สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
ถ้าจัดการกับมันไม่เป็น หรือ จัดการกับสมาร์ทโฟนของตนเองไม่เป็น แนะนำว่าให้เลิกใช้มันซะเถอะนะจ๊ะ
หรือ ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้เลยก็สามารถใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้อย่างมีคุณภาพนะ เชื่อเราเถอะ
//
#ความคิดเห็นจาก ผู้ที่ไม่เคยมีไลน์ ไม่เคยมีเฟสบุ๊ค ไม่เคยมีอินสตาแกรม ไม่มีว็อทส์แอ็พ ไม่เคยมีทวิตเต้อร์
//
กระทู้ จะมีไหม ยุคนี้ ที่จะมีใครไม่เล่น Facebook , skype , ig , line
https://pantip.com/topic/37925429/comment94
กระทู้ มันดูต่างจากคนอื่นมากหรอคะ แค่ไม่ใช้เฟสบุ๊ค-ไลน์-ทวิต-ไอจี
https://pantip.com/topic/36554521/comment20
เราเคยไปตอบเอาไว้ที่ คห 20 ดังนี้ ...
ไม่แปลก เราเองไม่มีไอจี ไม่มีไลน์ ไม่มีเฟสบุ๊ค ไม่มีทวิตเต้อร์ ไอซีคิวไม่เคยมี เอ็มเอสเอ็นไม่เคยมี ไฮไฟว์ก็ไม่เคยมี บล็อกไม่เคยมี
เคยเจอคนไทยว่าเหมือนกัน บางคนก็ไม่เชื่อว่าเราไม่มีของพวกนี้ บางคนก็กดดันให้เรามี บางคนนินทาเราลับหลัง
แต่เราไม่เคยคิดที่จะมีสิ่งเหล่านี้เลย ไม่มีความจำเป็น ส่วนใครอยากมีก็มี อยากเล่นก็เล่นไป ไม่เกี่ยวกับเรา
ถึงจะไม่มีของพวกนี้ แต่เราปกติมาก และ ไลฟ์สไตล์ที่เรามี ชีวิตที่เราต้องใช้ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ที่มีสิ่งพวกนี้อยากมี เพื่อที่จะเอาไว้อัพอวด
หรือ เอาไว้แสดงสถานะภาพทางสังคม เพื่อการได้รับการยอมรับ ยกย่อง นับถือ จากคนส่วนใหญ่นั่นเอง แต่เราไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น
ส่วนโทรศัพท์มือถือ มี 3 เครื่อง 3 เบอร์ 3 ประเทศ เวลานอนจะปิดมือถือ อยู่บนเครื่องบินก็ปิดอยู่แล้ว
เข้าโรงหนัง เข้าฟิตเนส เข้าร้านอาหาร ปิดมือถือ หรือ ปิดเสียงเอาไว้ เราจะเปิดโทรศัพท์ก็ต่อเมื่อพร้อมที่จะให้คนติดต่อ
หรือเมื่อพร้อมที่จะคุยกับผู้คน ไม่เปิดโทรศัพท์ตลอด 24 ชม แม้แต่ในเวลานอนแบบที่คนไทยส่วนใหญ่ชอบทำ
***เรียนคุณ 20-4 ข้างล่าง เราไม่ได้ใช้ชีวิตที่อยู่กับการแข่งขัน ไม่ชิงดีชิงเด่น ไม่จำเป็นต้องทันเหตุการณ์ ไม่เคยคิดว่าตกข่าว
เราถูกสอนให้อ่านออกเขียนได้มาตั้งแต่ก่อนเข้าชั้นอนุบาล เราอ่านหนังสือพิมพ์เป็นมาตั้งแต่อยู่ชั้นประถมต้น ถูกปลูกฝังให้รักการอ่านมาตั้งแต่จำ
ความได้ ถูกเลี้ยงดูเติบโตมาด้วยหนังสือ ข่าว สารคดี ภาพยนตร์ เพราะฉนั้นเราสั่งสมสะสมความรู้จากสื่อสิ่งพิมพ์มานานตลอดชีวิตแล้ว
เราไม่ได้ยึดติดการอ่านจากสื่อประเภทโซเชี่ยลที่เพิ่งจะมาฮิตแค่ไม่กี่ปีเป็นหลัก
และ เพราะเราไม่ให้สิ่งรอบข้างมากำหนดเรา ไม่ให้กระแสต่างๆ มามีอิทธิพลไม่ให้ครอบงำชีวิตเรา
เรารับข่าวสารเท่าที่เราอยากรับ สำหรับเราชีวิตคือความพอเพียง พอใจ ปล่อยวาง ไม่ต้องห่วง
ไม่ต้องยึดติด ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องจมไม่ลง
บางครั้งเรานั่งเครื่องบินข้ามทวีป 13, 14, 15 ชั่วโมง หรือ นานกว่านั้น คนติดต่อเราไม่ได้อยู่แล้ว
บางเดือน เราใช้ชีวิตอยู่ในหลายเมือง หลายทวีป เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางครั้งหากเป็นช่วงที่ต้องมีเดินทางชุกๆ เราก็เดินทางทุกสัปดาห์ติดต่อกัน
