ย้อนกลับไปเกือบสามปีก่อน ผมและเพื่อน ๆ อีกสี่คน ได้เดินทางไปจังหวัดยะลา เพื่อทำภาพยนตร์สารคดี จึงอยากแบ่งปันประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้และบอกเล่าเรื่องราวในแง่มุมที่หลายคนอาจไม่เคยได้สัมผัสจากคนในพื้นที่จริงให้ชาวพันทิปได้อ่านกันครับ
เย็นวันที่15 ตุลา 2559 ผมและเพื่อน ๆ อีกสี่คน กำลังขับรถออกจากอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเพื่อเดินทางไปจังหวัดยะลาซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่พวกเรากำลังจะไปลงพื้นที่เก็บข้อมูลมาทำภาพยนตร์สารคดี
นี่เป็นครั้งแรกของผมในการไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีความรู้จักในฐานะพื้นที่อันตรายที่มีผู้เสียชีวิตจากการวางระเบิดหรือลอบยิง จากกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า ‘โจรใต้’ ซึ่งปรากฏให้เห็นในภาพข่าวมานับสิบปี
พวกเราขับรถไปตามเส้นทาง ผ่านอำเภอจะนะและอำเภอเทพาของจังหวัดสงขลา ซึ่งนับเป็นพื้นที่อันตรายร่วมกับสามจังหวัด สองข้างทางเป็นทุ่งโล่งสลับกับต้นไม้เรียงราย ขณะนี้พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าลงไป เป็นเวลาที่เราใกล้ถึงที่หมายเข้าไปเช่นกัน
เมื่อท้องฟ้ามืดลง ภาพสองข้างทางที่เคยเห็นกลายเป็นแค่ภาพมืด ๆ ทัศนวิสัยมองเห็นได้ไม่ไกลเกินกว่าที่ไฟหน้ารถส่องไปถึง ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตรจากหาดใหญ่ถึงยะลาใช้เวลาราวชั่วโมงเศษ ไม่นานพวกเราก็เข้าสู่เขตจังหวัดยะลา กลุ่มเจ้าหน้าที่จากด่านตรวจทักทายพวกเราด้วยไฟฉายกระบอกหนึ่งที่ส่องเข้ามา พร้อมกับสอดส่ายสายตาไปมาอยู่ภายในรถ
“มาจากไหน มาทำอะไรครับ” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งถามขึ้น
“มาจากหาดใหญ่ครับ มาเก็บข้อมูลทำงาน” ผมตอบกลับไป
หลังจากการสนทนาไม่กี่คำ เจ้าหน้าที่ก็เดินตรวจค้นไปรอบ ๆ รถทั้งคัน ก่อนจะปล่อยให้เราผ่านไป
เวลานี้ยะลาเริ่มเข้าสู่ความเงียบ ร้านรวงต่าง ๆ กำลังทยอยปิด บนถนนเริ่มไม่มีรถให้เห็น นอกจากรถของเจ้าหน้าที่ที่คอยตรวจดูความสงบเรียบร้อยอย่างเข้มงวด กลายเป็นภาพชินตาไปแล้วสำหรับไนน์ในฐานะเจ้าบ้านที่เกิดและเติบโตที่นี่ และหนึ่งในสมาชิกของเราผู้ริเริ่มไอเดียมาสู่การทำสารคดีเรื่องนี้ ไม่นานก็มาถึงบ้านของไนน์ซึ่งจะเป็นที่พักให้กับพวกเราในคืนนี้ด้วย
วันรุ่งขึ้น เราตื่นมาตักบาตรที่หน้าบ้านในตอนเช้า ก่อนจะก็เข้ามานั่งฟังข่าวเช้าจากโทรทัศน์ บ้านของไนน์เป็นร้านน้ำชาเก่าแก่ที่เปิดมากว่า 30 ปี ตั้งอยู่ตรงสี่แยกถนนคุรุที่มีผู้คนสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน ทำให้มีลูกค้าเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
