อันยองฮาเซโย...ทักทายเป็นภาษาเกาหลีกันเลยทีเดียว ต้องขอเกริ่นก่อนว่าเราก็เป็นแฟนคลับไอดอลเกาหลีคนนึง เรียกว่าเป็นติ่งยุคแรก ๆ เลยก็ว่าได้ ดังนั้นการไปประเทศเกาหลีสำหรับเราคือความฝัน ความสนุก ความสุขที่เรารอคอย ซึ่งการไปเที่ยวเกาหลีครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว สถานที่ที่จะรีวิวก็อาจจะไม่ได้เป็นสถานที่ยอดฮิต การรีวิวของเราจะเน้นไปที่การเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบเจอ มีทั้งสุข เศร้า เหงา ครบรสเลยจ่ะ เริ่มกันเลยดีฟ่าเน๊อะ *_*
ทริปนี้เราไปกันทั้งหมด 3 สาวโสดถ้วน ไม่ขาดไม่เกิน เริ่มจากเราที่เป็นสายกวนทีน บวกไบโพลาร์ อารมณ์ขึ้น ๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายตามสภาพอากาศ มีหน้าที่เป็นไกด์ ดูแลทุกอย่างของกรุ๊ปทัวร์ที่ฮ่องกง จำนวน 2 วันถ้วน ต่อมาก็จีจี้ (นามสมมุติ) อารมณ์ดี ขี้เมา สถานะในกรุ๊ปทัวร์ก็คือเพื่อนว่าไง จี้ว่างั้น และสุดท้ายมูมู่ (นามสมมุติ) พูดน้อย แต่กวนทีนยิ่งกว่าเรา บวกไบโพลาร์ยิ่งกว่าเรา สถานะในกรุ๊ปทัวร์คือผู้นำทัวร์ในเกาหลี โดยรูปต่าง ๆ ส่วนใหญ่ในกระทู้นี้จะเป็นฝีมือการถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ และกล้องจากจีจี่ และมูมู่จ่ะ เราเดินทางไปประเทศเกาหลี ด้วยสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ ตั้งแต่วันที่ 2-10 เมษายน 2562 (มีแวะพักที่ฮ่องกงทั้งขาไปและขากลับ) รายละเอียดเที่ยวบินคร่าวๆ ตามนี้
ไฟท์ขาไป
- Bangkok to Hong Kong (Tuesday, 2 April 2019 at 20.50) Airbus A330 Jet
- Hong Kong to Seoul (Wednesday, 3 April 2019 at 23.35) Airbus A320 Jet
ไฟท์ขากลับ
- Seoul to Hong Kong (Tuesday, 9 April 2019 at 16.35) Airbus A330-200
- Hong Kong to Bangkok (Wednesday, 10 April 2019 at 20.45) 359/AIR
ต้องบอกก่อนว่าตอนแรกที่เราจองตั๋วเครื่องบินนั้นขาไปเราแวะพัก 1 วัน ขากลับประมาณ 4 ชม. แต่หลังจากจองตั๋วไปได้ประมาณ 3 เดือน ทางสายการบินแจ้งขอเลื่อนไฟล์เป็นขากลับ ทำให้ได้แวะพักที่ฮ่องอีก 1 วัน พอคุยกับเพื่อนทุกคนก็โอเคที่จะได้เที่ยวฮ่องกงเพิ่มอีก 1 วัน สรุปได้ดังนั้นก็แยกย้ายกันทำหน้าที่ตัวเองจ้า เรามีหน้าที่ในการหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับฮ่องกง ทั้งสถานที่เที่ยว อาหารการกิน รวมถึงวิธีการออกจากสนามบินไปเที่ยวในเมืองฮ่องกงด้วย ส่วนมูมู่ก็มีหน้าที่ในการดูแลทุกอย่างที่เกาหลี
เราเริ่มจากวางแพลนในการเที่ยวฮ่องกงก่อนเลย เราเอาแพลนของพี่ที่ทำงานที่เค้าเพิ่งไปฮ่องกงมาเมื่อกลางปี 2561 มาปรับเลือกสถานที่ที่เป็นแลนด์มาร์ค และสามารถเที่ยวครบภายใน 1-2 วัน ก็จะได้ประมาณนี้ (ตามรูปจะเป็นแพลนที่เราวางไว้สำหรับ 1 วัน เพราะตามที่บอกไปตอนแรกคือเราคิดว่าจะได้เที่ยวแค่ตอนแวะพักขาไปเท่านั้น)