เป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว ใช้ชีวิตอยู่หลายไทม์โซน ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลาทั้งกับเรื่องเวลา ผู้คน สภาพแวดล้อม สภาพอากาศหลากหลาย
บางครั้งวันเดือนปีแทบจะไม่ทราบ ต้องเช็คดูปฏิทินถึงจะทราบ บางครั้งนอนๆ อยู่ ตื่นมา ต้องดูสภาพแวดล้อมก่อน ดูไปรอบๆ ห้องก่อน
ว่าตื่นขึ้นมาที่เมืองไหน ประเทศไหน หรือตื่นมาบนเครื่องบิน ที่ใกล้กำลังจะร่อนลงที่ไหนสักแห่ง
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และ เราไม่ชอบเอาเรื่องที่ไม่จำเป็นมาเป็นสาระสำคัญในการดำเนินชีวิต
เพราะฉนั้นอะไรที่สามารถตัดได้ เราตัดออกหมด เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตได้คล่องตัวขึ้น
คนใกล้ชิดรอบข้างเราทุกคนสามารถติดต่อเราได้ตรงตัวทางมือถือทุกเบอร์ และ ทางอีเมลอยู่แล้ว ถ้าเครื่องเปิดอยู่ ถ้าไม่ยุ่งอยู่
ก็ติดต่อได้ทันที ถ้าไม่ว่างรับโทรศัพท์ หรือ ปิดเสียงอยู่ ปิดเครื่องอยู่ แต่ทันทีที่เปิดเครื่อง หรือ มีเวลาเช็คข้อความ
เราก็สามารถอ่านข้อความได้ทันที เราคบคนที่คุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ และ คนรอบข้างเราทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง
สามารถดูแลตัวเองได้ ว่างพร้อมกันเมื่อไหร่ก็เจอกัน ถ้าชีวิตนี้จะไม่เจอกันอีก ก็ต้องปล่อยไปตามวิถีแห่งธรรมชาติ ตามวัฏจักรแห่งความเป็นจริง
ส่วนเรื่องการอัพเดทข่าวสาร ไม่มีใครในโลกนี้หรอก ที่จะสามารถรับรู้เรื่องทุกเรื่องได้
เพราะฉนั้นปล่อยวางไปบ้าง รับทราบเท่าที่จำเป็น ตามแต่จะทำได้ แค่นั้นพอ ชีวิตไม่ใช่การแข่งขัน
และ ไม่มีใครที่รู้อะไรไปทั้งหมด
คุณ คห 20-4 ข้างล่าง ถามเราว่ารู้สึกว่าพลาดอะไรในชีวิตไหม เท่าที่อ่านที่เราเขียนตอบคุณ คุณก็คงพอจะทราบคำตอบแล้วนะ
ในชีวิตนี้เรามีโอกาสดีๆ เยอะแล้ว เราได้เจอผู้คนหลากหลายสัญชาติ หลากหลายชนชั้น เราได้เห็นโลกกว้าง เราได้ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ
อยู่อาศัยไม่ซ้ำที่ ได้เห็นความเป็นไปของ สถานที่ต่างๆ เมืองต่างๆ ประเทศต่างๆ ในแต่ละวันแต่ละเดือนแต่ละปีที่ผ่านไป ได้รับการเรียนรู้จาก
ประสบการณ์ชีวิตจริงๆ ที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เราเป็นคนรุ่นเก่าที่เติบโตจากประสบการณ์จริง
ในทางกลับกัน เรากลับรู้สึกสงสารเยาวชนรุ่นใหม่ และ เป็นห่วงอนาคตของ ปท ไทย เพราะเด็กไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ไม่ได้โตมากับหนังสือดีๆ
ข่าวที่มีคุณภาพ ไม่ได้โตมากับการมีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์จริงมากนัก พวกเขาจะเติบโตมาแบบขาดประสบการณ์จริงในชีวิตหลายๆ ด้าน
ทักษะหลายๆ อย่างที่จำเป็นต่อการเติบโตของสมอง ทักษะการเติบโตทางกระบวนการคิด ทักษะในการพูด การอ่าน การเขียน การมีสมาธิ
ทักษะในการฝึกอยู่ร่วมกับคนในสังคมจริง และ โอกาสดีๆ อีกหลายอย่างในชีวิต หายไปหมด 😌
***ลิ้งค์ข้างล่างนี้ เป็นกระทู้เก่า ที่มีคนเคยมาตั้งถามเกี่ยวกับการโพสท์ หรือ ไม่โพสท์เฟสบุ๊ค อะไรทำนองนี้
เราพามาให้คุณเจ้าของกระทู้อ่าน และ ขอคัดลอกความคิดเห็นของเราใน คห. 55 จากกระทู้นั้นมาให้อ่านด้วย
ส่วนกระทู้เต็มๆ และ ความคิดเห็นอื่นๆ สามารถตามไปอ่านที่ลิ้งค์นี้ได้เลย
https://pantip.com/topic/36392079/
ความคิดเห็นของเรามีดังนี้......