ไอร้อนจากหม้อที่ต้มน้ำจนเดือดลอยกรุ่นขึ้นย้อนแสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ลุงหลวงพ่อของไนน์กำลังยืนชงชาอยู่หลังหม้อน้ำเดือนนั้น โดยมีป้าเนตรแม่ของไนน์เป็นผู้ช่วย ยืนอยู่ข้าง ๆ รอรับไปเสิร์ฟให้ลูกค้า แตออร้อน ๆ สองแก้วถูกนำออกไปเสิร์ฟให้กับชายวันกลางคนทั้งสองที่นั่งอยู่หน้าร้าน
‘แตออ’ หรือชาร้อนใส่น้ำตาล เครื่องดื่มยอดนิยมของชาวสามจังหวัด ที่ทำให้ญาติสนิทมิตรสหายหรือแม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จักได้มาพบปะกัน ด้วยประโยคยอดฮิตว่า “ไปกินแตออกัน”
หลังจากน้ำชากับข้าวเหนียวปิ้งมื้อเช้า เราได้ไปดูการทำกรงนกที่บ้านของช่างหนุ่ย ช่างหนุ่ยเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เกิดที่ปัตตานี แต่ย้ายมาอยู่กับก๋งที่ยะลาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นช่างทำกรงนกและคนเลี้ยงนก ในบ้านของช่างหนุ่ยจึงเต็มไปด้วยนกหลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือ ‘นกเขาชวาเสียง’
ช่างหนุ่ยพาเราขับรถเลียบแม่น้ำปัตตานีเพื่อไปนั่งกินน้ำชาในตลาดพรุบาโกย และไม่นานฝนก็ตกลงมา
“การเลี้ยงนกเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุก ๆ วันอาทิตย์จะมีการแข่งนกที่สนาม เป็นการสร้างความสามัคคีของชาวบ้าน โดยไม่แบ่งชนชั้น เชื้อชาติ ศาสนา แต่วันนี้ฝนตก ทำให้ไม่มีการแข่ง” ช่างหนุ่ยบอกถึงวิถีชีวิตที่มีมากกว่ารายได้ให้เราฟัง
นอกจากจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ก็มีวัฒนธรรมการเลี้ยงนกเหมือนกัน เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีการแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนที่สวนขวัญเมือง จังหวัดยะลา เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในคราวเดียวกัน
เมื่อฝนหยุดลง เรามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านตาเซะ หมู่บ้านในเขตพื้นที่สีแดง นิยามของความอันตราย มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่แห่งนี้
ถนนทางเข้าหมู่บ้านตัดผ่านสวนยางพาราอันกว้างใหญ่ ต้นยางสูงชะลูดบดบังแสงแดดที่ส่องลงมา บรรยากาศช่างวังเวงและเงียบสงัด
เมื่อเข้ามาถึงหมู่บ้าน ภาพที่เห็นก็เปลี่ยนไป ทุ่งนาผืนกว้างที่รถไฟตัดผ่าน มีฉากหลังเป็นสวนยางพารา เหมือนเราได้เข้ามาอีกโลกหนึ่ง คนในหมู่บ้านตาเซะส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม ระหว่างทางเข้าหมู่บ้านมีทหารเดินตรวจตราอยู่ เราขับรถผ่านบ้านเรียงรายหลายหลัง หญิงมุสลิมคนหนึ่งส่งยิ้มให้เรา แต่แววตาของเธอช่างดูเศร้านัก ชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีภาษามลายูท้องถิ่นหรือที่เรียกว่า ‘ภาษายาวี’ ที่ใช้พูดกันโดยเฉพาะ ไนน์ได้สอนให้เรารู้จักคำง่าย ๆ สองคำ เพื่อให้คนในพื้นที่รู้สึกคุ้นชิน คือคำว่า ‘แบ’ แปลว่าพี่ชาย ส่วนคำว่าพี่สาว จะใช้คำว่า ‘ก๊ะ’
