คุณเคยเชื่อเรื่องผีไหม!!! แล้วก็คุณเคยเชื่อเรื่องบังเอิญหรือป่าว!!!
เรื่องนี้จะเล่าย้อนไปเมื่อประมาณ 13 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้น ตัวผมเองก็จะอายุได้ประมาณ 16 ปี ผมเป็นเด็กบ้านนอก ซึ่งได้มาเรียน วท.ในเมือง บ้านผมอยู่ในอำเภออำเภอหนึ่งที่ 5 อำเภอนี้ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ระยะทางจากอำเภอเมืองมาถึงบ้านผมก็จะประมาณ
50 - 60 กม. ก่อนถึงบ้านผมจะต้องผ่าน ตลาดชาวเขา 2 จุดด้วยกัน
เมื่อจบ ม.3 โรงเรียนในหมู่บ้าน ก็ย้ายเข้ามาศึกษาต่อที่ วท.แห่งหนึ่งในอำเภอเมือง ซึ่งผมเป็นเด็กบ้านนอกต้องนั่งรถไปเรียนในเมืองทุกวันซึ่งภายในรถนั้นได้มีเด็กหลายๆหมู่บ้านนั่งรถไปเรียนในเมืองด้วย มันก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ว่าวัยรุ่นต่างหมู่บ้าน ก็จะไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่ก็ต้องนั่งรถไปด้วยกันเพื่อไปเรียนที่ในตัวเมืองของจังหวัด หลายๆคนก็จะเป็นผู้โชคดี โดยเฉพาะผม มันก็เป็นเรื่องชกต่อยเล็กๆน้อยๆบนรถนักเรียน มันก็เป็นความโชคดีปนความโชคร้าย ที่เราจะต้องไม่ได้นั่งรถนักเรียนคันนั้นอีก แต่!!! ในหมู่บ้านผม ไม่มีรถรับส่งนักเรียน ผมจึงต้องย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง ซึ่งเราจะต้องอยู่ในตัวเมือง 5 วัน คือ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ แล้วศุกร์ตอนเย็นก็ต้องเดินทางกลับบ้าน เพื่อไปช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน เข้าไร่ก็ว่ากันไป เด็กที่มาเรียนในเมืองหลายๆคน ก็ต้องมีพาหนะในการเดินทางไปเรียนและกลับบ้าน ซึ่งผมก็มีเช่นกัน WAVE 100 รถเดิมๆแต่งเติมก็คือ ไฟเบรค เพราะฝาครอบไฟเบรคโดนโขมยไฟเบรคก็จะสว่างๆหน่อยถ้าเหยียบเบครก็จะเห็นข้างหลังได้ชัดเจ็น หมวกกันน็อคครึ่งใบที่แถมมากับรถ ตัวรถก็จะทำความเร็วได้ประมาณ 80 กม.ต่อชั่วโมง แตะ 100 นิด (ลงเขานะ) ในเทอม์แรกถึงกลางเทอม์ก็ยังกลับบ้านปกติ แต่มันทำให้เรารู้ว่า ขับรถตอนเย็นช่วง 5 โมง ถึง 6 โมงเย็นนั้นรถมันเยอะ ผมก็เลย เลื่อนเป็นเวลา 1 ทุ่ม ถึง 2 ทุ่ม เพื่อ ให้รถมันเบาบางลงบ้าง ในระหว่างท่างก็จะเจอรถเก๋งรถกระบะน้อยลง แต่ก็มีรถวิ่งมาบ้าง สิ่งที่ทำให้เราอุ่นใจดีที่สุดคือ รถ 10 ล้อและรถพ่วง รถพวกนี้ต้องขับช้าเพราะมันเป็นทางขึ้นเขา และทางเส้นนั้นเมื่อก่อนนั้น มันเป็นทาง 2 เลน ซึ่งจะแซงรถทีนึงต้องใช้ระยะเวลานานมาก(ในตอนกลางวัน) แต่ผมชอบ 10 ล้อ ในทางเส้นนี้ครับเพราะ ถ้าเราจะแซงเขาจะเปิดไฟเลี้ยวให้เราแซง ถ้ามีรถอีกเลนหนึ่งมาเขาก็จะเปิดไฟเลี้ยวให้เราว่ามีรถสวนทางมา