"คนเราจะอวดหรือไม่อวด อยู่ที่นิสัย พื้นฐานของความคิด ความเพียงพอ ความต้องการที่จะเป็นที่ยอมรับ
ไม่เกี่ยวกับฐานะทางการเงิน คนรวยที่อวดมีเยอะแยะ ไม่ว่าจะคนไทยหรือคนต่างชาติ บางคนคาบช้อนเงินช้อนทองมาแต่เกิด
พรั่งพร้อมไปด้วยเงินทอง ยศศักดิ์ ข้าทาสบริวาร เขายังอวดกันเลย
***คนรวยเขาก็อวดรถซุปเปอร์คาร์ อวดเครื่องบินส่วนตัว อวดนั่งเฟิสท์คลาส บิสซิเนสคลาส อวดที่พักหรูๆ ที่กินหรูๆ
อวดไลฟ์สไตล์ดีๆ อวดอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ตามเมืองต่างๆ ประเทศต่างๆ อวดของแบรนด์เนมรุ่นใหม่ๆ ล่าสุด
อวดสระว่ายน้ำที่บ้าน อวดห้องฟิตเนสที่บ้านที่เต็มไปด้วยเครื่อง และ อุปกรณ์ในการออกกำลังกาย
ระดับดีๆ ครบชุด
อวดหน้าอกคู่ใหม่ อวดผมสีใหม่ อวดเล็บที่เพ้นท์ลายใหม่ อวดชุดว่ายน้ำใหม่ อวดนาฬิกาใหม่
อวดออกกำลังกายทำท่าเทพๆ อึดๆ ยากๆ อวดพลัง อวดขี่จักรยานเป็นร้อยโล อวดวิ่งมาราธอน
อวดดำน้ำในที่แปลกๆ อวดเที่ยว (ช่วงในหมู่คนไทยระดับชั้นกลางขึ้นไป ก็ต้องเป็นการไปดูแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์) 😄
อวดชุดออกกำลังกายยี่ห้อดีๆ แพงๆ แต่งแบบเป๊ะ หัวจดเท้า อวดโยคะท่ายาก
อวดเอวเอส อวดก้นบึ้ม อวดกล้ามปู อวดซิกแพ็ค อวดชาติตระกูล อวดนามสกุล อวดว่าลูกเอาเงินเดือนมาให้ อวดดราม่ากตัญญู อวดว่าสามีรักสามีหลง อวดว่าภรรยาเซ็กซี่
อวดว่าสามีซื้อเพชรทิฟฟานี่ บุลการี่ โชพาร์ ให้ อวดของลิมิเต็ด เอดิชั่น
อวดว่าได้รับเชิญไปนั่งแถวหน้างานแฟชั่นวีค ที่ลอนดอน นิวยอร์ค ปารีส มิลาน
อวดว่าเป็นลูกค้าที่ใช้จ่ายเยอะที่สุดของห้างระดับหรู อวดเรือยอร์ช
อวดว่าได้เจอคนดังระดับประเทศระดับโลก อวดว่าเป็นเพื่อนกับคนดังระดับประเทศระดับโลก
***อวดความดี อวดความใจบุญ อวดคอนเน็คชั่นอวดว่ามีเพื่อนเยอะ อวดว่าครอบครัวเครือญาติพี่น้องรักกันสามัคคีเหนียวแน่น
อวดความสำเร็จด้านการศึกษา อวดฐานะการเงิน อวดรูปร่าง อวดรสนิยม แบบนี้มีทั้งนั้น จขกท ลองไปหาดู
ตามไอจีของคนรวย ของเซเลบไทย ฝรั่ง ตะวันออกกลางนะ
หรือ หาดูตามนิตยสารก็ได้ เช่น แบบที่เล่มโตๆ บางๆ พิมพ์สีสวยๆ ถ่ายภาพสวยๆ
นั่นคือการอวดแบบหนึ่งแบบเนียนๆ ของคนในวงสังคมชั้นสูงทั่วโลกนั่นเอง
พื้นฐานคือเพื่อการยอมรับนั่นเอง เพราะไม่ว่าจะรวย จะจน ทุกคนคือมนุษย์ธรรมดา
หรือ หาอ่านตามคอลัมน์ซุบซิบไฮโซตามสื่อต่างๆ ก็ได้ บางอันมันคือข่าวแจก ข่าวที่ผู้เป็นข่าว ส่งข่าวให้สื่อช่วยลงให้
เพื่อเป็นการ ปชส ตัวเองนั่นเอง
***ความคิดเรื่องคนรวย คนจน คนมีเงินมาก มีเงินน้อย ของคนไทยส่วนใหญ่ยังล้าหลังมาก
เช่น คนไทยส่วนใหญ่ชอบคิดว่า คนรวยต้องขาว คนรวยต้องไม่ขึ้นรถเมล์ คนรวยต้องไม่กินข้าวข้างทาง
คนรวยต้องไม่นั่งแท็กซี่ คนรวยต้องพูดภาษาอังกฤษ ฯลฯ
เพราะฉนั้นในสังคมไทย เราจึงเห็นคนที่พยายามขาวปลอมๆ หน้าเรียวๆ ตาโตๆ หัวโตๆ ตัวลีบๆ เหมือนเอเลี่ยน
พยายามรวยทุกวิถีทางแม้แต่จากการโกง
พยายามพูดไทยคำฝรั่งคำ ใช้ภาษาอังกฤษแบบโอท็อปแปลกๆ ที่ใช้แล้วเข้าใจกันแค่ในครัวเรือนใน ปท ไทย
พยายามพิมพ์ข้อความส่งข้อความภาษาอังกฤษแบบแปลกๆ หรือ พยายามประดิษฐ์ประดอยท่าทางที่ไม่เป็นธรรมชาติแอ๊บไฮโซอยู่เสมอ เป็นต้น
***ในสังคมที่เจริญแล้ว เขาวัดคนกันที่สมอง สติปัญญา สำเนียงภาษาในการพูด รสนิยมที่ดี มารยาทในการเข้าสังคม มารยาทบนโต๊ะอาหาร
กิริยาที่เป็นธรรมชาติ และ การแต่งกายตามกาละเทศะ เป็นต้น