ในหมู่บ้านตะเซะ มีร้านน้ำชาอยู่กลางหมู่บ้าน ที่ชาวบ้านจะใช้เป็นที่พบปะกัน ภายในร้านมีชาวบ้านกำลังดื่มน้ำชาและพูดคุยกัน
เรามีโอกาสได้พูดคุยกับแบกี ชายวัยกลางคน สวมเสื้อเชิ้ต นุ่งโสร่ง ตามวัฒธรรมของชาวมุสลิม ผู้มีรอยบาดแผลบนร่างกายและท่าเดินกะเผลกที่ทำให้เราสังเกตได้ชัด แบกีเล่าให้เราฟังถึงที่มาของรอยแผลนี้ว่า “คืนหนึ่งที่กำลังขับรถกลับบ้าน มีเสียงปืนดังขึ้นสองสามนัด แล้วรถก็เสียหลักลงข้างทาง พอเรารู้ตัวว่าถูกยิง ก็ทิ้งรถและวิ่งเข้าป่าเพื่อเอาชีวิตรอด”
เมื่อหนีรอดจากมือปืนนิรนามมาได้ก็ใช่ว่าจะพ้นขีดอันตรายแล้ว เขาต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นปี ๆ กว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง แบกีบอกถึงความรู้สึกในคืนนั้นว่า
“ยังมีลูก มีเมียที่บ้านรออยู่ เราจะตายไม่ได้”
ถัดเข้าไปในหมู่บ้าน เราได้รู้จักกับก๊ะซ้ง ซึ่งเมื่อไม่กี่นาทีมานี้เอง เราเพิ่งขับรถผ่านหน้าบ้านของเธอ เธอคือผู้หญิงคนที่ส่งยิ้มให้เรา คนที่มีแววตาเศร้าลึกนั่นเอง ก๊ะซ้งสวมฮิญาบสีดำปกคลุมเส้นผม กำลังนั่งเล่นกับลูก ๆ อยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน แต่จากภาพครอบครัวอบอุ่นที่เห็น ยังมีความจริงบางอย่างซ่อนอยู่ข้างหลัง ที่ทำให้เราอดสะเทือนใจไม่ได้
ในปี 2552 ขณะที่เธอนั่งอยู่ในบ้าน มีคนมาบอกว่าลูกชายของเธอถูกยิง แต่เธอไม่เชื่อ!! เพราะก่อนหน้านั้นแค่ไม่กี่ชั่วโมง ลูกชายเพิ่งบอกกับเธอว่า “มะ ทำข้าวผัดให้หน่อย เดี๋ยวกลับมากิน” หลังจากก๊ะซ้งตัดสินใจออกไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้เธอเข่าอ่อนทรุดลงทันทีด้วยอาการตกใจสุดขีด ร่างไร้วิญญาณของลูกชายนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง จมกองเลือดที่ไหลออกมาเป็นทาง
ก๊ะซ้งพูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า
“ก๊ะก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ขอให้เขากลับตัวเป็นคนดี” ถ้าตอนนี้ลูกชายของก๊ะซ้งยังมีชีวิตอยู่ ก็คงมีอายุเท่า ๆ กับพวกเรา
ทั้งแบกีและก๊ะซ้งต่างก็บอกว่า ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดกับตัวเอง และแม้ว่าเรื่องร้าย ๆ จะเกิดขึ้นในหมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ แต่ก็ไม่เคยคิดจะหนีไปไหน เพราะที่นี่คือ ‘บ้าน’ ความรักและกำลังใจจากครอบครัวคือสิ่งที่เป็นพลังให้พวกเขาใช้ชีวิตต่อไป และยังคงภาวนาอย่างมีความหวังว่าสักวันมันคงจะดีขึ้น
พวกเราออกจากหมู่บ้านตาเซะด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มันมีทั้งความสลด หดหู่ แต่ก็ยังมีรอยยิ้มในความสุขที่ชาวบ้านตาเซะยังคงมีอยู่