แล้วก็มาถึงวันที่พวกเด็กๆรอคอย คือ วันหยุดยาว เท่าที่จำไม่ผิดน่าจะหยุดประมาณ 4 วัน คือ เสาร อาทิตย์ จันทร์ อังคาร แต่ผมเลือกที่จะกลับบ้านในวัน อาทิตย์ตอนเย็น 2 วันแรกนัดกลับเพื่อนว่าจะไปเที่ยวกัน พอถึงเย็นวันอาทิตย์ก็เหมือนเดิมครับแต่ดึกหน่อย คือ กลับ 4 ทุ่มนิดๆ ผมก็กลับบ้านปกติ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ 2 ข้างทางที่ผมผ่านมันเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่หมาอยู่กลางถนนหรือข้างถนน และช่วงนั้นจะเป็นช่วงใกล้ๆปลายฝน มันจึงทำให้อากาศรอบๆเย็นขึ้น เย็นจนหนาวสันหลังยังไงชอบกล ระหว่างทางที่ผมขับรถมอเตอร์ไซน์ไป มันเริ่มจะไม่มีรถผ่านไปผ่านมาเลยซักคน แม้แต่รถ 10 ล้อ ที่เป็นเพื่อนร่วมทาง ก็นานๆที จะเจอซักคัน เราก็จะเริ่มเข้าสู่เขตป่าเข้าไปเรื่อยๆ
จนสุดท้ายเขตหมู่บ้านไปจบลงที่ทางเข้าน้ำตก แล้วจะเริ่มเข้าสู่ทางขึ้นเขา ระยะทางจากปากทางเข้าน้ำตกถึง ทางขึ้นเขา 5 กม. ก็จะมีสะพานอยู่สะพานหนึ่ง เลยสะพานไปหน่อย น่าจะเป็นหน่วยอุทยาน ที่มีเลียผาเป็นสัญลักษณ์ แต่ผมขับรถกำลังจะเข้าสู่สะพานได้เห็นจุดสีขาวๆ อยู่ทางหัวสะพานอีกฝั่งหนึ่งทางขวามือเอ๊ะมันคืออะไร พอถึงหัวสะพานจึงรู้ได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันเป็นคน ผู้หญิงใส่ชุดสีขาวผมยาวเลยไหล่ ชุดยาวไสวหันหน้ามองออกไปนอกสะพาน ผมคิดคนอะไรมานั่งอยู่ข้างสะพานกลางคำกลางคืน พอรถเข้าไปใกล้ๆ ไฟรถกระทบกับตัว หน้าเธอซีด แขนขาซีด ซีดแบบไก่โดนปาดคอ แล้วเอาเลือดออกรถยิ่งเข้าใกล้ๆ ก็ยิ่งเห็นชัดผมจึงหันคอรถให้ตรงทางแล้วหลับตา พูดกับตัวเองว่า ไม่เห็น ไม่เห็น ไม่เห็น ไม่เห็น ไม่เห็น ไม่เห็น คิดว่ารถผ่านได้ซักระยะแล้วค่อยลืมตา แต่ก็ยังไม่คลายสงสัยเลยมองผ่านกระจกหลัง แล้วแตะเบรคแล้วมองไปข้างหลังมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้มันเกิดคือเขาหันหน้ามองมาทางผม ผมก็ได้แต่มองไปข้างหน้าทดเกียร์แล้วบิดสุดคันเร่ง