หลังจากมีแพลนเที่ยวเรียบร้อย เราก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการออกจากสนามบิน ไปเที่ยวในเมือง ซึ่งเท่าที่เราหาช้อมูลมาจากทั้ง Google และ Pantip ก็พอสรุปได้ว่า หากเรามีเวลาพักนานๆ สามารถออกจากสนามบินไปในตัวเมืองฮ่องกงได้ โดยตอนที่ลงจากเครื่องบิน ให้เดินไปที่ Immigration แทน Transfer และกรอกที่อยู่ในฮ่องกงในใบ Departure Card ว่า Transit ทุกอย่างก็ดูไม่ยุ่งยากอะไร เราก็วางใจ รอแค่วันเดินทางมาถึง
และแล้ววันเดินทางมาถึงจ้า เรากับเพื่อนนัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นครั้งแรกที่เราบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขั้นตอนต่าง ๆ ดูทันสมัยกว่าที่ดอนเมืองเยอะเลย แถมสินค้า Duty Free ก็มีให้เลือกละลานตามาก สนุกสนานบานตะไท ชอบมากกกกกกก พอถึงเวลาขึ้นเครื่องเราก็แอบผิดหวังเล็กน้อย เพราะคิดว่าเครื่องจะลำใหญ่กว่านี้ ปรากฎว่าเป็นเครื่องที่แบ่งเก้าอี้เป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละ 3 ที่นั่ง (แบบ 3-3) แต่ไม่เป็นไร เพราะเรายังมีอาหารรออยู่ 555
อาหารบนเครื่องมีให้เลือก 2 แบบ คือ บะหมี่ผัดหมูอะไรสักอย่าง กับ เส้นเพนเน่ผัดไก่ และใช่ค่ะทางเราเลือกเส้นเพนเน่ผัดไก่ ในเซตก็จะมีเหมือนสลัดที่มีแฮมโปะหน้ามา ขนมที่คล้ายๆ กับเอาข้าวเหนียวมาบดแล้วตัดเป็นชิ้น (ไม่รู้เรียกว่าอะไร) ขนมปัง 1 ก้อนกลมๆ และน้ำเปล่า นอกจากนี้ยังมีให้เลือกน้ำที่เราต้องการดื่มเพิ่มเติมด้วย เราเลือกเป็นน้ำแอปเปิ้ลมา สำหรับรสชาติอาหาร เราว่าจืดไปนิสนึง แต่โดยรวมก็โอเคนะ
หลังจากเพลินจากการกินอาหารบนเครื่อง เม้าท์มอยโน่นนี่นั่น เราก็มาถึงฮ่องกงประมาณเกือบตีหนึ่ง (เวลาที่ฮ่องกง) ต้องบอกก่อนว่าการมาต่างประเทศครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของเรา เพราะฉะนั้นยังมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่รู้ และเพราะความไม่รู้นั่นเองก็นำเราไปสู่เรื่องเล่าหลังจากนี้ ที่เราอยากจะแบ่งปันให้กับทุกคน
ขอย้อนกลับไปตอนเราขึ้นเครื่องมาได้สักพัก แอร์โฮสเตสเดินสอบถามว่ามีใครต้องการใบ Departure Card บ้าง เราขอไม่ทัน แต่คิดว่าคงจะมีการนำมาให้อีกครั้ง แต่จนถึงที่หมายแล้วก็ยังไม่มีการมาสอบถามอีกครั้ง เรากับเพื่อนก็คุยกันว่าค่อยขอตอนเดินลงจากเครื่องก็ได้ หลังจากนั้นเราเดินตามทางไปเรื่อย ๆ พอดีเพื่อนในกลุ่มอยากเข้าห้องน้ำ พร้อมกันกับที่เราอยากจะนั่งจัดการเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ และเขียนใบ Departure Card พอดี เรากับเพื่อนเลยเข้าห้องน้ำ และจัดการทำธุระให้เรียบร้อย เงยหน้ามาอีกทีก็ไม่เจอใครแล้ว แต่ ณ ตอนนั้น เราก็ยังไม่รู้สึกอะไร เพราะยังทะนงตัวเองอยู่ว่าไม่มีอะไร ก็แค่เดินตามทางไป