อาทิตย์ที่แล้ว หน้าเพจของเพื่อนเพศที่สามของดิฉันคู่หนึ่งขึ้นหน้าฉลองความสัมพันธ์ที่อยู่ด้วยกันมา 20 ปี และแต่งงานมา 10 ปี
มีเปิดแชมเปญฉลอง ไปกินข้าวมื้อพิเศษ ดูมีความสุข อบอุ่นและเปิดเผยมาก ๆ
เพื่อนฝูงที่รู้จักกันมานมนานเก่าแก่ผลัดเวียนกันมาแสดงความยินดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วยังขึ้น notification ใหม่ ๆ อยู่เรื่อย





เลยขอมาแชร์เรื่องรักของคู่รักเพศที่สามให้ฟัง เพื่อยืนยันว่ารักดี ๆ มีอยู่ได้ในความสัมพันธ์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคู่รักแบบชายหญิง รักกันแบบพี่น้อง(แท้ ๆ ) รักกันแบบเพื่อน หรือรักในแบบเพศที่สาม
ดิฉันมีเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม 3 คน ที่ภายหลังมาเป็นคู่รักเพศที่สาม และสามารถมีชีวิตคู่ แต่งงานได้อย่างเปิดเผยและมีความสุข
คนแรก เป็นเพื่อนชาวเวเนซูเอล่า เจ้าของงานฉลองวันครบรอบ 10 ปี ที่เล่ามาเมื่อครู่ แต่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันมายี่สิบปีแล้วนะคะ
สถานภาพสมรส เห็นเพื่อนใช้คำว่า domestic partnership หรือดิฉันขอแปลเป็นไทยว่า เนื้อคู่อยู่ร่วมบ้านค่ะ
คนที่สอง เป็นเพื่อนชาวอิสราเอล กับแฟนหนุ่มหล่อล่ำบึ้ก คู่นี้ก็อยู่กันมาจะครบ 10 ปีแล้ว
ส่วนคนที่สาม เป็นเพื่อนสาวชาวอเมริกัน ที่ใช้ชีวิตแต่งงานมาเกือบยี่สิบปี เพื่อจะมาพบในภายหลังว่า ไม่มีความสุขกับชีวิตคู่กับคุณสามีที่เป็นผู้ชาย เธอสับสนอยู่พักใหญ่ ถึงขนาดไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาสู้หน้าพ่อแม่ญาติพี่น้องได้ (อเมริกาในบางรัฐ ยังอนุรักษ์นิยมเรื่องแบบนี้อยู่มากนะคะ) ต้องออกมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ญี่ปุ่นพักใหญ่ ๆ กว่าจะรวบรวมความกล้า เผชิญความจริง กล้าเปิดตัว และตอนนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
มีข้อคิดและข้อสังเกตอะไรหลายอย่างที่ดิฉันอยากเขียนถึง สำหรับความรักประเภทนี้ ที่อยากจะแชร์กับเพื่อน ๆ พันทิปค่ะ
ไม่ได้มีอะไรอ้างอิงเชิงวิชาการทั้งนั้นนะคะ แต่เป็นความคิดเห็นแนวอัตตวิสัยที่สังเกตมา
ผิดถูกอย่างไร ขอเชิญมาแก้ไขกันได้
1. การเป็นเพศที่สาม ร้อยละ 90 ที่เห็นมา เหมือนเป็น code บางอย่างที่ฝังมาใน DNA คือเป็นก็เป็นเลย ไม่ใช่เรื่องที่จะหายได้ด้วยการกินพารา 3 เม็ด
หรือการทำจิตบำบัดใด ๆ
เท่าที่เคยเห็นมา เป็นก็เป็นเลย ไม่ได้เลือกว่าจะเป็น
2. ความกดดันจากสังคมเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเพศที่สามที่จะเปิดตัว แม้กระทั่งที่เปิดเผยและเสรีอย่างสหรัฐอเมริกา ยังมีอีกหลายพื้นที่ และหลายรัฐที่ผู้คนยังคงหัวเก่าอยู่และยังคงไม่ยอมรับความรักของคนกลุ่มนี้นัก ทำให้หลายคนไม่กล้าแม้กระทั่งจะยอมรับกับตัวเองว่าเป็นเกย์ หรือเลสเบี้ยน
ขอใช้คำว่าเกย์นะคะ เพราะเกย์เป็นคำกลาง ๆ รวม ๆ ที่หมายถึงเพศที่สาม เมื่อไม่กล้ายอมรับแม้กระทั่งกับตนเอง จึงทำให้ในช่วงวัยที่ยังสับสน ไปใช้ชีวิตกับเพื่อนต่างเพศเพื่อจะพบว่า "มันไม่ใช่" และสุดท้ายลงเอยด้วยความเจ็บปวดของทุกฝ่าย
3. คนสมัยก่อนมักมี perception หรือมักทึกทักเอาว่า เกย์มักจะมีความสามารถพิเศษด้านศิลปะเป็นส่วนใหญ่ อาชีพมักอยู่กับของ "สุนทรียะ" ทั้งหลายที่สำรวยสวยกราก นุ่มนิ่มอ่อนหวาน หรือเป็นของวิจิตรที่บำรุงอายตนะ เช่น แฟชั่น ความงาม ทำผม ทำกับข้าว ดีไซน์
และส่วนใหญ่ไม่ค่อยเก่งด้านวิชาการ มีความอ่อนไหว และไม่มั่นคงทางอารมณ์ ปรี๊ดแตกบ่อย ๆ
ซึ่งอันนี้ ดิฉันพบว่าผิดถนัด เพื่อนที่กล่าวถึงข้างบน คู่แรก ฝ่ายชายจบปริญญาโทสาขาเคมีจากเยล
คู่ที่สอง ฝ่ายชายเป็นทหารยศนายพัน
ส่วนคู่ที่สาม ฝ่ายหญิงเป็นทนายความทำงานเพื่อผู้ด้อยสิทธิทางสังคม
เท่าที่ดิฉันรู้จักและได้สัมผัสมา เป็นคนเก่ง คนดี ใจเย็น มีเหตุผล ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดี สูงทั้ง IQ และ EQ
4. ปัญหาทางอารมณ์ที่เพศที่สามส่วนใหญ่มี บางครั้ง ไม่ใช่เกิดเพราะเป็นมาแต่กำเนิด หลายครั้ง เกิดจากการสับสนในตัวเอง กลัวสังคมไม่ยอมรับ และที่รุนแรงที่สุด คือ การถูกรังแกในวัยเยาว์เนื่องมาจากความเป็นเพศที่ 3
5. และจากข้อ 4 ทำให้เพศที่สามหลายคน มีความเปราะบางและหวั่นไหวในเรื่องความรัก บางคนหลายใจ ชิงลงมือละทิ้งเปลี่ยนคู่ก่อน เพราะกลัวจะโดนทิ้งอีกทั้งยังมีความเชื่อว่า "คงไม่มีใครรักจริง" หรือ "คนอย่างเรา คงหาความรักดี ๆ ไม่ได้หรอก"
ก็เลยทำตัวตามคติโจโฉ
คือ "ยอมทรยศต่อคนทั้งโลก แต่จะไม่ยอมให้โลกทรยศ"
ความหนักแน่นและความเชื่อมั่นศรัทธาในตนเองและในความรักดี ๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ เพื่อสามารถทำให้มีรักที่มั่นคงดีงามได้
6. ฉะนั้น การที่สังคมเปิดใจยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความรักของคนประเภทนี้ จะมีส่วนช่วยค้ำจุนให้ความสัมพันธ์ดี ๆ เกิดขึ้นได้