***ในความเป็นจริง ยังมีคนมีเงิน คนรวยอีกมาก ไม่ว่าจะคนไทยหรือต่างชาติ ที่มีไลฟ์สไตล์ดีๆ แต่เขาไม่มีไลน์ ไม่มีอินสตาแกรม
ไม่มีเฟสบุ๊ค พวกเขาไม่เล่น ไม่มีความรู้สึกว่าต้องอวด เพราะทุกสิ่งที่เขามี มีอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา
เขาโตมาแบบนั้นอยู่แล้ว เขาพอใจกับตนเอง ไม่ต้องการการยกย่องชื่นชมจากคนในเน็ต เพราะมีความมั่นใจอยู่แล้วเป็นทุน
จิตใจแข็งแกร่ง มีจุดยืน ไม่ต้องหาความมั่นใจจากการได้ยอดไลค์
***หรือ คนที่มีพื้นฐานธรรมดาๆ หรือ คนที่มีพื้นฐานยากจนมาก่อน หลายๆ คนเมื่อต่อมา มารวยในภายหลัง
มีชีวิตดีๆ อยู่ในสังคมระดับดีๆ ที่เขาไม่อวดก็มี เพราะเขาเติมเต็มแล้ว เพียงพอแล้ว มีความสุขแล้วนั่นเอง
เพราะฉนั้นเขาไม่ได้สนใจกับยอดไลค์ที่ไม่มีความหมายต่อชีวิตของเขานั่นเอง เพราะเขามีทุกอย่างแล้ว พอใจกับสิ่งที่มีแล้ว
***ขอบคุณ Chimerism และ ทุกท่านข้างล่างที่เข้ามากดแสดงตัวท้าย คห และ น้อง คห. 59 เช่นกัน พี่เองก็ ค(คิด) ว(วิเคราะห์) ย(แยกแยะ) ไปตามที่เห็นจริงทั้งในสังคมไทย และ สังคมต่างประเทศ
***น้อง คห 55-2 ของแบบนี้ฝึกกันได้ ขอให้ใช้ใจทำ ทำด้วยความเข้มแข็ง มุ่งมั่น มีจุดยืน เคารพตนเอง
รู้จักตนเองว่าในชีวิตนี้ต้องการอะไร และ ไม่ต้องการอะไร ต้องเป็นนายตนเอง รักตนเอง เคารพตนเอง
ไม่ว่อกแว่ก ไม่หวั่นต่อคำพูดกดดัน เสียดสี หรือ ผู้ที่ต้องการควบคุม ต้องฝึกทำให้ตัวเองมีใจแกร่งมากๆ
น้องต้องมองสังคมไทยอย่างเข้าใจให้ทะลุถึงแก่น มองคนไทยส่วนใหญ่ด้วยกันให้ทะลุเครื่องสำอางที่ฉาบเอาไว้
มองลงไปให้ลึกผ่านเสื้อผ้า มองทะลุผ่านผิวหนัง ผ่านเลือดเนื้อ มองเข้าไปให้ถึงใจ มองผ่านกระโหลกเข้าไปให้ถึงที่มาของระบบความคิดที่อยู่ข้างใน
แล้วน้องจะรู้เองว่าจะจัดการกับภาพลวงตา กับคำพูดลวงใจต่างๆ นาๆ ได้อย่างไร แล้วภูมิคุ้มกันที่ห่อหุ้มความคิด ร่างกาย จิตใจของตัวเรา
จะค่อยๆ หนาแน่นขึ้นมาปกป้องเราจากสังคมที่ไม่มีคุณภาพนั้นเอง
***ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยที่ต้องทำทุกวิถีทางให้เป็นที่ยอมรับจากคนอื่น เพราะในสังคมมีการเปรียบเทียบแข่งขันกัน
สูงมาก อีกทั้งเป็นสังคมอุปถัมภ์ ซึ่งการได้รับการยอมรับจากกลุ่มเป็นสิ่งสำคัญมากของคนไทยส่วนใหญ่ เพราะทำให้มีคอนเน็คชั่น
คนในสังคมไทยโดยทั่วๆ ไปส่วนใหญ่อยู่กันอย่างกดขี่ข่มเหง ข่มกันเอง หรือ พยายามควบคุมกันในทุกด้านด้วยอำนาจชั่วคราว
โดยเริ่มจากภายในครอบครัว โรงเรียน มหาวิทยาลัย สังคมที่ทำงาน รวมไปถึงสังคมรอบข้าง เพราะฉนั้นคนไทยส่วนใหญ่จึงต้องระบายออก
หรือ สร้างโลกใหม่ที่ตัวเองสามารถเป็นใหญ่ได้ เป็นนายของตนเองได้ ก็คือในโซเชี่ยลมีเดี่ยนั่นเอง
เพราะฉนั้นเราจีงมักได้ยินประโยคนี้เสมอในหมู่คนไทยส่วนใหญ่ ทำนองว่า ในโลกในโซเชี่ยลคือพื้นที่ส่วนตัวของเขานั่นเอง
หรือ ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้เลยก็สามารถใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้อย่างมีคุณภาพนะ เชื่อเราเถอะ
//
#ความคิดเห็นจาก ผู้ที่ไม่เคยมีไลน์ ไม่เคยมีเฟสบุ๊ค ไม่เคยมีอินสตาแกรม ไม่มีว็อทส์แอ็พ ไม่เคยมีทวิตเต้อร์
//
กระทู้ จะมีไหม ยุคนี้ ที่จะมีใครไม่เล่น Facebook , skype , ig , line
https://pantip.com/topic/37925429/comment94
กระทู้ มันดูต่างจากคนอื่นมากหรอคะ แค่ไม่ใช้เฟสบุ๊ค-ไลน์-ทวิต-ไอจี
https://pantip.com/topic/36554521/comment20
เราเคยไปตอบเอาไว้ที่ คห 20 ดังนี้ ...