Immigration ก็น่าจะจบ ง่ายจะตาย!!!! แต่มันไม่ง่ายจ่ะ เพราะในระหว่างที่เดินนั้นเราก็ได้ยินเสียงจากสวรรค์ที่ตะโกนมาเป็นภาษาจีนคำ อังกฤษคำแบบรัวๆ เราจับใจความได้แค่ "last one minute" แค่นั้นร่างกายก็สั่งการให้ขาวิ่ง แต่วิ่งไปทางไหนล่ะ ตอนนั้นตอบได้คำเดียวว่าไม่รู้ เพราะป้าย immigration ได้อันตรธานหายไปจากสายตา และสายตาก็เหลือบไปเห็นช่องทางเข้าที่ไม่มีป้ายบ่งชี้ใดๆ แต่ด้วยสติที่น้อยนิดในตอนนั้น คิดว่านั่นเป็นช่องทางเดียวที่เข้าไปได้ ก็เลยเดินเข้าไป แม้จะมีเสียงทัดทานจากมูมู่ว่า "มันช่อง Transfer ไม่ใช่หรอแก" แต่เราที่เข้ามาได้ครึ่งตัวแล้ว จะถอยก็ใช่ที่ เลยลั่นวาจาถามเจ้าหน้าที่ว่า "Immigration, right?" พอเจ้าหน้าที่ตอบ Yes อีนี่ก็พุ่งหลาวไปเลยจ่ะ และความจริงก็พุ่งเข้าใส่หน้าเลยว่า "

มาผิดที่ ที่นี่ไม่ใช่ Immigration แต่เป็นเทอร์มินอลสำหรับคนที่จะมาเปลี่ยนเครื่องมานั่งรอ ซึ่งถ้าอยู่ที่นี่จะไม่มีทางออกไปเที่ยวในตัวเมืองฮ่องกงได้แน่นอน ชะนีทั้งสามช็อคยิ่งกว่าโดนผู้ชายเทอีกจ่ะ จะทำยังไงล่ะคราวนี้ จะให้ใช้ชีวิตเกือบ 24 ชม. ในเทอร์มินอลก็ทำไม่ได้ หันซ้ายหันขวาก็ไปเจอเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนนึง เราก็ปรี่เข้าไปขอความช่วยเหลือทันที พูดคุยกันสักพักจับใจความๆได้ว่า เมื่อเราเข้ามาในจุดนี้แล้ว ไม่สามารถออกไปเที่ยวนอกเมืองด้วยตัวเองได้ ต้องขอให้สายการบินที่เราโดยสารมาช่วยเหลือ ซึ่ง ณ เวลานั้นเคาเตอร์ของฮ่องกงแอร์ได้ปิดทำการไปแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้ชายคนนั้นจึงพาเราไปขึ้นรถบัส เพื่อไปอีกเทอร์มินอลนึง ที่พอเราไปถึงสภาพเทอร์มินอลก็เงียบเป็นป่าช้าเลยจ่ะ หลังจากนั้นเราก็พยายามสอบถามคนที่ผ่านไปมาว่าเคาเตอร์ของฮ่องกงแอร์ไลน์อยู่ที่ไหน จนได้รู้ว่าอยู่ที่ชั้น 5 หรือ 6 นี่แหละ เราก็ขึ้นลิฟท์ไปเพื่อไปเจอเคาเตอร์ว่างอีกครั้ง สุดท้ายคืนนั้นเรากับเพื่อเลยตัดสินใจจับจองเก้าว่างเป็นเตียงนอนชั่วคราวไปก่อน ตอนเช้าค่อยว่ากัน สภาพการนอนคืนนั้นก็ตามรูปเลยค่าาาาาา

ตอนเช้ามาถึง หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน แต่งหน้าเรียบร้อย เราสามคนก็เริ่มปฏิบัติภารกิจตามหาเจ้าหน้าที่ฮ่องกงแอร์ไลน์ และเราก็หากันจนเจอ (ขอให้ใส่ทำนองตอนอ่านเพื่อความบันเทิงค่ะ) สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็พาเราเดินไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่เส้นทางปกตินะคะ แบบเป็นช่องสำหรับเจ้าหน้าที่เท่านั้น และเราก้ได้เดินออกมาสูดอากาศของฮ่องกงค่ะ เหมือนได้รับอิสระภาพอะไรสักอย่าง ดีใจยิ่งกว่าพ่อแม่อนุญาตให้ไปเที่ยวกลางคืน 5555