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าเข้าสู่ราตรีอีกครั้ง เรากลับเข้าในเมือง เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศของยะลาในยามค่ำคืน
ไม่ไกลจากบ้านของไนน์ มีร้านน้ำชากลางคืนที่เรียกกันว่า ร้านโรตีห้าแยก ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นวัยรุ่น เราก็ไม่พลาดที่จะลองไปสัมผัสกับวิถีชีวิตกลางคืน เราเลือกสั่งอาหารพื้นเมืองที่เป็นเมนูยอดนิยมเพื่อลองลิ้มรส ทั้งโรตี ข้าวยำปักษ์ใต้ ข้าวหมกไก่ รวมไปถึงชาชักที่ขึ้นชื่อ
“มาจากไหนกันครับ” วัยรุ่นชายสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ถามขึ้น ด้วยการแต่งกายของพวกเราที่ดูออกได้ง่ายว่าไม่ใช่คนที่นี่
ฮากิมและอานัสคือคนที่เข้ามาทักทายพวกเราในฐานะเจ้าบ้าน ทั้งคู่เล่าให้เราฟังว่า พวกเขาเลี้ยงม้าอยู่ริมแม่น้ำปัตตานีในชุมชนจารู เวลามีงานงานเทศกาลหรือวันสำคัญ พวกเขาจะขี่รถม้าออกมาในงานเพื่อสร้างกิจกรรมเล็ก ๆ ที่ทำให้คนได้ออกจากบ้านมาร่วมกิจกรรมกัน และยังชักชวนให้พวกเราลองไปขี่ม้ากันในวันพรุ่งนี้
ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น และการมีชีวิตอยู่บนความเสี่ยงที่ไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร พวกเขายังคงมีความหวังและศรัทธาว่า ‘บ้าน’ ของพวกเขา จะกลับมาสงบและสวยงามอย่างที่เคยเป็น
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็หนีความตายไม่พ้น เพราะพระองค์ทรงลิขิตไว้แล้ว” คำพูดเพียงเท่านี้จากฮากิม สามารถอธิบายชีวิตที่สัมพันธ์กับศาสนาไว้อย่างลึกซึ้งและเรียบง่าย
ยะลา สลามัต ดาตัง Diary Documentary
นี่เป็นครั้งแรกของผมในการไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีความรู้จักในฐานะพื้นที่อันตรายที่มีผู้เสียชีวิตจากการวางระเบิดหรือลอบยิง จากกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า ‘โจรใต้’ ซึ่งปรากฏให้เห็นในภาพข่าวมานับสิบปี
พวกเราขับรถไปตามเส้นทาง ผ่านอำเภอจะนะและอำเภอเทพาของจังหวัดสงขลา ซึ่งนับเป็นพื้นที่อันตรายร่วมกับสามจังหวัด สองข้างทางเป็นทุ่งโล่งสลับกับต้นไม้เรียงราย ขณะนี้พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าลงไป เป็นเวลาที่เราใกล้ถึงที่หมายเข้าไปเช่นกัน
เมื่อท้องฟ้ามืดลง ภาพสองข้างทางที่เคยเห็นกลายเป็นแค่ภาพมืด ๆ ทัศนวิสัยมองเห็นได้ไม่ไกลเกินกว่าที่ไฟหน้ารถส่องไปถึง ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตรจากหาดใหญ่ถึงยะลาใช้เวลาราวชั่วโมงเศษ ไม่นานพวกเราก็เข้าสู่เขตจังหวัดยะลา กลุ่มเจ้าหน้าที่จากด่านตรวจทักทายพวกเราด้วยไฟฉายกระบอกหนึ่งที่ส่องเข้ามา พร้อมกับสอดส่ายสายตาไปมาอยู่ภายในรถ