ไม่แปลก เราเองไม่มีไอจี ไม่มีไลน์ ไม่มีเฟสบุ๊ค ไม่มีทวิตเต้อร์ ไอซีคิวไม่เคยมี เอ็มเอสเอ็นไม่เคยมี ไฮไฟว์ก็ไม่เคยมี บล็อกไม่เคยมี
เคยเจอคนไทยว่าเหมือนกัน บางคนก็ไม่เชื่อว่าเราไม่มีของพวกนี้ บางคนก็กดดันให้เรามี บางคนนินทาเราลับหลัง
แต่เราไม่เคยคิดที่จะมีสิ่งเหล่านี้เลย ไม่มีความจำเป็น ส่วนใครอยากมีก็มี อยากเล่นก็เล่นไป ไม่เกี่ยวกับเรา
ถึงจะไม่มีของพวกนี้ แต่เราปกติมาก และ ไลฟ์สไตล์ที่เรามี ชีวิตที่เราต้องใช้ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ที่มีสิ่งพวกนี้อยากมี เพื่อที่จะเอาไว้อัพอวด
หรือ เอาไว้แสดงสถานะภาพทางสังคม เพื่อการได้รับการยอมรับ ยกย่อง นับถือ จากคนส่วนใหญ่นั่นเอง แต่เราไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น
ส่วนโทรศัพท์มือถือ มี 3 เครื่อง 3 เบอร์ 3 ประเทศ เวลานอนจะปิดมือถือ อยู่บนเครื่องบินก็ปิดอยู่แล้ว
เข้าโรงหนัง เข้าฟิตเนส เข้าร้านอาหาร ปิดมือถือ หรือ ปิดเสียงเอาไว้ เราจะเปิดโทรศัพท์ก็ต่อเมื่อพร้อมที่จะให้คนติดต่อ
หรือเมื่อพร้อมที่จะคุยกับผู้คน ไม่เปิดโทรศัพท์ตลอด 24 ชม แม้แต่ในเวลานอนแบบที่คนไทยส่วนใหญ่ชอบทำ
***เรียนคุณ 20-4 ข้างล่าง เราไม่ได้ใช้ชีวิตที่อยู่กับการแข่งขัน ไม่ชิงดีชิงเด่น ไม่จำเป็นต้องทันเหตุการณ์ ไม่เคยคิดว่าตกข่าว
เราถูกสอนให้อ่านออกเขียนได้มาตั้งแต่ก่อนเข้าชั้นอนุบาล เราอ่านหนังสือพิมพ์เป็นมาตั้งแต่อยู่ชั้นประถมต้น ถูกปลูกฝังให้รักการอ่านมาตั้งแต่จำ
ความได้ ถูกเลี้ยงดูเติบโตมาด้วยหนังสือ ข่าว สารคดี ภาพยนตร์ เพราะฉนั้นเราสั่งสมสะสมความรู้จากสื่อสิ่งพิมพ์มานานตลอดชีวิตแล้ว
เราไม่ได้ยึดติดการอ่านจากสื่อประเภทโซเชี่ยลที่เพิ่งจะมาฮิตแค่ไม่กี่ปีเป็นหลัก
และ เพราะเราไม่ให้สิ่งรอบข้างมากำหนดเรา ไม่ให้กระแสต่างๆ มามีอิทธิพลไม่ให้ครอบงำชีวิตเรา
เรารับข่าวสารเท่าที่เราอยากรับ สำหรับเราชีวิตคือความพอเพียง พอใจ ปล่อยวาง ไม่ต้องห่วง
ไม่ต้องยึดติด ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องจมไม่ลง
บางครั้งเรานั่งเครื่องบินข้ามทวีป 13, 14, 15 ชั่วโมง หรือ นานกว่านั้น คนติดต่อเราไม่ได้อยู่แล้ว
บางเดือน เราใช้ชีวิตอยู่ในหลายเมือง หลายทวีป เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางครั้งหากเป็นช่วงที่ต้องมีเดินทางชุกๆ เราก็เดินทางทุกสัปดาห์ติดต่อกัน
เป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว ใช้ชีวิตอยู่หลายไทม์โซน ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลาทั้งกับเรื่องเวลา ผู้คน สภาพแวดล้อม สภาพอากาศหลากหลาย
บางครั้งวันเดือนปีแทบจะไม่ทราบ ต้องเช็คดูปฏิทินถึงจะทราบ บางครั้งนอนๆ อยู่ ตื่นมา ต้องดูสภาพแวดล้อมก่อน ดูไปรอบๆ ห้องก่อน
ว่าตื่นขึ้นมาที่เมืองไหน ประเทศไหน หรือตื่นมาบนเครื่องบิน ที่ใกล้กำลังจะร่อนลงที่ไหนสักแห่ง
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และ เราไม่ชอบเอาเรื่องที่ไม่จำเป็นมาเป็นสาระสำคัญในการดำเนินชีวิต
เพราะฉนั้นอะไรที่สามารถตัดได้ เราตัดออกหมด เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตได้คล่องตัวขึ้น
คนใกล้ชิดรอบข้างเราทุกคนสามารถติดต่อเราได้ตรงตัวทางมือถือทุกเบอร์ และ ทางอีเมลอยู่แล้ว ถ้าเครื่องเปิดอยู่ ถ้าไม่ยุ่งอยู่
