่อาจยากในหัวใจ และด้วยความที่มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ชีวิตที่เราอยากเป็น เมื่อถึงในวันที่เราเจอปัญหา ในวันที่เราล้มลง...มันอาจยากที่จะอยากลุกขึ้นมา เพื่อเดินต่อไป...ถึงเราลุกขึ้นมา อาจลุกด้วยความจำยอม ด้วยความจำเป็น แต่ไม่ใช่ด้วยหัวใจ..เคยอ่านข้อความนึง เขาไปนั่งคุยกับคนป่วย ที่รู้ตัวว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน...ว่า...เสียใจอะไรที่สุดในชีวิต...คนส่วนใหญ่ตอบว่า ไม่ได้เสียใจอะไรในสิ่งที่ทำไป...แต่เสียใจในสิ่งที่เขาอยากทำ แต่ไม่ได้ทำ
แบบที่ 3
...และก็มีอีกหลายๆคน ที่เลือก ที่จะเป็นตัวเอง สร้างชีวิต และใช้ชีวิตในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน นั่นคือ เดินทางชีวิตไปตาม Passion (ความหลงไหล ความถนัด จนก้าวไปเป็นความชำนาญในสิ่งที่ทำ) แม้จะขัดต่อสายตา คนรอบข้าง ด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยความห่วงใย
แต่เส้นทางแบบที่ 3 นี้ มันอาจยากนะ มันไม่มีตัวอย่างให้เลือกเดิน ไม่มีเส้นขีดไว้ล่วงหน้า ไม่มีใครให้เลียนแบบ ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะเป็นเส้นทางที่เราต้องขีดเอาเอง ต้องขีดในแบบฉบับของเราเอง มันคงต้องมีทั้งผิดและถูก......คุณต้องเข้มแข็ง ต้องฝ่าฟันจากสายตาคนรอบข้าง ต้องกล้าล้ม ล้มแล้วล้มอีก อาจล้มบ่อย..จนกลายเป็นไอ้คนไม่ได้เรื่องในสายตาคนรอบข้างไปเลยก็เป็นได้ และต้องแกร่งพอ ที่จะไม่ใส่ใจสายตาคนทั่วๆไป ที่มองมาในเวลาที่เราล้ม แล้วเขาก็เข้าใจว่า นั่นคือความล้มเหลว....คุณต้องนิ่งพอ มีสมาธิให้มากๆกับตัวเอง ที่จะไม่มีวันท้อในเส้นทางที่เราเลือกเดินเอง
ผมเป็นแบบที่ 3....และอยากจะบอกว่า การได้ใช้ชีวิต ที่เป็นตัวเอง ความ..ใช่...ในตัวเรา ใช้ชีวิตไปตาม Passion...เวลาทำอะไรมันก็สำเร็จได้ง่ายมาก เพราะมันคือตัวเรา คือความชอบของเรา เป็นเส้นทางชีวิตที่ เราเลือกแล้ว ด้วยสติปัญญาที่เราได้ไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว...
ถึงแม้มันยาก แต่อยากจะบอกว่า...เมื่อถึงเวลาที่เราประสบความสำเร็จในชีวิต คุณจะโคตรมีความสุข..
ไม่สิ...จริงๆแล้ว คุณจะมีความสุขตั้งแต่ในวันที่เริ่มใช้ชีวิต ในความเป็นตัวเองเลยล่ะ
จะมีความสุขบนเส้นทางในขณะที่กำลังเดิน แม้จะมีวันที่ล้ม แต่ก็ยังอยู่ท่ามกลางแรงศรัทธาในสิ่งที่ทำ แรงศรัทธา แรงพลังใจ ที่มันจะพาคุณลุกขึ้นมา และทำต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถ้าเราศรัทธาในสิ่งที่เราทำมากๆ เชื่อมั้ยว่าบางที...เราอาจไม่ได้ต้องการกำลังใจจากใครๆเลย
.........................
