เรียกได้ว่าเป็นทริปตามฝันเลยก็ว่าได้ เพราะผมคิดไว้มานานว่าอยากไปพิชิต Khardungla Pass สักครั้ง
ส่วนรายละเอียดทริป ผมเห็นคนโพสไว้หลากหลายกระทู้แล้ว เอาเป็นว่าใครมีอะไรสงสัยถามได้นะครับ
รูปถ่ายไม่ค่อยสวย จบหลังกล้อง แต่งภาพไม่เป็น ขออภัยด้วย ของจริงสวยกว่านี้เยอะครับ ต้องไปลองดู
ทริปนี้ผมไปกันแค่ 2 คนนะครับ ไม่ได้ไปกับทัวร์ ไม่ได้มีไกด์ ไม่มีเพื่อนไปด้วย
ก่อนไปทริป สิ่งที่ต้องเตรียมตัวนะครับ
1.กินยาที่ป้องกันแพ้ความสูง Diamox ตามเวลาที่เภสัชกำหนดนะครับ
2.ทำ VISA อินเดีย สามารถทำ Online ได้นะครับ
3.ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงสักหน่อยนะครับก่อนไป ข้างบนที่สูงๆเหนื่อยง่ายจริงครับ
4.Skill การขี่รถ ต้องมีพอสมควรเลยนะครับ ถนนค่อนข้างแย่นะครับ เกือบตลอดเส้นทางขึ้นเขา ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยุ่ง
5.อากาศหนาวมากบนยอดเขา เตรียมชุดกันหนาวระดับติดลบไว้ด้วยนะครับ (ผมไปช่วงเมษา)
6.ถุงมือผมใส่ขี่มอเตอร์ไซค์ข้อยาว + ถุงมือผ้าข้างในอีกชั้นเอาไม่อยู่นะครับ ถุงเท้าสองชั้น รองเท้าหุ้มข้อเกือบไม่ไหวเช่นกัน
*ใครสนใจไปแนะนำให้ไปช่วงเดือน มิถุนายนถึงสิงหาคม นะครับ อากาศจะไม่หนาวแบบนี้ ผมมีเวลาว่างแค่ช่วงเมษายน จึงทุลักทุเลนิดนึง
รูปที่ 1 : รูปถ่ายจากหน้าต่างบนเครื่องบิน โดยผมใช้บริการสายการบิน Jet Airway ไปต่อเครื่องที่เดลีใช้ Go Air
(คนอินเดียจะเป็นคน Active นิดนึงนะครับระหว่างนั่งเครื่องนี่เค้าจะเดินตลอดเหมือนอยู่บนรถทัวร์เลยทีเดียว)

รูปที่ 2 : แผนที่แคว้น Ladakh โดยแผนที่นี้จะติดบริเวณสนามบินของเมือง Leh ลงเครื่องบินมาอากาศหนาวประมาณ 17-18 องศา เลยล่ะครับ

รูปที่ 3 : นั่งรถ Taxi โดยให้ทางสนามบินเรียกให้จากสนามบินไปยังที่พักชื่อ Achina guest house
(ผมติดต่อไว้ตั้งแต่ก่อนมาทริปแล้วนะครับ ไม่ได้ walk-in ตกคืนละประมาณ 600 บาท)

รูปที่ 4 : สองพี่น้องลูกชายเจ้าของ Achina guest house ครับ แกเป็นคนใจดี ที่พักดีห้องน้ำสะอาด(นั่งยองนะครับ) มีน้ำอุ่นให้อาบและกิน Wifi และไฟ ติดๆดับๆบ้างเป็นปกติ ที่พักห่างจาก Main Bazaar ประมาณ 1 กิโล แต่ด้วยสภาพอากาศและความชันเดินไปค่อนข้างเหนื่อยทีเดียวครับ

วันแรกเจ้าของ Guest house แนะนำให้นอนพักและทำอะไรช้าๆ ตกเย็นผมจึงไปเดินที่ Main Bazaar เพื่อชมบรรยากาศ+ทำ permit เพื่อจะเดินทางไปยัง Pangong Lake ครับ (600 บาทโดยประมาณครับ)
รูปที่ 5 - 10 : บรรยากาศโดยรอบของเมือง Leh ครับ บริเวณ Main Bazaar คนเยอะเลยทีเดียวครับ ของขายก็เยอะ (ระวังโดนหลอกซื้อของนิดนึงนะครับ)





รูป 11 - 13 : ร้านอาหาร Gesmo ที่ผมไปฝากท้องแทบทุกวัน รสชาติอินเตอร์พอกินได้แต่ปิดไม่มืดและตัวอย่างอาหารครับ ที่นี่ไม่เสิร์ฟน้ำแข็งนะครับ
(อาหารบางอย่างแอบแพงนะครับ สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยแบบผม)



