

************************************************************************************************************
ให้สังเกตดูอารมณ์จิตของตัวเองว่าตัดละสังโยชน์ในข้อใดได้ "อย่างเด็ดขาด" บ้าง ถึงขั้นไหนแล้ว
พระอริยะเจ้าจะมีอารมณ์เด็ดขาดในทุกระดับ สิ่งใดที่ตัดละได้แล้ว จะไม่มีอาการกำเริบของจิตอีก
ถ้ายังมีอารมณ์ กลับไป-กลับมา นั่นแสดงว่ายังไม่ได้ในข้อนั้น
************************************************************************************************************
ความจริงแล้ว พระอริยะเจ้าทุกระดับ ตัดละที่ตัวเดียวกัน "สักกายทิฏฐิ" (สังโยชน์ข้อที่1)
(ตัดละตัวนี้เพียงตัวเดียวลงได้
"อย่างเด็ดขาด" ก็เป็นพระอรหันต์ได้)
เพราะว่า สิ่งที่หวงแหนที่สุดของคนเรานั้นก็คือ ร่างกายของตนเอง
การมีกิเลส ต้องการทรัพย์สิน,ต้องการกามราคะ ก็เพื่อที่จะสนองให้กับร่างกายของตนเอง
ทรัพย์สินและสิ่งเร้าทั้งหลายจะไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่มีร่างกายที่จะเสพ
เพราะฉนั้น กำลังใจในการตัดละร่างกายตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่หวงแหนมากที่สุด ลงได้อย่างเด็ดขาดนั้น
จึงเป็นกำลังใจที่สูงที่สุด จึงเป็นการตัดละกิเลสข้อที่เหลือทั้งหมดลงไปด้วย
พระอริยะเจ้าทุกระดับตัดละที่ตัวเดียวกัน "สักกายทิฏฐิ" เหมือนกัน แต่อารมณ์ในการเข้าถึงต่างกัน จึงมีอารมณ์หนัก-เบา ในการตัดละตัวนี้ไม่เท่ากัน
(ยิ่งเป็นพระอริยะเจ้าในระดับสูงขึ้นไปมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีอารมณ์หนักแน่นในการตัดละสักกายทิฏฐิมากขึ้นเท่านั้น)
อารมณ์ความหนักแน่นในการตัดละ สักกายทิฏฐิ ของพระอริยะเจ้า จะมี3ระดับ (หรือ 3ขั้น)
1.พระโสดาบันและพระสกิทาคามี ยังมองเห็นโทษของการมีร่างกายน้อย อารมณ์ในการตัดละสักกายทิฏฐิ(ร่างกาย) จึงตัดละได้แค่เบาๆเบื้องต้น
สักกายทิฏฐิ ของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี จึงรู้สึกแค่ว่า......
"รู้ว่าเราจะต้องตาย" หรือ "ไม่ลืมความตาย" หรือ
"มีความตายเป็นอารมณ์" เท่านั้น (ทั้งสามตัวนี้แปลได้ใจความเดียวกัน)
2.สักกายทิฏฐิ ของพระอนาคามี จะรู้สึกว่า
"ร่างกายสกปรก มีความเบื่อหน่ายในร่างกาย"
(อารมณ์ในการตัดละสักกายทิฏฐิหนักแน่นขึ้นมาอีกขั้นนึง เพราะเห็นว่าร่างกายสกปรกอย่างชัดเจน จึงตัดกาม ตัดโกรธ ได้)
3.สักกายทิฏฐิ ของพระอรหันต์ จะรู้สึกว่า
"ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา"
(อารมณ์ตัดละร่างกายได้หมดจด อารมณ์สูงสุดของการตัดละสักกายทิฏฐิ)
((((( หมายเหตุ ))))) เรื่องตัดละ สักกายทิฏฐิ นั้น มีคนตีความหมายผิด และเข้าใจผิดทางกันเยอะมาก
โดยเข้าใจว่า พระโสดาบัน ตัดละสักกายทิฏฐิได้หมดจดแล้ว แต่ความจริงแล้ว
ในทางปฏิบัติ พระโสดาบันตัดละสังโยชน์ในข้อนี้ได้เพียงแค่เบาๆเท่านั้น
(ตัดได้เหมือนกัน แต่ตัดได้แค่เบาๆ)
ถ้า สักกายทิฏฐิ ตัดกร๊วบได้ทีเดียวขาดเลย อันนี้แสดงว่าคนผู้นั้นบรรลุความเป็นอรหัตผลแล้ว
สักกายทิฏฐิ ตัวนี้ จะตัดละได้อย่างเด็ดขาดหมดจด ก็ต่อเมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วเท่านั้น
สำหรับพระอริยะเจ้าขั้นต้นเช่น พระโสดาบัน นั้นยังมีอารมณ์ตัดละสักกายทิฏฐิ(ร่างกาย) ได้เพียงแค่เบาๆขั้นต้นเท่านั้น
สักกายทิฏฐิ ของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี จึงมีความรู้สึกแค่ว่า.....