พอจะขึ้นเขายาว 5 กม. ได้เจอกับรถ 10 ล้อ ก็ทำให้เราอุ่นใจได้บ้าง รถ 10 ล้อ ก็จะวิ่งได้ซักประมาณ 5 - 10 กม. ต่อชั่วโมง เพราะมันเป็นทางขึ้นเขา พอเราขับตามได้ซักระยะนึ่ง พอทำใจและหายกลัวแล้ว ผมก็ขับแซงขึ้นเขาไปต่อเลยศาลซ้ายมือขึ้นมาผ่านช่องแคบ จากเขาชันก็เริ่มจะเป็นเนินธรรมดาแต่ก็ชันอยู่บ้างบางส่วน แล้วตาผมก็ได้สังเกตุเห็นเงาตะคุ่มๆ ตรงข้างทางขวามือเพราะซ้ายมือมันจะเป็นเหวเงานั้นมันอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ในใจผมขอให้มันเป็นวัวเพราะแถวนั้นจะมีวัวมานอนอยู่ข้างทาง พอขับรถผ่านเงานั้นกลับกระโดดข้ามมาตัดหน้ารถแบบกระชั้นชิดแต่มองที่ไมล์รถผมใช้ความเร็ว ประมาณ 40 - 60 กม. ซึ่งคิดในใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีอะไรมาเร็วขนาดนี้ ผมก็เริ่มขับรถเร็วขึ้นอีกครั้ง แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะต้องดูกระจกมองหลัง แล้วสิ่งที่ผมเห็นก็คือคนตัวดำๆ วิ่งตามรถมา แต่เขาไม่ได้วิ่งธรรมดา เขาวิ่ง 4 ขา นะเวลานั้นเสียง ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงหัวใจผม หรือ เสียงคนที่วิ่งตามหลังผมมากันแน่ ผมได้แต่กรีดเสียงร้องอยู่ในรำคอ และ น้ำตาสองทั้งสองข้าง มันไหลพลากยันแก้ม สติผมแทบหลุดตั้งแต่วินาทีนั้นผมเหมือนจะเป็นลม เรี่ยวแรงแม้แต่จะบิดคันเร่งรถยังจะไม่มี ผมเห็นไฟถนนไกลไปอีก 6 - 7 โค้งข้างหน้า ผมกลั้นใจบิดรถเพื่อพาตัวเองให้หลุดพ้นจากตรงนี้ ระยะทางจากตรงนั้นประมาณ เกือบๆ 2 กม.น่าจะได้ ผมบิดคันเร่ง ทดเกียร์ บิดคันเร่ง ทดเกียร์ เป็นเวลาเท่าไหร่ไม่รู้ จนมาถึง จุดที่มีไฟถนน ก็ยังไม่อุ่นใจ เราต้องไปต่อไปยังสถานที่ที่มีคนผ่าน ถึงหน้าอุทยานแล้วก็จะเป็นทางลงเขา ผมก็บิดหมดปลอกเหมือนเดิมโดยผมจะไม่มองไปข้างหลังเด็ดขาด เพราะตรงนั้นมันไม่มีไฟ ผมคิดอย่างเดียวคือ ต้องไปให้ถึงตลาดเก่า เพราะตลาดใหม่ยังไม่มีไฟในตอนนั้น และในที่สุดก็ถึงตลาดเก่า ผมได้เห็นคน ผมได้เห็นไฟ มันทำให้ผมอุ่นใจขึ้น น้ำตาผมมันไหลออกมาอีกครั้งนึงความรู้สึกตอนนั้น เหมือนเรายกก้อนหินออกจากอกครึ่งนึงมันรุ้สึกโลงแต่งยังไม่สุดเพราะยังมีหนทางอีก 20 กม.ที่จะถึงบ้านผมพักตรงตลาดเก่าประมาณครึ่งชั่วโมงผมก็ต้องเดินทางต่อ เพราะยังไงวันนี้ก็ต้องไปให้ถึงบ้านให้ได้