วันแรกจบทริปไปด้วยอากาศที่หนาวใช้ได้เลยในตอนกลางคืน (เจ้าของ Guest house ใจดีเอาเครื่องทำความร้อนมาให้ในห้องครับ)
วันที่สอง ผมเช่ารถเพื่อที่จะขี่รอบๆเมือง Leh โดยเช่า Royal Enfield รุ่น Classic ตกวันละ 800 บาท ถนนรอบๆเมือง Leh ดีถึงดีมากครับ
รูปที่ 14 - 24 : รูปวิว ถนน สถานที่ รอบๆเมือง Leh ในวันนี้ครับ Shey Monastery --> Hemis Monastery รูทนี้เป็นเหมือน ถนนไป-กลับเป็นตัว U ครับ
ไปทางนึงกลับอีกทางนึง








วันที่ 2 เป็นการวอร์มการขี่มอเตอร์ไซค์ที่อินเดียครับ คนที่อินเดียขับรถชิดซ้ายเหมือนประเทศไทยนะครับ แต่เค้าจะบีบแตรเยอะมากและขับเร็ว คิดจะจอดก็จอด คิดจะออกก็ออก ต้องระวังนะครับ กลับมานอนพักผ่อนและหาเช่ารถสำหรับวันพรุ่งนี้คือ Royal Enfield Himalayan ครับ
วันที่ 3 ตื่นแต่เช้าครับ เพราะต้องเดินทางไกลประมาณ 150 กิโลฯไปยัง Pangong Lake ครับ ผมได้ติดต่อร้านเช่า Royal Enfield Himalayan เอาไว้ อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหาร Gesmo เท่าไรนัก ราคาอยู่ที่ 1000 บาทต่อวัน ผมเช่าทั้งหมด 3 วัน หากใครสนใจติดต่อที่นี่นะครับ miracle tours and travels ชื่อเจ้าของ Tsering Tamchos แกเป็นคนใจดีครับ ออกแนวชอบขี่รถเที่ยวเหมือนกัน ผมไปถึงแต่เช้า เค้ากำลังเปิดร้านพอดี เห็นเค้าทำพิธีเลยขอถ่ายรูปมาครับ
รูปที่ 25 - 26 : เจ้าของร้านกำลังทำพิธีและเช็ครถ เตรียมให้ผมใช้ขี่ครับ

รูปที่ 27 - 31 : เส้นทางไปยัง Pangong Lake เจ้าของร้านบอกไม่สามารถไปกลับในวันเดียวได้ แค่ 150 กิโลฯ ไปกลับก็แค่ 300 กิโลฯ ปกติผมขี่รถที่ประเทศไทย 300 กิโลฯนี่สบายมาก ระหว่างทางขี่ไป ผมซึ้งเลยครับ ทางเลวร้ายมาก ทำความเร็วไม่ได้ จะจอดถ่ายรูปยังยากเลยครับ ถนนมีทุกรูปแบบทราย หินลอย หินละเอียด ยิ่งขึ้นเขาไปสูงเท่าไหร่ อากาศยิ่งหนาวมากขึ้นเท่านั้น จำเป็นต้องจอดเพื่อพักมือ เอามือไปจับเครื่องยนต์ให้เครื่องยนต์ช่วยให้อุ่นขึ้น ผ่านค่ายทหารห้ามใช้กล้องนะครับ (ทางไป Pangong Lake ต้องผ่าน Changla Pass อยู่แล้ว)

เริ่มต้นก็เริ่มใช้ได้แล้วครับ แต่ทางก็สวยเช่นกัน

หนาวมากแล้วครับ หิมะเริ่มมาแล้ว

วิ่งบนนภูเขาหิมะแล้วครับ (สังเกตุถนนนะครับ)

Changla Pass ละครับ สูง 5,360 เมตร จะระดับน้ำทะเล

กว่าจะถึงทะเลสาบ Pangong Lake เกือบเย็นแล้วครับ สภาพอากาศตอนนี้น่าจะมีเกือบศูนย์ได้ ทะเลสาบยังเป็นหิมะอยู่ที่เห็นตรงหน้า
นอนพักเอาแรงที่นี่ก่อนละครับ
วันที่ 4 ขี่รถกลับเมือง Leh ใช้เวลาน้อยกว่าขาไปนิดเดียวครับ เพราะถนนกลับเส้นเดียวกัน ขากลับ (โดนทหารเรียกตรวจใบ Permit ด้วยนะครับ ดีนะผมทำไว้แล้ว)
รูปที่ 31 - 36 : รูปขาขี่กลับไปจาก Pangong Lake ไปยังเมือง Leh

Pangong Lake ตอนนี้ยังมีสภาพเป็นน้ำแข็ง เห็นเด็กวิ่งลงไปเล่นได้เลยนะครับ แต่ผมไม่กล้า