ก็ติดต่อได้ทันที ถ้าไม่ว่างรับโทรศัพท์ หรือ ปิดเสียงอยู่ ปิดเครื่องอยู่ แต่ทันทีที่เปิดเครื่อง หรือ มีเวลาเช็คข้อความ
เราก็สามารถอ่านข้อความได้ทันที เราคบคนที่คุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ และ คนรอบข้างเราทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง
สามารถดูแลตัวเองได้ ว่างพร้อมกันเมื่อไหร่ก็เจอกัน ถ้าชีวิตนี้จะไม่เจอกันอีก ก็ต้องปล่อยไปตามวิถีแห่งธรรมชาติ ตามวัฏจักรแห่งความเป็นจริง
ส่วนเรื่องการอัพเดทข่าวสาร ไม่มีใครในโลกนี้หรอก ที่จะสามารถรับรู้เรื่องทุกเรื่องได้
เพราะฉนั้นปล่อยวางไปบ้าง รับทราบเท่าที่จำเป็น ตามแต่จะทำได้ แค่นั้นพอ ชีวิตไม่ใช่การแข่งขัน
และ ไม่มีใครที่รู้อะไรไปทั้งหมด
คุณ คห 20-4 ข้างล่าง ถามเราว่ารู้สึกว่าพลาดอะไรในชีวิตไหม เท่าที่อ่านที่เราเขียนตอบคุณ คุณก็คงพอจะทราบคำตอบแล้วนะ
ในชีวิตนี้เรามีโอกาสดีๆ เยอะแล้ว เราได้เจอผู้คนหลากหลายสัญชาติ หลากหลายชนชั้น เราได้เห็นโลกกว้าง เราได้ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ
อยู่อาศัยไม่ซ้ำที่ ได้เห็นความเป็นไปของ สถานที่ต่างๆ เมืองต่างๆ ประเทศต่างๆ ในแต่ละวันแต่ละเดือนแต่ละปีที่ผ่านไป ได้รับการเรียนรู้จาก
ประสบการณ์ชีวิตจริงๆ ที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เราเป็นคนรุ่นเก่าที่เติบโตจากประสบการณ์จริง
ในทางกลับกัน เรากลับรู้สึกสงสารเยาวชนรุ่นใหม่ และ เป็นห่วงอนาคตของ ปท ไทย เพราะเด็กไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ไม่ได้โตมากับหนังสือดีๆ
ข่าวที่มีคุณภาพ ไม่ได้โตมากับการมีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์จริงมากนัก พวกเขาจะเติบโตมาแบบขาดประสบการณ์จริงในชีวิตหลายๆ ด้าน
ทักษะหลายๆ อย่างที่จำเป็นต่อการเติบโตของสมอง ทักษะการเติบโตทางกระบวนการคิด ทักษะในการพูด การอ่าน การเขียน การมีสมาธิ
ทักษะในการฝึกอยู่ร่วมกับคนในสังคมจริง และ โอกาสดีๆ อีกหลายอย่างในชีวิต หายไปหมด 😌
***ลิ้งค์ข้างล่างนี้ เป็นกระทู้เก่า ที่มีคนเคยมาตั้งถามเกี่ยวกับการโพสท์ หรือ ไม่โพสท์เฟสบุ๊ค อะไรทำนองนี้
เราพามาให้คุณเจ้าของกระทู้อ่าน และ ขอคัดลอกความคิดเห็นของเราใน คห. 55 จากกระทู้นั้นมาให้อ่านด้วย
ส่วนกระทู้เต็มๆ และ ความคิดเห็นอื่นๆ สามารถตามไปอ่านที่ลิ้งค์นี้ได้เลย
https://pantip.com/topic/36392079/
ความคิดเห็นของเรามีดังนี้......
"คนเราจะอวดหรือไม่อวด อยู่ที่นิสัย พื้นฐานของความคิด ความเพียงพอ ความต้องการที่จะเป็นที่ยอมรับ
ไม่เกี่ยวกับฐานะทางการเงิน คนรวยที่อวดมีเยอะแยะ ไม่ว่าจะคนไทยหรือคนต่างชาติ บางคนคาบช้อนเงินช้อนทองมาแต่เกิด
พรั่งพร้อมไปด้วยเงินทอง ยศศักดิ์ ข้าทาสบริวาร เขายังอวดกันเลย
***คนรวยเขาก็อวดรถซุปเปอร์คาร์ อวดเครื่องบินส่วนตัว อวดนั่งเฟิสท์คลาส บิสซิเนสคลาส อวดที่พักหรูๆ ที่กินหรูๆ
อวดไลฟ์สไตล์ดีๆ อวดอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ตามเมืองต่างๆ ประเทศต่างๆ อวดของแบรนด์เนมรุ่นใหม่ๆ ล่าสุด
อวดสระว่ายน้ำที่บ้าน อวดห้องฟิตเนสที่บ้านที่เต็มไปด้วยเครื่อง และ อุปกรณ์ในการออกกำลังกาย