ถ้าคุณเป็นเด็กในวัยเรียนรู้ และมีโอกาสได้อ่านข้อความนี้ จงเข้าใจไว้ว่า ความรู้/วุฒิทางการศึกษา และ Passion มันคนละเรื่องกัน และมันต้องสร้างไปควบคู่กัน
ถ้าคุณยังเป็นเด็ก อย่าปล่อยชีวิตให้ล่วงเลยไป จนวันนึงข้างหน้า วันที่คุณอาจจะอายุ 30 ยืนมองตัวเองในกระจก แล้วตอบตัวเองไม่ได้เลยว่า Passion ฉันคืออะไร....ฉันถนัดอะไร ชอบอะไร หลงไหลอะไร เชี่ยวชาญด้านไหน
เพราะเราอาจคาดไม่ถึงว่า โลกในอีก 10 ปีข้างหน้า ในวันที่คุณเป็นผู้ใหญ่ อยู่ในวัยทำงาน อาจได้เห็นว่า คนที่ใช้ Passion เป็นตัวนำทาง ทำอะไรก็ตาม สำเร็จเพียงครั้งเดียว เขาอาจไม่ต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวิต...ก็อาจเป็นได้.
..........................
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่....อยากจะบอกว่า..ด้วยการเชื่อมโยงแบบออนไลน์ในโลกยุคใหม่ ถ้าเด็กเขาเริ่มกางปีกบินได้แล้ว รับรองเลยล่ะ คนรุ่นพ่อแม่ยุค 56k อย่างเรา จะไม่มีวันตามเขาได้ทัน
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ ได้อ่านข้อความนี้...อยากให้ลองหันไปมองที่หัวใจของลูก..ว่าความสุขของเขาคืออะไร..ลองให้เขาได้มีโอกาสได้ก้าวเดิน ด้วยหัวใจของเขาเอง เราแค่คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง แค่ช่วยผลักดันที่หลังเขาเบาๆ ให้เขาได้รับรู้ว่า มีกำลังใจอยู่เคียงข้างเสมอ รักในความเป็นตัวเขา รักในหัวใจของเขา ให้เขาได้ลองตัดสินใจ เลือกก้าวเดินไปข้างหน้า ด้วยหัวใจเขาเอง...เราพ่อแม่ เราควรอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับลูก เส้นทางของเขา เชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเขา เชื่อมั่นว่าเขาทำได้ และในวันที่เขาล้มลง เราก็จะเชื่อมั่นว่า ลูกจะล้มกี่ครั้งก็ได้ ไม่เป็นไร จะเป็นพ่อแม่ที่ยืนเคียงข้าง และก้าวเข้าเส้นชัยไปพร้อมๆกัน
อย่าปล่อยให้เขาอยู่บนเส้นทางโดยลำพัง อย่าตัดสินเขาในเส้นทางที่เราไม่เข้าใจ และแม้ในวันที่เขาล้มลง บางทีเขาไม่ต้องการการชี้นำ ว่าแบบไหนถูก แบบนี้ผิด บางทีเขาแค่ต้องการความเข้าใจจากคนที่มีความหมายต่อหัวใจ..เขาอาจต้องการแค่นั้น...เราอย่าเป็นพ่อแม่ ที่ไปยืนรอที่เส้นชัย เพื่อแสดงความยินดี แสดงความภูมิใจ แต่ในวันที่เขาล้มลุกคลุกคลาน กว่าจะเดินถึงเส้นชัย เราไม่เคยยืนเคียงข้างเลย
ขอให้บทความนี้ ได้เปลี่ยนชีวิตของใครสักคนก็ตาม..ขอให้เขาอ่านแล้ว ได้เลือกในสิ่งที่เขาเป็น และประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น
ขอให้บทความนี้ ได้เปลี่ยนมุมมองของพ่อแม่ ใครก็ได้สักคน...ขอให้อ่านแล้ว หันไปมองที่ลูก และมองเข้าไปในหัวใจของเขา..นะครับ.
จะมีซักกี่คน ที่ได้ใช้ชีวิต ในความเป็นตัวเอง..อยากให้คนวัยเรียนและคนเป็นพ่อแม่..ได้อ่าน
อยากให้คนเป็นพ่อแม่ ได้อ่าน...และสำหรับเด็กๆ ในวัยเรียน ยิ่งอยากให้อ่าน
ในสังคมที่เราอยู่ มีคนใช้ชีวิตอยู่ 3 แบบ
แบบที่ 1.