ไปไลน์ไหนดีครับ

ช่วงถนนดีครับ พอถ่ายรูปได้

กลับถึง Leh เย็นเหมือนเดิม หาอะไรใส่ท้องร้าน Gesmo นอนพักเอาแรงครับ อีกวันนึงคิดว่าจะไปที่ Khardungla Pass ครับ
วันที่ 5 ผมตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะขึ้น Khardungla Pass ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Leh ไปแค่ 40 กว่ากิโลฯ สามารถไป-กลับวันเดียวได้พอดีๆ มาดูรูปภาพที่ผมเอามาฝากกัน
รูปที่ 37 - 40 : เส้นทาง Leh --> Khardungla Pass --> Leh (ไม่ได้ไปที่ Nubra Valley นะครับ เนื่องจากว่าหิมะเยอะเกิน เค้าปิดถนนไม่ให้ผ่าน)

ระหว่างทางขึ้นเขา มองเห็นตัวเมือง Leh เลยครับ (หากมาช่วง มิถุนา-สิงหา น่าจะเขียวกว่านี้เยอะ)

ระหว่างขึ้นไปหนาวขึ้นเรื่อยๆ พักเอามืออังเครื่องยนต์กันก่อนครับ สภาพถนนโดยรวมดูดีเลยครับจนกระทั่งประมาณ 10 กิโลฯสุดท้าย ซึ่งแย่มาก แย่กว่า Changla Pass ทั้งชันและมีหิมะ หิมะที่ละลายไปผสมกับทรายกลายเป็น ดินหนังหมู ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูเนื่องจากว่าแฟนจับกันตกหนักมาก