ปัญหาวุ่นวายในความสัมพันธ์ คือ การไม่ซื่อสัตย์และการนอกใจ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเพศอะไรรักกับเพศอะไร
ปัจจุบัน กระทั่ง อาชีพอย่างนักการทูต ก็มีเอกอัครราชทูตซึ่งถือเป็นตำแหน่งทรงเกียรติมาก กล้าแสดงออกว่าตัวเองเป็นเพศที่สาม และควงคู่ของตนเองออกงานอย่างให้เกียรติและเปิดเผย ท่านทูตอังกฤษประจำประเทศไทยท่านหนึ่งก็ใช่ ให้สัมภาษณ์ลง Hello อย่างละเอียดตรงไปตรงมา
7. ผู้คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า เลสเบี้ยนมักจะมีทอม (ที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย ทำตัวเป็นผู้ชาย) และดี้ (ที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงและทำตัวเป็นผู้หญิง) ในความเป็นจริง คู่รักหญิงหญิงจำนวนมาก แต่งตัวสวยงามเป็นหญิงทั้งคู่ และขออภัยที่ต้องเล่าแบบนี้ ต้องบอกว่า เลสเบี้ยนหลายคนหน้าอกทรวดทรงองค์เอวสะบะละฮึ่ม อกเป็นอก เอวเป็นเอว ก้นเป็นก้น เพียงแต่พวกเธอชอบกันเองเท่านั้น
ส่วนเกย์ผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องชอบช้อปปิ้ง ทาลิปสติค ทาครีมปากแดง ตุ้งติ้ง ทิ้งหางตาไปทั้งหมด
หลายคนทำตัวปกติเหมือนผู้ชายทั่วไป สุภาพเรียบร้อย แต่งตัวแบบผู้ชาย ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเป็นเพื่อนสาวใคร แต่เค้าแค่ชอบผู้ชายเท่านั้น
หลายปีก่อน ดิฉันเคยมีเหตุให้ต้องทำโปรเจคต์ร่วมกับ ดร.คนดังท่านหนึ่ง
เพื่อนดิฉันกรี๊ดกร๊าดมาก เพราะท่านเองก็เป็นคนโพรไฟล์ดี๊ดี หน้าตาดี ไม่ประกาศตัว และตามหน้านิตยสารมักประทับตราท่านว่าเป็น "หนุ่มโสดน่าสน" หรือ "หนุ่มโสดเนื้อหอม"
คุณเพื่อนก็มากะลิ้มกะเหลี่ยบอกว่า "แนะนำหน่อยสิ"


เพื่อนสายไหน สายไหน ที่รู้จัก พอรู้ว่า ดิฉันรู้จักและคุ้นเคยขนาดเคยเอาชิ้นงานไปส่งให้ที่บ้าน ก็กรี๊ดกร๊าดทั้งนั้น
555 แต่ดิฉันเองนี่ล่ะค่ะ ที่เวลาเห็นสายตาของ ดร. ที่มองมาเหมือน พี่ชายมองน้องสาว ดิฉันก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่อย่างที่สาว ๆ จะอยากกรี๊ดแบบแฟนหรอก
ดร.ท่านนี้ ท่านเอง ก็ประพฤติตัวเป็นสุภาพบุรุษที่น่ารัก เปิดประตูรถให้ อะไรทำนองนี้ค่ะ
ภายหลังเอง เพื่อนดิฉันถึงคอตก มากระซิบทีหลังว่า คอนเฟิร์มว่า ดร.ท่านนั้น ไม่ชอบผู้หญิงหรอก "เพราะแฟน (ผู้ชาย) เค้าอยู่หมู่บ้านเดียวกับชั้น"
เล่ามาเสียยืดยาว ก็เพื่อมาแชร์และยืนยันว่า ความรักดี ๆ ที่มีความซื่อสัตย์ มั่นคง ให้เกียรติ กล้าเปิดเผย และรักเดียวใจเดียวต่อกัน มีได้ในทุกเพศทุกวัย