ยกมือขึ้นไหว้ขอให้ปู่ให้ย่าคุ้มครองหลานด้วย ขอให้หลานเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย ผมก็เริ่มเดินทางอีกครั้งนึง ขับรถมอเตอร์ไซน์ออกมาจากตลาดเก่าไม่ทันไร มองกระจกหลังก็เห็น ไฟรถตามมาซึ่งมองจากไฟรถแล้วน่าจะเป็นรถ SONIC ผมรู้สึกอุ่นใจยิ่งขึ้นเมื่อมีเพื่อนร่วมทางความกลัวผมหายไปมากกลายเป็นความกล้าขึ้นมาแทนผมขับรถมาได้ซักระยะหนึ่งจำได้ว่าน่าจะผ่าน ศูนย์อนุรักษณ์ป่าไม้ 7 รถมอเตอร์ไซน์คนที่ตามผมมาก็เริ่มจะแซงผมไป ผมก็ชิดไหล่ทางเพื่อที่จะให้เขาแซง แต่! เขาไม่ได้แซงผม แต่...ไฟ....นั้น.... ลอยขึ้นไปบนฟ้าซึ่งมันทำให้เราตกใจมากเราได้แต่บิดแล้วงงกับแสงไฟนี้ว่ามันเป็นแสงอะไร จนผมขับรถมาถึงบ้าน แล้วอาบน้ำเข้านอนจนเช้า ตื่นเช้ามาก็เห็นคนเดินเข้าไปในวัด พร้อมกับเห็นแม่จัดสำรับอาหาร เข้าไปทำบุญที่วัด ผมเลยถามแม่ว่าวันนี้วันอะไร แม่ผมบอกว่าวันนี้วันพระไงพรุ่งนี้วันเข้าพรรษา ผมเลยบอกแม่ว่าผมเจอผี แม่เลยบอกว่าสมควรแล้วแหละใครให้มาดึกๆดื่นๆ ไปวัดกับกูไปอาบน้ำมนต์
\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\
เธอคนนั้น ใครตามมา เพื่อนร่วมทาง
เรื่องนี้จะเล่าย้อนไปเมื่อประมาณ 13 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้น ตัวผมเองก็จะอายุได้ประมาณ 16 ปี ผมเป็นเด็กบ้านนอก ซึ่งได้มาเรียน วท.ในเมือง บ้านผมอยู่ในอำเภออำเภอหนึ่งที่ 5 อำเภอนี้ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ระยะทางจากอำเภอเมืองมาถึงบ้านผมก็จะประมาณ
50 - 60 กม. ก่อนถึงบ้านผมจะต้องผ่าน ตลาดชาวเขา 2 จุดด้วยกัน
เมื่อจบ ม.3 โรงเรียนในหมู่บ้าน ก็ย้ายเข้ามาศึกษาต่อที่ วท.แห่งหนึ่งในอำเภอเมือง ซึ่งผมเป็นเด็กบ้านนอกต้องนั่งรถไปเรียนในเมืองทุกวันซึ่งภายในรถนั้นได้มีเด็กหลายๆหมู่บ้านนั่งรถไปเรียนในเมืองด้วย มันก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ว่าวัยรุ่นต่างหมู่บ้าน ก็จะไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่ก็ต้องนั่งรถไปด้วยกันเพื่อไปเรียนที่ในตัวเมืองของจังหวัด หลายๆคนก็จะเป็นผู้โชคดี โดยเฉพาะผม มันก็เป็นเรื่องชกต่อยเล็กๆน้อยๆบนรถนักเรียน มันก็เป็นความโชคดีปนความโชคร้าย ที่เราจะต้องไม่ได้นั่งรถนักเรียนคันนั้นอีก