ระดับดีๆ ครบชุด
อวดหน้าอกคู่ใหม่ อวดผมสีใหม่ อวดเล็บที่เพ้นท์ลายใหม่ อวดชุดว่ายน้ำใหม่ อวดนาฬิกาใหม่
อวดออกกำลังกายทำท่าเทพๆ อึดๆ ยากๆ อวดพลัง อวดขี่จักรยานเป็นร้อยโล อวดวิ่งมาราธอน
อวดดำน้ำในที่แปลกๆ อวดเที่ยว (ช่วงในหมู่คนไทยระดับชั้นกลางขึ้นไป ก็ต้องเป็นการไปดูแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์) 😄
อวดชุดออกกำลังกายยี่ห้อดีๆ แพงๆ แต่งแบบเป๊ะ หัวจดเท้า อวดโยคะท่ายาก
อวดเอวเอส อวดก้นบึ้ม อวดกล้ามปู อวดซิกแพ็ค อวดชาติตระกูล อวดนามสกุล อวดว่าลูกเอาเงินเดือนมาให้ อวดดราม่ากตัญญู อวดว่าสามีรักสามีหลง อวดว่าภรรยาเซ็กซี่
อวดว่าสามีซื้อเพชรทิฟฟานี่ บุลการี่ โชพาร์ ให้ อวดของลิมิเต็ด เอดิชั่น
อวดว่าได้รับเชิญไปนั่งแถวหน้างานแฟชั่นวีค ที่ลอนดอน นิวยอร์ค ปารีส มิลาน
อวดว่าเป็นลูกค้าที่ใช้จ่ายเยอะที่สุดของห้างระดับหรู อวดเรือยอร์ช
อวดว่าได้เจอคนดังระดับประเทศระดับโลก อวดว่าเป็นเพื่อนกับคนดังระดับประเทศระดับโลก
***อวดความดี อวดความใจบุญ อวดคอนเน็คชั่นอวดว่ามีเพื่อนเยอะ อวดว่าครอบครัวเครือญาติพี่น้องรักกันสามัคคีเหนียวแน่น
อวดความสำเร็จด้านการศึกษา อวดฐานะการเงิน อวดรูปร่าง อวดรสนิยม แบบนี้มีทั้งนั้น จขกท ลองไปหาดู
ตามไอจีของคนรวย ของเซเลบไทย ฝรั่ง ตะวันออกกลางนะ
หรือ หาดูตามนิตยสารก็ได้ เช่น แบบที่เล่มโตๆ บางๆ พิมพ์สีสวยๆ ถ่ายภาพสวยๆ
นั่นคือการอวดแบบหนึ่งแบบเนียนๆ ของคนในวงสังคมชั้นสูงทั่วโลกนั่นเอง
พื้นฐานคือเพื่อการยอมรับนั่นเอง เพราะไม่ว่าจะรวย จะจน ทุกคนคือมนุษย์ธรรมดา
หรือ หาอ่านตามคอลัมน์ซุบซิบไฮโซตามสื่อต่างๆ ก็ได้ บางอันมันคือข่าวแจก ข่าวที่ผู้เป็นข่าว ส่งข่าวให้สื่อช่วยลงให้
เพื่อเป็นการ ปชส ตัวเองนั่นเอง
***ความคิดเรื่องคนรวย คนจน คนมีเงินมาก มีเงินน้อย ของคนไทยส่วนใหญ่ยังล้าหลังมาก
เช่น คนไทยส่วนใหญ่ชอบคิดว่า คนรวยต้องขาว คนรวยต้องไม่ขึ้นรถเมล์ คนรวยต้องไม่กินข้าวข้างทาง
คนรวยต้องไม่นั่งแท็กซี่ คนรวยต้องพูดภาษาอังกฤษ ฯลฯ
เพราะฉนั้นในสังคมไทย เราจึงเห็นคนที่พยายามขาวปลอมๆ หน้าเรียวๆ ตาโตๆ หัวโตๆ ตัวลีบๆ เหมือนเอเลี่ยน
พยายามรวยทุกวิถีทางแม้แต่จากการโกง
พยายามพูดไทยคำฝรั่งคำ ใช้ภาษาอังกฤษแบบโอท็อปแปลกๆ ที่ใช้แล้วเข้าใจกันแค่ในครัวเรือนใน ปท ไทย
พยายามพิมพ์ข้อความส่งข้อความภาษาอังกฤษแบบแปลกๆ หรือ พยายามประดิษฐ์ประดอยท่าทางที่ไม่เป็นธรรมชาติแอ๊บไฮโซอยู่เสมอ เป็นต้น
***ในสังคมที่เจริญแล้ว เขาวัดคนกันที่สมอง สติปัญญา สำเนียงภาษาในการพูด รสนิยมที่ดี มารยาทในการเข้าสังคม มารยาทบนโต๊ะอาหาร
กิริยาที่เป็นธรรมชาติ และ การแต่งกายตามกาละเทศะ เป็นต้น
***ในความเป็นจริง ยังมีคนมีเงิน คนรวยอีกมาก ไม่ว่าจะคนไทยหรือต่างชาติ ที่มีไลฟ์สไตล์ดีๆ แต่เขาไม่มีไลน์ ไม่มีอินสตาแกรม
ไม่มีเฟสบุ๊ค พวกเขาไม่เล่น ไม่มีความรู้สึกว่าต้องอวด เพราะทุกสิ่งที่เขามี มีอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา
เขาโตมาแบบนั้นอยู่แล้ว เขาพอใจกับตนเอง ไม่ต้องการการยกย่องชื่นชมจากคนในเน็ต เพราะมีความมั่นใจอยู่แล้วเป็นทุน
จิตใจแข็งแกร่ง มีจุดยืน ไม่ต้องหาความมั่นใจจากการได้ยอดไลค์