"รู้ว่าเราจะต้องตาย" หรือ "ไม่ลืมความตาย" หรือ "มีความตายเป็นอารมณ์" เท่านั้น (ทั้งสามตัวนี้แปลได้ใจความเดียวกัน)

พระโสดาบัน ยังตัดละสักกายทิฏฐิได้ไม่หมดจด และยังตัดละกามฉันทะไม่ได้ พระโสดาบันจึงยังแต่งงานมีครอบครัวได้ และยังมีลูกได้อยู่
และการที่พระโสดาบัน ยังเป็นผู้ที่ยังต้องเกิดอยู่(ไม่เกิน7ชาติ) ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า พระโสดาบัน นั้น ยังตัดละสักกายทิฏฐิไม่ได้หมดจดในคราวเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(((( ข้อสังเกต)))))
- ถ้าคุณไปหยิบหนังสือ "คู่มือพระโสดาบัน" ขึ้นมา คุณจะเห็นว่าความหมายของ สักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อแรกในหนังสือเล่มนั้น จะเขียนไว้ว่า.....
"รู้ว่าเราจะต้องตาย" หรือ "ไม่ลืมความตาย" หรือ "มีความตายเป็นอารมณ์" เท่านั้น (ทำไมไม่เขียนว่าตัดละสักกายทิฏฐิได้หมดจดแล้ว?)
ก็เพราะว่า เมื่อมีการเขียนแยกส่วนบรรยายเฉพาะอารมณ์ของพระโสดาบันไว้แต่เพียงส่วนเดียว ไม่เกี่ยวกับพระอริยะเจ้าระดับอื่น จึงต้องเขียนไว้แค่นี้
ก็เพราะว่าพระโสดาบัน ยังมีอารมณ์ในการตัดละสักกายทิฏฐิ(ร่างกาย) ได้เพียงแค่ "มีความตายเป็นอารมณ์" เท่านั้น
(จะไปตัดละได้หมดจดก็ต่อเมื่อบรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วเท่านั้น)
- แต่เมื่อคุณไปหยิบหนังสือ "คู่มือพระอรหันต์" ขึ้นมา คุณก็จะเห็นว่าความหมายของ สักกายทิฏฐิ ในหนังสือเล่มนั้น จะเขียนไว้ว่า.....
"ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา" (เพราะว่าเป็นอารมณ์สูงสุดของการตัดละสักกายทิฏฐิ)
เพราะเป็นการบรรยายอารมณ์ตัดละร่างกายได้อย่างหมดจดของพระอรหันต์ จึงต้องเขียนแบบอารมณ์สูงสุดไว้
(เพราะฉนั้นขอให้เข้าใจตามนี้ ว่าทำไมข้อๆนี้ข้อเดียวในหนังสือหลายๆเล่มกลับเขียนเอาไว้ไม่เหมือนกัน)
(นั่นก็เพราะว่าพระอริยะเจ้าในแต่ละระดับ จะมีอารมณ์ในการตัดละสักกายทิฏฐิในข้อนี้ไม่เท่ากัน)
(มีคนเข้าใจผิดในเรื่องนี้กันมากมาย และสอนส่งต่อกันมานาน) (ขอให้จดจำกรณีของ นางวิสาขา เอาไว้)
บทความเรื่อง "ตัดละ(สักกายทิฏฐิ) เพียงตัวเดียวลงได้อย่างเด็ดขาด ก็บรรลุธรรมได้"
ให้สังเกตดูอารมณ์จิตของตัวเองว่าตัดละสังโยชน์ในข้อใดได้ "อย่างเด็ดขาด" บ้าง ถึงขั้นไหนแล้ว
พระอริยะเจ้าจะมีอารมณ์เด็ดขาดในทุกระดับ สิ่งใดที่ตัดละได้แล้ว จะไม่มีอาการกำเริบของจิตอีก
ถ้ายังมีอารมณ์ กลับไป-กลับมา นั่นแสดงว่ายังไม่ได้ในข้อนั้น
************************************************************************************************************
ความจริงแล้ว พระอริยะเจ้าทุกระดับ ตัดละที่ตัวเดียวกัน "สักกายทิฏฐิ" (สังโยชน์ข้อที่1)
(ตัดละตัวนี้เพียงตัวเดียวลงได้ "อย่างเด็ดขาด" ก็เป็นพระอรหันต์ได้)
เพราะว่า สิ่งที่หวงแหนที่สุดของคนเรานั้นก็คือ ร่างกายของตนเอง
การมีกิเลส ต้องการทรัพย์สิน,ต้องการกามราคะ ก็เพื่อที่จะสนองให้กับร่างกายของตนเอง