แต่!!! ในหมู่บ้านผม ไม่มีรถรับส่งนักเรียน ผมจึงต้องย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง ซึ่งเราจะต้องอยู่ในตัวเมือง 5 วัน คือ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ แล้วศุกร์ตอนเย็นก็ต้องเดินทางกลับบ้าน เพื่อไปช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน เข้าไร่ก็ว่ากันไป เด็กที่มาเรียนในเมืองหลายๆคน ก็ต้องมีพาหนะในการเดินทางไปเรียนและกลับบ้าน ซึ่งผมก็มีเช่นกัน WAVE 100 รถเดิมๆแต่งเติมก็คือ ไฟเบรค เพราะฝาครอบไฟเบรคโดนโขมยไฟเบรคก็จะสว่างๆหน่อยถ้าเหยียบเบครก็จะเห็นข้างหลังได้ชัดเจ็น หมวกกันน็อคครึ่งใบที่แถมมากับรถ ตัวรถก็จะทำความเร็วได้ประมาณ 80 กม.ต่อชั่วโมง แตะ 100 นิด (ลงเขานะ) ในเทอม์แรกถึงกลางเทอม์ก็ยังกลับบ้านปกติ แต่มันทำให้เรารู้ว่า ขับรถตอนเย็นช่วง 5 โมง ถึง 6 โมงเย็นนั้นรถมันเยอะ ผมก็เลย เลื่อนเป็นเวลา 1 ทุ่ม ถึง 2 ทุ่ม เพื่อ ให้รถมันเบาบางลงบ้าง ในระหว่างท่างก็จะเจอรถเก๋งรถกระบะน้อยลง แต่ก็มีรถวิ่งมาบ้าง สิ่งที่ทำให้เราอุ่นใจดีที่สุดคือ รถ 10 ล้อและรถพ่วง รถพวกนี้ต้องขับช้าเพราะมันเป็นทางขึ้นเขา และทางเส้นนั้นเมื่อก่อนนั้น มันเป็นทาง 2 เลน ซึ่งจะแซงรถทีนึงต้องใช้ระยะเวลานานมาก(ในตอนกลางวัน) แต่ผมชอบ 10 ล้อ ในทางเส้นนี้ครับเพราะ ถ้าเราจะแซงเขาจะเปิดไฟเลี้ยวให้เราแซง ถ้ามีรถอีกเลนหนึ่งมาเขาก็จะเปิดไฟเลี้ยวให้เราว่ามีรถสวนทางมา
แล้วก็มาถึงวันที่พวกเด็กๆรอคอย คือ วันหยุดยาว เท่าที่จำไม่ผิดน่าจะหยุดประมาณ 4 วัน คือ เสาร อาทิตย์ จันทร์ อังคาร แต่ผมเลือกที่จะกลับบ้านในวัน อาทิตย์ตอนเย็น 2 วันแรกนัดกลับเพื่อนว่าจะไปเที่ยวกัน พอถึงเย็นวันอาทิตย์ก็เหมือนเดิมครับแต่ดึกหน่อย คือ กลับ 4 ทุ่มนิดๆ ผมก็กลับบ้านปกติ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ 2 ข้างทางที่ผมผ่านมันเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่หมาอยู่กลางถนนหรือข้างถนน และช่วงนั้นจะเป็นช่วงใกล้ๆปลายฝน มันจึงทำให้อากาศรอบๆเย็นขึ้น เย็นจนหนาวสันหลังยังไงชอบกล ระหว่างทางที่ผมขับรถมอเตอร์ไซน์ไป มันเริ่มจะไม่มีรถผ่านไปผ่านมาเลยซักคน แม้แต่รถ 10 ล้อ ที่เป็นเพื่อนร่วมทาง ก็นานๆที จะเจอซักคัน เราก็จะเริ่มเข้าสู่เขตป่าเข้าไปเรื่อยๆ