“มาจากไหน มาทำอะไรครับ” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งถามขึ้น
“มาจากหาดใหญ่ครับ มาเก็บข้อมูลทำงาน” ผมตอบกลับไป
หลังจากการสนทนาไม่กี่คำ เจ้าหน้าที่ก็เดินตรวจค้นไปรอบ ๆ รถทั้งคัน ก่อนจะปล่อยให้เราผ่านไป
เวลานี้ยะลาเริ่มเข้าสู่ความเงียบ ร้านรวงต่าง ๆ กำลังทยอยปิด บนถนนเริ่มไม่มีรถให้เห็น นอกจากรถของเจ้าหน้าที่ที่คอยตรวจดูความสงบเรียบร้อยอย่างเข้มงวด กลายเป็นภาพชินตาไปแล้วสำหรับไนน์ในฐานะเจ้าบ้านที่เกิดและเติบโตที่นี่ และหนึ่งในสมาชิกของเราผู้ริเริ่มไอเดียมาสู่การทำสารคดีเรื่องนี้ ไม่นานก็มาถึงบ้านของไนน์ซึ่งจะเป็นที่พักให้กับพวกเราในคืนนี้ด้วย
วันรุ่งขึ้น เราตื่นมาตักบาตรที่หน้าบ้านในตอนเช้า ก่อนจะก็เข้ามานั่งฟังข่าวเช้าจากโทรทัศน์ บ้านของไนน์เป็นร้านน้ำชาเก่าแก่ที่เปิดมากว่า 30 ปี ตั้งอยู่ตรงสี่แยกถนนคุรุที่มีผู้คนสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน ทำให้มีลูกค้าเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
ไอร้อนจากหม้อที่ต้มน้ำจนเดือดลอยกรุ่นขึ้นย้อนแสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ลุงหลวงพ่อของไนน์กำลังยืนชงชาอยู่หลังหม้อน้ำเดือนนั้น โดยมีป้าเนตรแม่ของไนน์เป็นผู้ช่วย ยืนอยู่ข้าง ๆ รอรับไปเสิร์ฟให้ลูกค้า แตออร้อน ๆ สองแก้วถูกนำออกไปเสิร์ฟให้กับชายวันกลางคนทั้งสองที่นั่งอยู่หน้าร้าน
‘แตออ’ หรือชาร้อนใส่น้ำตาล เครื่องดื่มยอดนิยมของชาวสามจังหวัด ที่ทำให้ญาติสนิทมิตรสหายหรือแม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จักได้มาพบปะกัน ด้วยประโยคยอดฮิตว่า “ไปกินแตออกัน”
หลังจากน้ำชากับข้าวเหนียวปิ้งมื้อเช้า เราได้ไปดูการทำกรงนกที่บ้านของช่างหนุ่ย ช่างหนุ่ยเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เกิดที่ปัตตานี แต่ย้ายมาอยู่กับก๋งที่ยะลาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นช่างทำกรงนกและคนเลี้ยงนก ในบ้านของช่างหนุ่ยจึงเต็มไปด้วยนกหลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือ ‘นกเขาชวาเสียง’
ช่างหนุ่ยพาเราขับรถเลียบแม่น้ำปัตตานีเพื่อไปนั่งกินน้ำชาในตลาดพรุบาโกย และไม่นานฝนก็ตกลงมา
“การเลี้ยงนกเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุก ๆ วันอาทิตย์จะมีการแข่งนกที่สนาม เป็นการสร้างความสามัคคีของชาวบ้าน โดยไม่แบ่งชนชั้น เชื้อชาติ ศาสนา แต่วันนี้ฝนตก ทำให้ไม่มีการแข่ง” ช่างหนุ่ยบอกถึงวิถีชีวิตที่มีมากกว่ารายได้ให้เราฟัง
นอกจากจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ก็มีวัฒนธรรมการเลี้ยงนกเหมือนกัน เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีการแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนที่สวนขวัญเมือง จังหวัดยะลา เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในคราวเดียวกัน
เมื่อฝนหยุดลง เรามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านตาเซะ หมู่บ้านในเขตพื้นที่สีแดง นิยามของความอันตราย มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่แห่งนี้
ถนนทางเข้าหมู่บ้านตัดผ่านสวนยางพาราอันกว้างใหญ่ ต้นยางสูงชะลูดบดบังแสงแดดที่ส่องลงมา บรรยากาศช่างวังเวงและเงียบสงัด
เมื่อเข้ามาถึงหมู่บ้าน ภาพที่เห็นก็เปลี่ยนไป ทุ่งนาผืนกว้างที่รถไฟตัดผ่าน มีฉากหลังเป็นสวนยางพารา เหมือนเราได้เข้ามาอีกโลกหนึ่ง คนในหมู่บ้านตาเซะส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม ระหว่างทางเข้าหมู่บ้านมีทหารเดินตรวจตราอยู่ เราขับรถผ่านบ้านเรียงรายหลายหลัง หญิงมุสลิมคนหนึ่งส่งยิ้มให้เรา แต่แววตาของเธอช่างดูเศร้านัก ชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีภาษามลายูท้องถิ่นหรือที่เรียกว่า ‘ภาษายาวี’ ที่ใช้พูดกันโดยเฉพาะ ไนน์ได้สอนให้เรารู้จักคำง่าย ๆ สองคำ เพื่อให้คนในพื้นที่รู้สึกคุ้นชิน คือคำว่า ‘แบ’ แปลว่าพี่ชาย ส่วนคำว่าพี่สาว จะใช้คำว่า ‘ก๊ะ’
ในหมู่บ้านตะเซะ มีร้านน้ำชาอยู่กลางหมู่บ้าน ที่ชาวบ้านจะใช้เป็นที่พบปะกัน ภายในร้านมีชาวบ้านกำลังดื่มน้ำชาและพูดคุยกัน
เรามีโอกาสได้พูดคุยกับแบกี ชายวัยกลางคน สวมเสื้อเชิ้ต นุ่งโสร่ง ตามวัฒธรรมของชาวมุสลิม ผู้มีรอยบาดแผลบนร่างกายและท่าเดินกะเผลกที่ทำให้เราสังเกตได้ชัด แบกีเล่าให้เราฟังถึงที่มาของรอยแผลนี้ว่า “คืนหนึ่งที่กำลังขับรถกลับบ้าน มีเสียงปืนดังขึ้นสองสามนัด แล้วรถก็เสียหลักลงข้างทาง พอเรารู้ตัวว่าถูกยิง ก็ทิ้งรถและวิ่งเข้าป่าเพื่อเอาชีวิตรอด”
เมื่อหนีรอดจากมือปืนนิรนามมาได้ก็ใช่ว่าจะพ้นขีดอันตรายแล้ว เขาต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นปี ๆ กว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง แบกีบอกถึงความรู้สึกในคืนนั้นว่า “ยังมีลูก มีเมียที่บ้านรออยู่ เราจะตายไม่ได้”
ถัดเข้าไปในหมู่บ้าน เราได้รู้จักกับก๊ะซ้ง ซึ่งเมื่อไม่กี่นาทีมานี้เอง เราเพิ่งขับรถผ่านหน้าบ้านของเธอ เธอคือผู้หญิงคนที่ส่งยิ้มให้เรา คนที่มีแววตาเศร้าลึกนั่นเอง ก๊ะซ้งสวมฮิญาบสีดำปกคลุมเส้นผม กำลังนั่งเล่นกับลูก ๆ อยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน แต่จากภาพครอบครัวอบอุ่นที่เห็น ยังมีความจริงบางอย่างซ่อนอยู่ข้างหลัง ที่ทำให้เราอดสะเทือนใจไม่ได้