เราเดินทางจากสนามบินฮ่องกงเข้าไปเที่ยวในเมืองด้วยวิธี นั่งรสบัสสาย S1 ไปลงที่สถานีรถไฟ Tung Chung เนื่องจากเราต้องการประหยัดเวลานะคะ เพราะกว่าเราจะผ่านเหตุการณ์บันเทิงข้างบนมาได้ก็ 8 โมงกว่าแล้ว จริงๆ ถ้าเพื่อน ๆ ที่มีกระเป๋าเดินทาง และต้องการประหยัดค่าเดินทาง เราแนะนำ City bus สาย A21 ไปลงฝั่งเกาลูน หรือ สาย A11 ไปลงฝั่งเซ็นทรัล จะสะดวกกว่าค่ะ หลังจากนั่งรถบัสไปลงที่สถานีรถไฟ Tung Chung แล้ว เรากับเพื่อนก็ตกลงกันว่า จะไปเติมสารอาหารเข้าร่างกายก่อน จึงตัดสินใจไปลงสถานี Central มุ่งหน้าสู่ Tsui Wah Restaurant ที่เลื่องชื่อ ตามที่พี่ที่ทำงานแนะนำมาร้านดีเค้าเด่นดังในเรื่องบะหมี่ลูกชิ้นปลา กับขนมปังปิ้งราดนม เรา 3 คนไปถึงก็จัดการชี้นิ้วตามเมนูแนะนำ แต่ได้รับการตอบกลับมาว่าเมนูที่สั่งนั้น ต้องรอเวลาหลัง 10 โมงเช้า เวลานี้จะมีเฉพาะเมนูอาหารเช้าเท่านั้น
เราสั่ง Continental Breakfast (จานสี่เหลี่ยม) จีจี้สั่ง Breakfast Set B. (2 จานด้านบนของภาพ) และมุมู่สั่ง Breakfast Set A. (2 จานด้านล่างของภาพ) หน้าตาอาหารก็จะประมาณนี้จ่ะ
เราสามารถสั่งเครื่องดื่มได้คนละ 1 อย่าง แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มถ้าสั่งเป็นเครื่องดื่มแบบเย็น 3 HKD. สำหรับรสชาติอาหารเราไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ เพราะปกติเราเป็นประเภทกินรสจัด ๆ หน่อย ก็เลยยังไม่ได้ถูกปาก แต่ก็นัดกันว่าจะกลับมาลองชิมบะหมี่ลูกชิ้นปลาในวันขากลับที่จะมาพักที่ฮ่องกงอีก 1 วัน ให้ได้
หลังจากพลังงานมาเต็มแล้ว เราก็ไปเดินเล่นไปเรื่อย ๆ ตาม Hollywood Mural street art ผ่าน Brooklyn Bar and Grill mural แล้วก็แวะไปที่
PMQ แต่อาจจะด้วยวันที่เราไปถึงเป็นวันพุธ บรรยากาศที่ PMQ ก็เลยเงียบ เราเลยตัดสินใจเดินผ่านเฉย ๆ ไม่ได้เข้าไปดูข้างใน แล้วตั้งใจไปถ่ายรูป และชมนิทรรศการที่ Tai Kwun - Centre for Heritage and Arts แต่ก็ต้องแห้วซ้ำสอง เพราะ Tai Kwun เปิด 10 โมงจ้า เรา 3 คน ขี้เกียจรอ ก็เลยข้ามไปเป้าหมายต่อไปเลยดีฟ่าาาาาา
เป้าหมายต่อไปของเราก็คือ Yick Fat Building ตึกสีๆ ที่ใครมาฮ่องกง ก็ต้องมาเช็คอินนั่นเอง การเดินทางคือเราก็นั่งรถไฟไปลงสถานี Tai Koo Exit B จากนั้นก็เดินตาม Google Map เลยจ่ะ และเนื่องจากสถานที่นี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนฮ่องกงด้วย จึงต้องระมัดระวังในการส่งเสียง เพื่อไม่ให้รบกวนผู้อยู่อาศัย และเนื่องจากเป็นชะนีที่มีความสูงเพียง 158 ซม. แต่มีความต้องการรูปสวย ๆ ระดับพรีเมี่ยมเหมือนคนอื่นใน IG คือเราต้องปีนขึ้นไปบนแท่นไง แต่แท่นที่ว่านั้นสูงเท่าอกจ่ะ แต่เป็นไงเป็นกันว่ะ มาถึงนี่แล้ว เราต้องได้ คิดได้ดังนั้นชะนีก็ทำการเทคตัวขึ้นไปเลยจ่ะ ปรากฎว่าอกชะนีค้างเติ่งอยู่ 3 วินาที กว่าจะป่ายปีนขึ้นไปได้ แทบตาย
Hong Kong/Busan/Seoul สนุก มันส์ แปดวันพร้อมเรื่องราว ดี๊ดี!!!