จนสุดท้ายเขตหมู่บ้านไปจบลงที่ทางเข้าน้ำตก แล้วจะเริ่มเข้าสู่ทางขึ้นเขา ระยะทางจากปากทางเข้าน้ำตกถึง ทางขึ้นเขา 5 กม. ก็จะมีสะพานอยู่สะพานหนึ่ง เลยสะพานไปหน่อย น่าจะเป็นหน่วยอุทยาน ที่มีเลียผาเป็นสัญลักษณ์ แต่ผมขับรถกำลังจะเข้าสู่สะพานได้เห็นจุดสีขาวๆ อยู่ทางหัวสะพานอีกฝั่งหนึ่งทางขวามือเอ๊ะมันคืออะไร พอถึงหัวสะพานจึงรู้ได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันเป็นคน ผู้หญิงใส่ชุดสีขาวผมยาวเลยไหล่ ชุดยาวไสวหันหน้ามองออกไปนอกสะพาน ผมคิดคนอะไรมานั่งอยู่ข้างสะพานกลางคำกลางคืน พอรถเข้าไปใกล้ๆ ไฟรถกระทบกับตัว หน้าเธอซีด แขนขาซีด ซีดแบบไก่โดนปาดคอ แล้วเอาเลือดออกรถยิ่งเข้าใกล้ๆ ก็ยิ่งเห็นชัดผมจึงหันคอรถให้ตรงทางแล้วหลับตา พูดกับตัวเองว่า ไม่เห็น ไม่เห็น ไม่เห็น ไม่เห็น ไม่เห็น ไม่เห็น คิดว่ารถผ่านได้ซักระยะแล้วค่อยลืมตา แต่ก็ยังไม่คลายสงสัยเลยมองผ่านกระจกหลัง แล้วแตะเบรคแล้วมองไปข้างหลังมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้มันเกิดคือเขาหันหน้ามองมาทางผม ผมก็ได้แต่มองไปข้างหน้าทดเกียร์แล้วบิดสุดคันเร่ง
พอจะขึ้นเขายาว 5 กม. ได้เจอกับรถ 10 ล้อ ก็ทำให้เราอุ่นใจได้บ้าง รถ 10 ล้อ ก็จะวิ่งได้ซักประมาณ 5 - 10 กม. ต่อชั่วโมง เพราะมันเป็นทางขึ้นเขา พอเราขับตามได้ซักระยะนึ่ง พอทำใจและหายกลัวแล้ว ผมก็ขับแซงขึ้นเขาไปต่อเลยศาลซ้ายมือขึ้นมาผ่านช่องแคบ จากเขาชันก็เริ่มจะเป็นเนินธรรมดาแต่ก็ชันอยู่บ้างบางส่วน แล้วตาผมก็ได้สังเกตุเห็นเงาตะคุ่มๆ ตรงข้างทางขวามือเพราะซ้ายมือมันจะเป็นเหวเงานั้นมันอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ในใจผมขอให้มันเป็นวัวเพราะแถวนั้นจะมีวัวมานอนอยู่ข้างทาง พอขับรถผ่านเงานั้นกลับกระโดดข้ามมาตัดหน้ารถแบบกระชั้นชิดแต่มองที่ไมล์รถผมใช้ความเร็ว ประมาณ 40 - 60 กม. ซึ่งคิดในใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีอะไรมาเร็วขนาดนี้ ผมก็เริ่มขับรถเร็วขึ้นอีกครั้ง แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะต้องดูกระจกมองหลัง แล้วสิ่งที่ผมเห็นก็คือคนตัวดำๆ วิ่งตามรถมา แต่เขาไม่ได้วิ่งธรรมดา เขาวิ่ง 4 ขา นะเวลานั้นเสียง ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงหัวใจผม หรือ เสียงคนที่วิ่งตามหลังผมมากันแน่ ผมได้แต่กรีดเสียงร้องอยู่ในรำคอ และ น้ำตาสองทั้งสองข้าง มันไหลพลากยันแก้ม สติผมแทบหลุดตั้งแต่วินาทีนั้นผมเหมือนจะเป็นลม เรี่ยวแรงแม้แต่จะบิดคันเร่งรถยังจะไม่มี ผมเห็นไฟถนนไกลไปอีก 6 - 7 โค้งข้างหน้า ผมกลั้นใจบิดรถเพื่อพาตัวเองให้หลุดพ้นจากตรงนี้ ระยะทางจากตรงนั้นประมาณ เกือบๆ 2 กม.น่าจะได้ ผมบิดคันเร่ง ทดเกียร์ บิดคันเร่ง ทดเกียร์ เป็นเวลาเท่าไหร่ไม่รู้ จนมาถึง จุดที่มีไฟถนน ก็ยังไม่อุ่นใจ เราต้องไปต่อไปยังสถานที่ที่มีคนผ่าน ถึงหน้าอุทยานแล้วก็จะเป็นทางลงเขา ผมก็บิดหมดปลอกเหมือนเดิมโดยผมจะไม่มองไปข้างหลังเด็ดขาด เพราะตรงนั้นมันไม่มีไฟ ผมคิดอย่างเดียวคือ ต้องไปให้ถึงตลาดเก่า เพราะตลาดใหม่ยังไม่มีไฟในตอนนั้น และในที่สุดก็ถึงตลาดเก่า ผมได้เห็นคน ผมได้เห็นไฟ มันทำให้ผมอุ่นใจขึ้น น้ำตาผมมันไหลออกมาอีกครั้งนึงความรู้สึกตอนนั้น เหมือนเรายกก้อนหินออกจากอกครึ่งนึงมันรุ้สึกโลงแต่งยังไม่สุดเพราะยังมีหนทางอีก 20 กม.ที่จะถึงบ้านผมพักตรงตลาดเก่าประมาณครึ่งชั่วโมงผมก็ต้องเดินทางต่อ เพราะยังไงวันนี้ก็ต้องไปให้ถึงบ้านให้ได้
ยกมือขึ้นไหว้ขอให้ปู่ให้ย่าคุ้มครองหลานด้วย ขอให้หลานเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย ผมก็เริ่มเดินทางอีกครั้งนึง ขับรถมอเตอร์ไซน์ออกมาจากตลาดเก่าไม่ทันไร มองกระจกหลังก็เห็น ไฟรถตามมาซึ่งมองจากไฟรถแล้วน่าจะเป็นรถ SONIC ผมรู้สึกอุ่นใจยิ่งขึ้นเมื่อมีเพื่อนร่วมทางความกลัวผมหายไปมากกลายเป็นความกล้าขึ้นมาแทนผมขับรถมาได้ซักระยะหนึ่งจำได้ว่าน่าจะผ่าน ศูนย์อนุรักษณ์ป่าไม้ 7 รถมอเตอร์ไซน์คนที่ตามผมมาก็เริ่มจะแซงผมไป ผมก็ชิดไหล่ทางเพื่อที่จะให้เขาแซง แต่! เขาไม่ได้แซงผม แต่...ไฟ....นั้น.... ลอยขึ้นไปบนฟ้าซึ่งมันทำให้เราตกใจมากเราได้แต่บิดแล้วงงกับแสงไฟนี้ว่ามันเป็นแสงอะไร จนผมขับรถมาถึงบ้าน แล้วอาบน้ำเข้านอนจนเช้า ตื่นเช้ามาก็เห็นคนเดินเข้าไปในวัด พร้อมกับเห็นแม่จัดสำรับอาหาร เข้าไปทำบุญที่วัด ผมเลยถามแม่ว่าวันนี้วันอะไร แม่ผมบอกว่าวันนี้วันพระไงพรุ่งนี้วันเข้าพรรษา ผมเลยบอกแม่ว่าผมเจอผี แม่เลยบอกว่าสมควรแล้วแหละใครให้มาดึกๆดื่นๆ ไปวัดกับกูไปอาบน้ำมนต์
\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\