มีหลายๆคน ร่ำเรียน จบมาทำงาน และใช้ชีวิตแบบนั้นไปจนแก่ตัว โดยที่เขาอาจไม่ได้รู้เลย ว่าเขาเป็นใคร อยากทำอะไร ชอบอะไร อยากใช้ชีวิตแบบไหน เพราะเขาไม่มีโอกาสได้ค้นพบตัวเอง...แต่จริงๆมันก็ไม่ได้ผิดอะไร ถ้าเขาก็มีงาน มีบ้าน และได้ใช้ชีวิตไปตามทางที่เป็น
แบบที่ 2
...มีอีกหลายๆคน ที่ค้นพบตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยากเป็นอะไร อยากใช้ชีวิตแบบไหน แต่ด้วยกรอบ ด้วยสถานะในสังคมที่ขีดไว้ ให้ต้องเดินตามกรอบนั้น หลายๆคน จำต้องเป็นไปในแบบที่ไม่ใช่ตัวเอง....การเลือกเดินในกรอบที่มีคนขีดไว้ให้ หรือตามที่สังคมขีดไว้ให้ บางทีมันก็ง่ายในวิธีการ แต่อาจยากในหัวใจ และด้วยความที่มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ชีวิตที่เราอยากเป็น เมื่อถึงในวันที่เราเจอปัญหา ในวันที่เราล้มลง...มันอาจยากที่จะอยากลุกขึ้นมา เพื่อเดินต่อไป...ถึงเราลุกขึ้นมา อาจลุกด้วยความจำยอม ด้วยความจำเป็น แต่ไม่ใช่ด้วยหัวใจ..เคยอ่านข้อความนึง เขาไปนั่งคุยกับคนป่วย ที่รู้ตัวว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน...ว่า...เสียใจอะไรที่สุดในชีวิต...คนส่วนใหญ่ตอบว่า ไม่ได้เสียใจอะไรในสิ่งที่ทำไป...แต่เสียใจในสิ่งที่เขาอยากทำ แต่ไม่ได้ทำ
แบบที่ 3
...และก็มีอีกหลายๆคน ที่เลือก ที่จะเป็นตัวเอง สร้างชีวิต และใช้ชีวิตในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน นั่นคือ เดินทางชีวิตไปตาม Passion (ความหลงไหล ความถนัด จนก้าวไปเป็นความชำนาญในสิ่งที่ทำ) แม้จะขัดต่อสายตา คนรอบข้าง ด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยความห่วงใย
แต่เส้นทางแบบที่ 3 นี้ มันอาจยากนะ มันไม่มีตัวอย่างให้เลือกเดิน ไม่มีเส้นขีดไว้ล่วงหน้า ไม่มีใครให้เลียนแบบ ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะเป็นเส้นทางที่เราต้องขีดเอาเอง ต้องขีดในแบบฉบับของเราเอง มันคงต้องมีทั้งผิดและถูก......คุณต้องเข้มแข็ง ต้องฝ่าฟันจากสายตาคนรอบข้าง ต้องกล้าล้ม ล้มแล้วล้มอีก อาจล้มบ่อย..จนกลายเป็นไอ้คนไม่ได้เรื่องในสายตาคนรอบข้างไปเลยก็เป็นได้ และต้องแกร่งพอ ที่จะไม่ใส่ใจสายตาคนทั่วๆไป ที่มองมาในเวลาที่เราล้ม แล้วเขาก็เข้าใจว่า นั่นคือความล้มเหลว....คุณต้องนิ่งพอ มีสมาธิให้มากๆกับตัวเอง ที่จะไม่มีวันท้อในเส้นทางที่เราเลือกเดินเอง
ผมเป็นแบบที่ 3....และอยากจะบอกว่า การได้ใช้ชีวิต ที่เป็นตัวเอง ความ..ใช่...ในตัวเรา ใช้ชีวิตไปตาม Passion...เวลาทำอะไรมันก็สำเร็จได้ง่ายมาก เพราะมันคือตัวเรา คือความชอบของเรา เป็นเส้นทางชีวิตที่ เราเลือกแล้ว ด้วยสติปัญญาที่เราได้ไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว...
ถึงแม้มันยาก แต่อยากจะบอกว่า...เมื่อถึงเวลาที่เราประสบความสำเร็จในชีวิต คุณจะโคตรมีความสุข..