***หรือ คนที่มีพื้นฐานธรรมดาๆ หรือ คนที่มีพื้นฐานยากจนมาก่อน หลายๆ คนเมื่อต่อมา มารวยในภายหลัง
มีชีวิตดีๆ อยู่ในสังคมระดับดีๆ ที่เขาไม่อวดก็มี เพราะเขาเติมเต็มแล้ว เพียงพอแล้ว มีความสุขแล้วนั่นเอง
เพราะฉนั้นเขาไม่ได้สนใจกับยอดไลค์ที่ไม่มีความหมายต่อชีวิตของเขานั่นเอง เพราะเขามีทุกอย่างแล้ว พอใจกับสิ่งที่มีแล้ว
***ขอบคุณ Chimerism และ ทุกท่านข้างล่างที่เข้ามากดแสดงตัวท้าย คห และ น้อง คห. 59 เช่นกัน พี่เองก็ ค(คิด) ว(วิเคราะห์) ย(แยกแยะ) ไปตามที่เห็นจริงทั้งในสังคมไทย และ สังคมต่างประเทศ
***น้อง คห 55-2 ของแบบนี้ฝึกกันได้ ขอให้ใช้ใจทำ ทำด้วยความเข้มแข็ง มุ่งมั่น มีจุดยืน เคารพตนเอง
รู้จักตนเองว่าในชีวิตนี้ต้องการอะไร และ ไม่ต้องการอะไร ต้องเป็นนายตนเอง รักตนเอง เคารพตนเอง
ไม่ว่อกแว่ก ไม่หวั่นต่อคำพูดกดดัน เสียดสี หรือ ผู้ที่ต้องการควบคุม ต้องฝึกทำให้ตัวเองมีใจแกร่งมากๆ
น้องต้องมองสังคมไทยอย่างเข้าใจให้ทะลุถึงแก่น มองคนไทยส่วนใหญ่ด้วยกันให้ทะลุเครื่องสำอางที่ฉาบเอาไว้
มองลงไปให้ลึกผ่านเสื้อผ้า มองทะลุผ่านผิวหนัง ผ่านเลือดเนื้อ มองเข้าไปให้ถึงใจ มองผ่านกระโหลกเข้าไปให้ถึงที่มาของระบบความคิดที่อยู่ข้างใน
แล้วน้องจะรู้เองว่าจะจัดการกับภาพลวงตา กับคำพูดลวงใจต่างๆ นาๆ ได้อย่างไร แล้วภูมิคุ้มกันที่ห่อหุ้มความคิด ร่างกาย จิตใจของตัวเรา
จะค่อยๆ หนาแน่นขึ้นมาปกป้องเราจากสังคมที่ไม่มีคุณภาพนั้นเอง
***ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยที่ต้องทำทุกวิถีทางให้เป็นที่ยอมรับจากคนอื่น เพราะในสังคมมีการเปรียบเทียบแข่งขันกัน
สูงมาก อีกทั้งเป็นสังคมอุปถัมภ์ ซึ่งการได้รับการยอมรับจากกลุ่มเป็นสิ่งสำคัญมากของคนไทยส่วนใหญ่ เพราะทำให้มีคอนเน็คชั่น
คนในสังคมไทยโดยทั่วๆ ไปส่วนใหญ่อยู่กันอย่างกดขี่ข่มเหง ข่มกันเอง หรือ พยายามควบคุมกันในทุกด้านด้วยอำนาจชั่วคราว
โดยเริ่มจากภายในครอบครัว โรงเรียน มหาวิทยาลัย สังคมที่ทำงาน รวมไปถึงสังคมรอบข้าง เพราะฉนั้นคนไทยส่วนใหญ่จึงต้องระบายออก
หรือ สร้างโลกใหม่ที่ตัวเองสามารถเป็นใหญ่ได้ เป็นนายของตนเองได้ ก็คือในโซเชี่ยลมีเดี่ยนั่นเอง
เพราะฉนั้นเราจีงมักได้ยินประโยคนี้เสมอในหมู่คนไทยส่วนใหญ่ ทำนองว่า ในโลกในโซเชี่ยลคือพื้นที่ส่วนตัวของเขานั่นเอง
แสดงความคิดเห็น
มีแต่ผมหรือเปล่าที่ เวลา line เด้งขึ้นมา หรือตอนต้องพิมพ์ตอบ แล้วรู้สึกรำคาญ รู้สึกเสียเวลาทำมาหากิน
วันก่อนมีพี่ที่รู้จัก line มา ผมไม่ได้ดู พอเจอกันแกถามไม่ได้เห็น line หรือ ผมแก้ตัวไปว่ายุ่ง แต่ก็ทำให้เห็นว่า คนทั่วไปเขาคอยดูคอยอ่านกันตลอดเวลาเลยหรือครับ ว้าววว
เขาไม่รำคาญไม่เสียเวลางาน เสียความเป็นส่วนตัวบ้างหรือครับ กำลังขี้ ทำกับข้าว คุยกับแฟน จอดเติมน้ำมันรถ กำลังต่อแถวซื้ออาหาร แย่งกันขึ้นลิฟท์ ทำอะไรก็เหมือนมีใครมาสะกิดทุก 5 นาที
ผมเป็นคนนึงที่รำคาญมาก แต่ทำไมเหมือนคนทั่วไป เขาok กับเรื่องนี้ ผมแปลกหรือเปล่า
อ้อ อีกเรื่องนึง หลายๆครั้งเบื่อตอนพิมพ์นะ เสียเวลา แล้วต้องคอยดูข้อความตอนเขาตอบกลับมาอีก ยุกยิกๆ ใช้เวลาเยอะด้วยกว่าจะคุยได้ซักเรื่อง ผมรำคาญ ส่วนใหญ่ผมใช้ โทร line ไปเลย ง่าย ใช้เวลาน้อย แปปเดียวรู้เรื่อง แต่เห็นคนอื่นเขาชอบพิมพ์กันจัง ผมแปลกหรือเปล่า มีใครเป็นเหมือนผมไหม