ในปี 2552 ขณะที่เธอนั่งอยู่ในบ้าน มีคนมาบอกว่าลูกชายของเธอถูกยิง แต่เธอไม่เชื่อ!! เพราะก่อนหน้านั้นแค่ไม่กี่ชั่วโมง ลูกชายเพิ่งบอกกับเธอว่า “มะ ทำข้าวผัดให้หน่อย เดี๋ยวกลับมากิน” หลังจากก๊ะซ้งตัดสินใจออกไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้เธอเข่าอ่อนทรุดลงทันทีด้วยอาการตกใจสุดขีด ร่างไร้วิญญาณของลูกชายนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง จมกองเลือดที่ไหลออกมาเป็นทาง
ก๊ะซ้งพูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ก๊ะก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ขอให้เขากลับตัวเป็นคนดี” ถ้าตอนนี้ลูกชายของก๊ะซ้งยังมีชีวิตอยู่ ก็คงมีอายุเท่า ๆ กับพวกเรา
ทั้งแบกีและก๊ะซ้งต่างก็บอกว่า ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดกับตัวเอง และแม้ว่าเรื่องร้าย ๆ จะเกิดขึ้นในหมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ แต่ก็ไม่เคยคิดจะหนีไปไหน เพราะที่นี่คือ ‘บ้าน’ ความรักและกำลังใจจากครอบครัวคือสิ่งที่เป็นพลังให้พวกเขาใช้ชีวิตต่อไป และยังคงภาวนาอย่างมีความหวังว่าสักวันมันคงจะดีขึ้น
พวกเราออกจากหมู่บ้านตาเซะด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มันมีทั้งความสลด หดหู่ แต่ก็ยังมีรอยยิ้มในความสุขที่ชาวบ้านตาเซะยังคงมีอยู่
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าเข้าสู่ราตรีอีกครั้ง เรากลับเข้าในเมือง เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศของยะลาในยามค่ำคืน
ไม่ไกลจากบ้านของไนน์ มีร้านน้ำชากลางคืนที่เรียกกันว่า ร้านโรตีห้าแยก ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นวัยรุ่น เราก็ไม่พลาดที่จะลองไปสัมผัสกับวิถีชีวิตกลางคืน เราเลือกสั่งอาหารพื้นเมืองที่เป็นเมนูยอดนิยมเพื่อลองลิ้มรส ทั้งโรตี ข้าวยำปักษ์ใต้ ข้าวหมกไก่ รวมไปถึงชาชักที่ขึ้นชื่อ
“มาจากไหนกันครับ” วัยรุ่นชายสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ถามขึ้น ด้วยการแต่งกายของพวกเราที่ดูออกได้ง่ายว่าไม่ใช่คนที่นี่
ฮากิมและอานัสคือคนที่เข้ามาทักทายพวกเราในฐานะเจ้าบ้าน ทั้งคู่เล่าให้เราฟังว่า พวกเขาเลี้ยงม้าอยู่ริมแม่น้ำปัตตานีในชุมชนจารู เวลามีงานงานเทศกาลหรือวันสำคัญ พวกเขาจะขี่รถม้าออกมาในงานเพื่อสร้างกิจกรรมเล็ก ๆ ที่ทำให้คนได้ออกจากบ้านมาร่วมกิจกรรมกัน และยังชักชวนให้พวกเราลองไปขี่ม้ากันในวันพรุ่งนี้
ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น และการมีชีวิตอยู่บนความเสี่ยงที่ไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร พวกเขายังคงมีความหวังและศรัทธาว่า ‘บ้าน’ ของพวกเขา จะกลับมาสงบและสวยงามอย่างที่เคยเป็น
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็หนีความตายไม่พ้น เพราะพระองค์ทรงลิขิตไว้แล้ว” คำพูดเพียงเท่านี้จากฮากิม สามารถอธิบายชีวิตที่สัมพันธ์กับศาสนาไว้อย่างลึกซึ้งและเรียบง่าย