ทรัพย์สินและสิ่งเร้าทั้งหลายจะไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่มีร่างกายที่จะเสพ
เพราะฉนั้น กำลังใจในการตัดละร่างกายตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่หวงแหนมากที่สุด ลงได้อย่างเด็ดขาดนั้น
จึงเป็นกำลังใจที่สูงที่สุด จึงเป็นการตัดละกิเลสข้อที่เหลือทั้งหมดลงไปด้วย
พระอริยะเจ้าทุกระดับตัดละที่ตัวเดียวกัน "สักกายทิฏฐิ" เหมือนกัน แต่อารมณ์ในการเข้าถึงต่างกัน จึงมีอารมณ์หนัก-เบา ในการตัดละตัวนี้ไม่เท่ากัน
(ยิ่งเป็นพระอริยะเจ้าในระดับสูงขึ้นไปมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีอารมณ์หนักแน่นในการตัดละสักกายทิฏฐิมากขึ้นเท่านั้น)
อารมณ์ความหนักแน่นในการตัดละ สักกายทิฏฐิ ของพระอริยะเจ้า จะมี3ระดับ (หรือ 3ขั้น)
1.พระโสดาบันและพระสกิทาคามี ยังมองเห็นโทษของการมีร่างกายน้อย อารมณ์ในการตัดละสักกายทิฏฐิ(ร่างกาย) จึงตัดละได้แค่เบาๆเบื้องต้น
สักกายทิฏฐิ ของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี จึงรู้สึกแค่ว่า......
"รู้ว่าเราจะต้องตาย" หรือ "ไม่ลืมความตาย" หรือ "มีความตายเป็นอารมณ์" เท่านั้น (ทั้งสามตัวนี้แปลได้ใจความเดียวกัน)
2.สักกายทิฏฐิ ของพระอนาคามี จะรู้สึกว่า "ร่างกายสกปรก มีความเบื่อหน่ายในร่างกาย"
(อารมณ์ในการตัดละสักกายทิฏฐิหนักแน่นขึ้นมาอีกขั้นนึง เพราะเห็นว่าร่างกายสกปรกอย่างชัดเจน จึงตัดกาม ตัดโกรธ ได้)
3.สักกายทิฏฐิ ของพระอรหันต์ จะรู้สึกว่า "ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา"
(อารมณ์ตัดละร่างกายได้หมดจด อารมณ์สูงสุดของการตัดละสักกายทิฏฐิ)
((((( หมายเหตุ ))))) เรื่องตัดละ สักกายทิฏฐิ นั้น มีคนตีความหมายผิด และเข้าใจผิดทางกันเยอะมาก
โดยเข้าใจว่า พระโสดาบัน ตัดละสักกายทิฏฐิได้หมดจดแล้ว แต่ความจริงแล้ว ในทางปฏิบัติ พระโสดาบันตัดละสังโยชน์ในข้อนี้ได้เพียงแค่เบาๆเท่านั้น
(ตัดได้เหมือนกัน แต่ตัดได้แค่เบาๆ)
ถ้า สักกายทิฏฐิ ตัดกร๊วบได้ทีเดียวขาดเลย อันนี้แสดงว่าคนผู้นั้นบรรลุความเป็นอรหัตผลแล้ว
สักกายทิฏฐิ ตัวนี้ จะตัดละได้อย่างเด็ดขาดหมดจด ก็ต่อเมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วเท่านั้น
สำหรับพระอริยะเจ้าขั้นต้นเช่น พระโสดาบัน นั้นยังมีอารมณ์ตัดละสักกายทิฏฐิ(ร่างกาย) ได้เพียงแค่เบาๆขั้นต้นเท่านั้น
สักกายทิฏฐิ ของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี จึงมีความรู้สึกแค่ว่า.....
"รู้ว่าเราจะต้องตาย" หรือ "ไม่ลืมความตาย" หรือ "มีความตายเป็นอารมณ์" เท่านั้น (ทั้งสามตัวนี้แปลได้ใจความเดียวกัน)
พระโสดาบัน ยังตัดละสักกายทิฏฐิได้ไม่หมดจด และยังตัดละกามฉันทะไม่ได้ พระโสดาบันจึงยังแต่งงานมีครอบครัวได้ และยังมีลูกได้อยู่
และการที่พระโสดาบัน ยังเป็นผู้ที่ยังต้องเกิดอยู่(ไม่เกิน7ชาติ) ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า พระโสดาบัน นั้น ยังตัดละสักกายทิฏฐิไม่ได้หมดจดในคราวเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้