กลับไปที่เมือง Leh ผมนอนพักอีกหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นนำรถไปคืน เดินซื้อของฝากและให้เจ้าของ guest house เรียกรถ Taxi ไปสนามบินให้
*สรุปทริปนี้ เป็นที่ประทับใจหลายอย่าง ชาวเมืองเลห์ใจดีมาก ห้องน้ำปั้มห้ามเข้า เตรียมตัวให้พร้อมถ้าจะมาเดือนเมษายน อยากไปซ้ำอีกครับ
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณนะครับ
ค่าเครื่องบินไป-กลับ คนละประมาณ 12,000 = 24,000
ค่าที่พัก 600 บาท 6 คืน 3,600 (อันนี้ผมพักประหยัดนะครับ)
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ 800 classic + 3000 himalayan = 3,800
ค่าอาหาร (ผมทานทุกมื้อไม่มีอด) + ค่าของฝาก + ค่า taxi,permit ไม่เกิน 8,000 ครับ เบ็ดเสร็จ 40,000 นะครับสำหรับสองคน
ตกคนละ 20,000 บาท สำหรับคนงบน้อยแบบผม ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ครับ ขาดตกบกพร่องตรงไหนขออภัยด้วยครับ
Fly and ride BKK-->Leh,Ladakh พิชิต Khardungla Pass และ Changla Pass ตามแบบฉบับคนงบน้อย!!
ส่วนรายละเอียดทริป ผมเห็นคนโพสไว้หลากหลายกระทู้แล้ว เอาเป็นว่าใครมีอะไรสงสัยถามได้นะครับ
รูปถ่ายไม่ค่อยสวย จบหลังกล้อง แต่งภาพไม่เป็น ขออภัยด้วย ของจริงสวยกว่านี้เยอะครับ ต้องไปลองดู
ทริปนี้ผมไปกันแค่ 2 คนนะครับ ไม่ได้ไปกับทัวร์ ไม่ได้มีไกด์ ไม่มีเพื่อนไปด้วย
ก่อนไปทริป สิ่งที่ต้องเตรียมตัวนะครับ
1.กินยาที่ป้องกันแพ้ความสูง Diamox ตามเวลาที่เภสัชกำหนดนะครับ
2.ทำ VISA อินเดีย สามารถทำ Online ได้นะครับ
3.ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงสักหน่อยนะครับก่อนไป ข้างบนที่สูงๆเหนื่อยง่ายจริงครับ
4.Skill การขี่รถ ต้องมีพอสมควรเลยนะครับ ถนนค่อนข้างแย่นะครับ เกือบตลอดเส้นทางขึ้นเขา ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยุ่ง
5.อากาศหนาวมากบนยอดเขา เตรียมชุดกันหนาวระดับติดลบไว้ด้วยนะครับ (ผมไปช่วงเมษา)
6.ถุงมือผมใส่ขี่มอเตอร์ไซค์ข้อยาว + ถุงมือผ้าข้างในอีกชั้นเอาไม่อยู่นะครับ ถุงเท้าสองชั้น รองเท้าหุ้มข้อเกือบไม่ไหวเช่นกัน
*ใครสนใจไปแนะนำให้ไปช่วงเดือน มิถุนายนถึงสิงหาคม นะครับ อากาศจะไม่หนาวแบบนี้ ผมมีเวลาว่างแค่ช่วงเมษายน จึงทุลักทุเลนิดนึง
รูปที่ 1 : รูปถ่ายจากหน้าต่างบนเครื่องบิน โดยผมใช้บริการสายการบิน Jet Airway ไปต่อเครื่องที่เดลีใช้ Go Air
(คนอินเดียจะเป็นคน Active นิดนึงนะครับระหว่างนั่งเครื่องนี่เค้าจะเดินตลอดเหมือนอยู่บนรถทัวร์เลยทีเดียว)
(ผมติดต่อไว้ตั้งแต่ก่อนมาทริปแล้วนะครับ ไม่ได้ walk-in ตกคืนละประมาณ 600 บาท)
รูปที่ 5 - 10 : บรรยากาศโดยรอบของเมือง Leh ครับ บริเวณ Main Bazaar คนเยอะเลยทีเดียวครับ ของขายก็เยอะ (ระวังโดนหลอกซื้อของนิดนึงนะครับ)
(อาหารบางอย่างแอบแพงนะครับ สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยแบบผม)
วันที่สอง ผมเช่ารถเพื่อที่จะขี่รอบๆเมือง Leh โดยเช่า Royal Enfield รุ่น Classic ตกวันละ 800 บาท ถนนรอบๆเมือง Leh ดีถึงดีมากครับ
รูปที่ 14 - 24 : รูปวิว ถนน สถานที่ รอบๆเมือง Leh ในวันนี้ครับ Shey Monastery --> Hemis Monastery รูทนี้เป็นเหมือน ถนนไป-กลับเป็นตัว U ครับ
ไปทางนึงกลับอีกทางนึง
วันที่ 3 ตื่นแต่เช้าครับ เพราะต้องเดินทางไกลประมาณ 150 กิโลฯไปยัง Pangong Lake ครับ ผมได้ติดต่อร้านเช่า Royal Enfield Himalayan เอาไว้ อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหาร Gesmo เท่าไรนัก ราคาอยู่ที่ 1000 บาทต่อวัน ผมเช่าทั้งหมด 3 วัน หากใครสนใจติดต่อที่นี่นะครับ miracle tours and travels ชื่อเจ้าของ Tsering Tamchos แกเป็นคนใจดีครับ ออกแนวชอบขี่รถเที่ยวเหมือนกัน ผมไปถึงแต่เช้า เค้ากำลังเปิดร้านพอดี เห็นเค้าทำพิธีเลยขอถ่ายรูปมาครับ
รูปที่ 25 - 26 : เจ้าของร้านกำลังทำพิธีและเช็ครถ เตรียมให้ผมใช้ขี่ครับ
นอนพักเอาแรงที่นี่ก่อนละครับ
วันที่ 4 ขี่รถกลับเมือง Leh ใช้เวลาน้อยกว่าขาไปนิดเดียวครับ เพราะถนนกลับเส้นเดียวกัน ขากลับ (โดนทหารเรียกตรวจใบ Permit ด้วยนะครับ ดีนะผมทำไว้แล้ว)
รูปที่ 31 - 36 : รูปขาขี่กลับไปจาก Pangong Lake ไปยังเมือง Leh
วันที่ 5 ผมตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะขึ้น Khardungla Pass ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Leh ไปแค่ 40 กว่ากิโลฯ สามารถไป-กลับวันเดียวได้พอดีๆ มาดูรูปภาพที่ผมเอามาฝากกัน
รูปที่ 37 - 40 : เส้นทาง Leh --> Khardungla Pass --> Leh (ไม่ได้ไปที่ Nubra Valley นะครับ เนื่องจากว่าหิมะเยอะเกิน เค้าปิดถนนไม่ให้ผ่าน)
*สรุปทริปนี้ เป็นที่ประทับใจหลายอย่าง ชาวเมืองเลห์ใจดีมาก ห้องน้ำปั้มห้ามเข้า เตรียมตัวให้พร้อมถ้าจะมาเดือนเมษายน อยากไปซ้ำอีกครับ
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณนะครับ
ค่าเครื่องบินไป-กลับ คนละประมาณ 12,000 = 24,000
ค่าที่พัก 600 บาท 6 คืน 3,600 (อันนี้ผมพักประหยัดนะครับ)
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ 800 classic + 3000 himalayan = 3,800
ค่าอาหาร (ผมทานทุกมื้อไม่มีอด) + ค่าของฝาก + ค่า taxi,permit ไม่เกิน 8,000 ครับ เบ็ดเสร็จ 40,000 นะครับสำหรับสองคน
ตกคนละ 20,000 บาท สำหรับคนงบน้อยแบบผม ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ครับ ขาดตกบกพร่องตรงไหนขออภัยด้วยครับ