ขอเป็นกำลังใจให้ได้พบกับความรักที่ดีงามกันนะคะ
เล่าเรื่องความสุขสมหวังของคู่รักเพศที่สามที่รู้จัก
มีเปิดแชมเปญฉลอง ไปกินข้าวมื้อพิเศษ ดูมีความสุข อบอุ่นและเปิดเผยมาก ๆ
เพื่อนฝูงที่รู้จักกันมานมนานเก่าแก่ผลัดเวียนกันมาแสดงความยินดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วยังขึ้น notification ใหม่ ๆ อยู่เรื่อย
เลยขอมาแชร์เรื่องรักของคู่รักเพศที่สามให้ฟัง เพื่อยืนยันว่ารักดี ๆ มีอยู่ได้ในความสัมพันธ์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคู่รักแบบชายหญิง รักกันแบบพี่น้อง(แท้ ๆ ) รักกันแบบเพื่อน หรือรักในแบบเพศที่สาม
ดิฉันมีเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม 3 คน ที่ภายหลังมาเป็นคู่รักเพศที่สาม และสามารถมีชีวิตคู่ แต่งงานได้อย่างเปิดเผยและมีความสุข
คนแรก เป็นเพื่อนชาวเวเนซูเอล่า เจ้าของงานฉลองวันครบรอบ 10 ปี ที่เล่ามาเมื่อครู่ แต่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันมายี่สิบปีแล้วนะคะ
สถานภาพสมรส เห็นเพื่อนใช้คำว่า domestic partnership หรือดิฉันขอแปลเป็นไทยว่า เนื้อคู่อยู่ร่วมบ้านค่ะ
คนที่สอง เป็นเพื่อนชาวอิสราเอล กับแฟนหนุ่มหล่อล่ำบึ้ก คู่นี้ก็อยู่กันมาจะครบ 10 ปีแล้ว
ส่วนคนที่สาม เป็นเพื่อนสาวชาวอเมริกัน ที่ใช้ชีวิตแต่งงานมาเกือบยี่สิบปี เพื่อจะมาพบในภายหลังว่า ไม่มีความสุขกับชีวิตคู่กับคุณสามีที่เป็นผู้ชาย เธอสับสนอยู่พักใหญ่ ถึงขนาดไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาสู้หน้าพ่อแม่ญาติพี่น้องได้ (อเมริกาในบางรัฐ ยังอนุรักษ์นิยมเรื่องแบบนี้อยู่มากนะคะ) ต้องออกมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ญี่ปุ่นพักใหญ่ ๆ กว่าจะรวบรวมความกล้า เผชิญความจริง กล้าเปิดตัว และตอนนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
มีข้อคิดและข้อสังเกตอะไรหลายอย่างที่ดิฉันอยากเขียนถึง สำหรับความรักประเภทนี้ ที่อยากจะแชร์กับเพื่อน ๆ พันทิปค่ะ
ไม่ได้มีอะไรอ้างอิงเชิงวิชาการทั้งนั้นนะคะ แต่เป็นความคิดเห็นแนวอัตตวิสัยที่สังเกตมา
ผิดถูกอย่างไร ขอเชิญมาแก้ไขกันได้
1. การเป็นเพศที่สาม ร้อยละ 90 ที่เห็นมา เหมือนเป็น code บางอย่างที่ฝังมาใน DNA คือเป็นก็เป็นเลย ไม่ใช่เรื่องที่จะหายได้ด้วยการกินพารา 3 เม็ด
หรือการทำจิตบำบัดใด ๆ
เท่าที่เคยเห็นมา เป็นก็เป็นเลย ไม่ได้เลือกว่าจะเป็น
2. ความกดดันจากสังคมเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเพศที่สามที่จะเปิดตัว แม้กระทั่งที่เปิดเผยและเสรีอย่างสหรัฐอเมริกา ยังมีอีกหลายพื้นที่ และหลายรัฐที่ผู้คนยังคงหัวเก่าอยู่และยังคงไม่ยอมรับความรักของคนกลุ่มนี้นัก ทำให้หลายคนไม่กล้าแม้กระทั่งจะยอมรับกับตัวเองว่าเป็นเกย์ หรือเลสเบี้ยน
ขอใช้คำว่าเกย์นะคะ เพราะเกย์เป็นคำกลาง ๆ รวม ๆ ที่หมายถึงเพศที่สาม เมื่อไม่กล้ายอมรับแม้กระทั่งกับตนเอง จึงทำให้ในช่วงวัยที่ยังสับสน ไปใช้ชีวิตกับเพื่อนต่างเพศเพื่อจะพบว่า "มันไม่ใช่" และสุดท้ายลงเอยด้วยความเจ็บปวดของทุกฝ่าย
3. คนสมัยก่อนมักมี perception หรือมักทึกทักเอาว่า เกย์มักจะมีความสามารถพิเศษด้านศิลปะเป็นส่วนใหญ่ อาชีพมักอยู่กับของ "สุนทรียะ" ทั้งหลายที่สำรวยสวยกราก นุ่มนิ่มอ่อนหวาน หรือเป็นของวิจิตรที่บำรุงอายตนะ เช่น แฟชั่น ความงาม ทำผม ทำกับข้าว ดีไซน์
และส่วนใหญ่ไม่ค่อยเก่งด้านวิชาการ มีความอ่อนไหว และไม่มั่นคงทางอารมณ์ ปรี๊ดแตกบ่อย ๆ
ซึ่งอันนี้ ดิฉันพบว่าผิดถนัด เพื่อนที่กล่าวถึงข้างบน คู่แรก ฝ่ายชายจบปริญญาโทสาขาเคมีจากเยล
คู่ที่สอง ฝ่ายชายเป็นทหารยศนายพัน
ส่วนคู่ที่สาม ฝ่ายหญิงเป็นทนายความทำงานเพื่อผู้ด้อยสิทธิทางสังคม
เท่าที่ดิฉันรู้จักและได้สัมผัสมา เป็นคนเก่ง คนดี ใจเย็น มีเหตุผล ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดี สูงทั้ง IQ และ EQ
4. ปัญหาทางอารมณ์ที่เพศที่สามส่วนใหญ่มี บางครั้ง ไม่ใช่เกิดเพราะเป็นมาแต่กำเนิด หลายครั้ง เกิดจากการสับสนในตัวเอง กลัวสังคมไม่ยอมรับ และที่รุนแรงที่สุด คือ การถูกรังแกในวัยเยาว์เนื่องมาจากความเป็นเพศที่ 3
5. และจากข้อ 4 ทำให้เพศที่สามหลายคน มีความเปราะบางและหวั่นไหวในเรื่องความรัก บางคนหลายใจ ชิงลงมือละทิ้งเปลี่ยนคู่ก่อน เพราะกลัวจะโดนทิ้งอีกทั้งยังมีความเชื่อว่า "คงไม่มีใครรักจริง" หรือ "คนอย่างเรา คงหาความรักดี ๆ ไม่ได้หรอก"
ก็เลยทำตัวตามคติโจโฉ
คือ "ยอมทรยศต่อคนทั้งโลก แต่จะไม่ยอมให้โลกทรยศ"
ความหนักแน่นและความเชื่อมั่นศรัทธาในตนเองและในความรักดี ๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ เพื่อสามารถทำให้มีรักที่มั่นคงดีงามได้
6. ฉะนั้น การที่สังคมเปิดใจยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความรักของคนประเภทนี้ จะมีส่วนช่วยค้ำจุนให้ความสัมพันธ์ดี ๆ เกิดขึ้นได้
ปัญหาวุ่นวายในความสัมพันธ์ คือ การไม่ซื่อสัตย์และการนอกใจ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเพศอะไรรักกับเพศอะไร
ปัจจุบัน กระทั่ง อาชีพอย่างนักการทูต ก็มีเอกอัครราชทูตซึ่งถือเป็นตำแหน่งทรงเกียรติมาก กล้าแสดงออกว่าตัวเองเป็นเพศที่สาม และควงคู่ของตนเองออกงานอย่างให้เกียรติและเปิดเผย ท่านทูตอังกฤษประจำประเทศไทยท่านหนึ่งก็ใช่ ให้สัมภาษณ์ลง Hello อย่างละเอียดตรงไปตรงมา
7. ผู้คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า เลสเบี้ยนมักจะมีทอม (ที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย ทำตัวเป็นผู้ชาย) และดี้ (ที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงและทำตัวเป็นผู้หญิง) ในความเป็นจริง คู่รักหญิงหญิงจำนวนมาก แต่งตัวสวยงามเป็นหญิงทั้งคู่ และขออภัยที่ต้องเล่าแบบนี้ ต้องบอกว่า เลสเบี้ยนหลายคนหน้าอกทรวดทรงองค์เอวสะบะละฮึ่ม อกเป็นอก เอวเป็นเอว ก้นเป็นก้น เพียงแต่พวกเธอชอบกันเองเท่านั้น
ส่วนเกย์ผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องชอบช้อปปิ้ง ทาลิปสติค ทาครีมปากแดง ตุ้งติ้ง ทิ้งหางตาไปทั้งหมด
หลายคนทำตัวปกติเหมือนผู้ชายทั่วไป สุภาพเรียบร้อย แต่งตัวแบบผู้ชาย ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเป็นเพื่อนสาวใคร แต่เค้าแค่ชอบผู้ชายเท่านั้น
หลายปีก่อน ดิฉันเคยมีเหตุให้ต้องทำโปรเจคต์ร่วมกับ ดร.คนดังท่านหนึ่ง
เพื่อนดิฉันกรี๊ดกร๊าดมาก เพราะท่านเองก็เป็นคนโพรไฟล์ดี๊ดี หน้าตาดี ไม่ประกาศตัว และตามหน้านิตยสารมักประทับตราท่านว่าเป็น "หนุ่มโสดน่าสน" หรือ "หนุ่มโสดเนื้อหอม"
คุณเพื่อนก็มากะลิ้มกะเหลี่ยบอกว่า "แนะนำหน่อยสิ"
เพื่อนสายไหน สายไหน ที่รู้จัก พอรู้ว่า ดิฉันรู้จักและคุ้นเคยขนาดเคยเอาชิ้นงานไปส่งให้ที่บ้าน ก็กรี๊ดกร๊าดทั้งนั้น
555 แต่ดิฉันเองนี่ล่ะค่ะ ที่เวลาเห็นสายตาของ ดร. ที่มองมาเหมือน พี่ชายมองน้องสาว ดิฉันก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่อย่างที่สาว ๆ จะอยากกรี๊ดแบบแฟนหรอก
ดร.ท่านนี้ ท่านเอง ก็ประพฤติตัวเป็นสุภาพบุรุษที่น่ารัก เปิดประตูรถให้ อะไรทำนองนี้ค่ะ
ภายหลังเอง เพื่อนดิฉันถึงคอตก มากระซิบทีหลังว่า คอนเฟิร์มว่า ดร.ท่านนั้น ไม่ชอบผู้หญิงหรอก "เพราะแฟน (ผู้ชาย) เค้าอยู่หมู่บ้านเดียวกับชั้น"
เล่ามาเสียยืดยาว ก็เพื่อมาแชร์และยืนยันว่า ความรักดี ๆ ที่มีความซื่อสัตย์ มั่นคง ให้เกียรติ กล้าเปิดเผย และรักเดียวใจเดียวต่อกัน มีได้ในทุกเพศทุกวัย
ขอเป็นกำลังใจให้ได้พบกับความรักที่ดีงามกันนะคะ