เรื่องที่เป็นที่พูดถึงกันใน Social Media วานนี้เป็นกรณีศึกษาหนึ่งที่บ่งชี้จรรยาบรรณของสื่อไทยได้เป็นอย่างดี นั่นคือประเด็นการเก็บภาษีเงินฝาก สื่อแต่ละสำนักพาดหัวกันไปว่า
"สรรพากรจ่อเก็บภาษีเงินฝากต่ำกว่า 2 หมื่นก็โดน"
"สรรพากรเล็งเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก ต่ำกว่า 2 หมื่นบาทก็ไม่รอด"
มีหนักไปกว่านั้น "นักออมงานเข้า! สรรพากร เตรียมเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก 15% ได้เท่าไรโดนหมด"
แต่เนื้อหารายะเอียดคือ
ดอกเบี้ยเงินฝากรวมกันไม่เกิน 2 หมื่นบาท ถ้ายินยอมให้ธนาคารส่งข้อมูลดอกเบี้ยให้สรรพากร จะได้รับการยกเว้นภาษี
คนที่จะเสียภาษีคือดอกเบี้ยรวมกันเกิน 2 หมื่นบาทต่อปี หรือคิดเป็นเงินฝาก 4 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ย 0.5%
สื่อไทยในทุกวันนี้เน้นขายดราม่า ขายยอดอ่าน ยอดไลค์ และขายวิญญาณ สร้างดราม่าได้ 1 เรื่อง ขยี้ข่าวออกได้เป็นอีกสิบๆข่าว ไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นสร้างผลกระทบต่อวงกว้างขนาดไหน หลายๆครั้งใช้ข้ออ้างที่ว่า "เนื้อหาข้างในก็มีรายละเอียดให้" แต่ท่านได้สร้างประเด็นบิดเบื้อนไว้ตั้งแต่การพาดหัวข่าว และที่เห็นบ่อยหลังๆ คือ การใส่อารมณ์ความเห็นของ Admin page กำกับไว้บนโพสข่าวแต่ละโพส ให้คนอ่านเกิดอารมณ์
สิ่งต่อไปคือคนเสพสื่อในปัจจุบัน ไม่รู้ข่าวในจริง ข่าวในเท็จ รู้ลึก รู้บางมากแค่ไหน แต่ขอเกาะกระแสไปก่อน ด่าไปก่อน เช่น เมื่อวานประเด็นนี้คนด่ากันเต็ม ก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ บ่นกันว่าเศรษฐกิจแย่ แต่คนด่าประเด็นภาษีเงินฝากกันเยอะมาก แสดงว่าพวกท่านฝากเงินกินดอกเบี้ยกัน 4 ล้านบาทเลยหรือ นี่คงไม่เรียกว่าเศรษฐกิจไม่ดีแล้วกระมัง คนมีเงินฝากเกิน 4 ล้านบาทกันเต็ม Social Media
สื่อเรียกร้องความเป็นอิสรภาพ แต่ตัวท่านทุกวันนี้น่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่ถูกควบคุมมากที่สุด เพราะสิ่งที่พวกท่านสื่อออกมามันส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้าง เรื่องที่พวกท่านบิดเบือนออกมา วิ่งวนอยู่ใน Social Media ไม่รู้จบ ถูก re-run ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรับผิดชอบของคำว่าสื่อนั้นคงหายไปจากสังคมไทยแล้ว...
กรณีศึกษา: จรรยาบรรณของสื่อ กับกรณีภาษีเงินฝาก
"สรรพากรจ่อเก็บภาษีเงินฝากต่ำกว่า 2 หมื่นก็โดน"
"สรรพากรเล็งเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก ต่ำกว่า 2 หมื่นบาทก็ไม่รอด"
มีหนักไปกว่านั้น "นักออมงานเข้า! สรรพากร เตรียมเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก 15% ได้เท่าไรโดนหมด"
แต่เนื้อหารายะเอียดคือ
ดอกเบี้ยเงินฝากรวมกันไม่เกิน 2 หมื่นบาท ถ้ายินยอมให้ธนาคารส่งข้อมูลดอกเบี้ยให้สรรพากร จะได้รับการยกเว้นภาษี
คนที่จะเสียภาษีคือดอกเบี้ยรวมกันเกิน 2 หมื่นบาทต่อปี หรือคิดเป็นเงินฝาก 4 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ย 0.5%
สื่อไทยในทุกวันนี้เน้นขายดราม่า ขายยอดอ่าน ยอดไลค์ และขายวิญญาณ สร้างดราม่าได้ 1 เรื่อง ขยี้ข่าวออกได้เป็นอีกสิบๆข่าว ไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นสร้างผลกระทบต่อวงกว้างขนาดไหน หลายๆครั้งใช้ข้ออ้างที่ว่า "เนื้อหาข้างในก็มีรายละเอียดให้" แต่ท่านได้สร้างประเด็นบิดเบื้อนไว้ตั้งแต่การพาดหัวข่าว และที่เห็นบ่อยหลังๆ คือ การใส่อารมณ์ความเห็นของ Admin page กำกับไว้บนโพสข่าวแต่ละโพส ให้คนอ่านเกิดอารมณ์
สิ่งต่อไปคือคนเสพสื่อในปัจจุบัน ไม่รู้ข่าวในจริง ข่าวในเท็จ รู้ลึก รู้บางมากแค่ไหน แต่ขอเกาะกระแสไปก่อน ด่าไปก่อน เช่น เมื่อวานประเด็นนี้คนด่ากันเต็ม ก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ บ่นกันว่าเศรษฐกิจแย่ แต่คนด่าประเด็นภาษีเงินฝากกันเยอะมาก แสดงว่าพวกท่านฝากเงินกินดอกเบี้ยกัน 4 ล้านบาทเลยหรือ นี่คงไม่เรียกว่าเศรษฐกิจไม่ดีแล้วกระมัง คนมีเงินฝากเกิน 4 ล้านบาทกันเต็ม Social Media
สื่อเรียกร้องความเป็นอิสรภาพ แต่ตัวท่านทุกวันนี้น่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่ถูกควบคุมมากที่สุด เพราะสิ่งที่พวกท่านสื่อออกมามันส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้าง เรื่องที่พวกท่านบิดเบือนออกมา วิ่งวนอยู่ใน Social Media ไม่รู้จบ ถูก re-run ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรับผิดชอบของคำว่าสื่อนั้นคงหายไปจากสังคมไทยแล้ว...