ไม่สิ...จริงๆแล้ว คุณจะมีความสุขตั้งแต่ในวันที่เริ่มใช้ชีวิต ในความเป็นตัวเองเลยล่ะ
จะมีความสุขบนเส้นทางในขณะที่กำลังเดิน แม้จะมีวันที่ล้ม แต่ก็ยังอยู่ท่ามกลางแรงศรัทธาในสิ่งที่ทำ แรงศรัทธา แรงพลังใจ ที่มันจะพาคุณลุกขึ้นมา และทำต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถ้าเราศรัทธาในสิ่งที่เราทำมากๆ เชื่อมั้ยว่าบางที...เราอาจไม่ได้ต้องการกำลังใจจากใครๆเลย
.........................
ถ้าคุณเป็นเด็กในวัยเรียนรู้ และมีโอกาสได้อ่านข้อความนี้ จงเข้าใจไว้ว่า ความรู้/วุฒิทางการศึกษา และ Passion มันคนละเรื่องกัน และมันต้องสร้างไปควบคู่กัน
ถ้าคุณยังเป็นเด็ก อย่าปล่อยชีวิตให้ล่วงเลยไป จนวันนึงข้างหน้า วันที่คุณอาจจะอายุ 30 ยืนมองตัวเองในกระจก แล้วตอบตัวเองไม่ได้เลยว่า Passion ฉันคืออะไร....ฉันถนัดอะไร ชอบอะไร หลงไหลอะไร เชี่ยวชาญด้านไหน
เพราะเราอาจคาดไม่ถึงว่า โลกในอีก 10 ปีข้างหน้า ในวันที่คุณเป็นผู้ใหญ่ อยู่ในวัยทำงาน อาจได้เห็นว่า คนที่ใช้ Passion เป็นตัวนำทาง ทำอะไรก็ตาม สำเร็จเพียงครั้งเดียว เขาอาจไม่ต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวิต...ก็อาจเป็นได้.
..........................
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่....อยากจะบอกว่า..ด้วยการเชื่อมโยงแบบออนไลน์ในโลกยุคใหม่ ถ้าเด็กเขาเริ่มกางปีกบินได้แล้ว รับรองเลยล่ะ คนรุ่นพ่อแม่ยุค 56k อย่างเรา จะไม่มีวันตามเขาได้ทัน
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ ได้อ่านข้อความนี้...อยากให้ลองหันไปมองที่หัวใจของลูก..ว่าความสุขของเขาคืออะไร..ลองให้เขาได้มีโอกาสได้ก้าวเดิน ด้วยหัวใจของเขาเอง เราแค่คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง แค่ช่วยผลักดันที่หลังเขาเบาๆ ให้เขาได้รับรู้ว่า มีกำลังใจอยู่เคียงข้างเสมอ รักในความเป็นตัวเขา รักในหัวใจของเขา ให้เขาได้ลองตัดสินใจ เลือกก้าวเดินไปข้างหน้า ด้วยหัวใจเขาเอง...เราพ่อแม่ เราควรอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับลูก เส้นทางของเขา เชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเขา เชื่อมั่นว่าเขาทำได้ และในวันที่เขาล้มลง เราก็จะเชื่อมั่นว่า ลูกจะล้มกี่ครั้งก็ได้ ไม่เป็นไร จะเป็นพ่อแม่ที่ยืนเคียงข้าง และก้าวเข้าเส้นชัยไปพร้อมๆกัน
อย่าปล่อยให้เขาอยู่บนเส้นทางโดยลำพัง อย่าตัดสินเขาในเส้นทางที่เราไม่เข้าใจ และแม้ในวันที่เขาล้มลง บางทีเขาไม่ต้องการการชี้นำ ว่าแบบไหนถูก แบบนี้ผิด บางทีเขาแค่ต้องการความเข้าใจจากคนที่มีความหมายต่อหัวใจ..เขาอาจต้องการแค่นั้น...เราอย่าเป็นพ่อแม่ ที่ไปยืนรอที่เส้นชัย เพื่อแสดงความยินดี แสดงความภูมิใจ แต่ในวันที่เขาล้มลุกคลุกคลาน กว่าจะเดินถึงเส้นชัย เราไม่เคยยืนเคียงข้างเลย
ขอให้บทความนี้ ได้เปลี่ยนชีวิตของใครสักคนก็ตาม..ขอให้เขาอ่านแล้ว ได้เลือกในสิ่งที่เขาเป็น และประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น
ขอให้บทความนี้ ได้เปลี่ยนมุมมองของพ่อแม่ ใครก็ได้สักคน...ขอให้อ่านแล้ว หันไปมองที่ลูก และมองเข้าไปในหัวใจของเขา..นะครับ.