[กระทู้โปรดอ่าน] "วิกฤตการณ์ภาพยนตร์ไทย 4 เหตุผลที่คนไม่อยากเสพย์"

*บทความต่อไปนี้ ฉันไม่ได้เขียนขึ้นด้วยตัวเองทั้งหมด เพราะได้มีการคัดสรรบทความเกี่ยวกับปัญหาของวงการภาพยนตร์ไทยจากแหล่งต่าง ๆ จนได้เรื่องที่ฉันเห็นควรว่ามีความน่าสนใจ มีคุณค่า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งผู้เขียนต้นฉบับนั้นได้กลั่นความรู้สึกจากสิ่งที่ประสบพบเห็นอย่างละเอียด ถ้อยคำที่ใช้ในบทความนี้อาจจะดูเป็นกันเองไปบ้าง และถึงแม้ว่าบทความนี้เริ่มเผยแพร่เมื่อปี 2558 แต่ในปีนี้...ท่านผู้อ่านจะมีความรู้สึกคล้ายคลึงหรือแตกต่างจากเดิมอย่างไร พอหลังจากที่ท่านอ่านบทความนี้เสร็จแล้ว โปรดแสดงความคิดเห็นหรือสามารถชี้แนะแนวทางเพื่อให้หลุดพ้นจากวิกฤติที่เป็นอยู่ด้วยกัน.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
"วิกฤตการณ์ภาพยนตร์ไทย
4 เหตุผล คนไม่อยากเสพย์"
     ร้อนเหลือเหงื่อไหลไคลย้อยมาเป็นแถบเลยค่ะเมืองไทย ตอนนี้ร้อนซะจนตอนกลางวันนี้ไม่อยากจะเดินออกไปไหนเลยค่ะ กลัวโดนย่างสดเผากลางตลาด เฮ้ออออ!!!
    อากาศร้อน ๆ แบบนี้ สถานที่พักผ่อนย่อนกลายคลายเหนื่อยของคนกรุงอย่างเจ๊และคุณ ๆ ทั้งหลายก็คงจะหนีไม่พ้นห้างใหญ่ใจกลางกรุงที่มีให้เลือกมากมายหลายแห่ง เพราะมีความบันเทิงหลากหลายครบครันไม่ว่าจะไปกินข้าว นั่งเม้าท์เพื่อนชะนี ไปเดินจู๋จี๋กับแฟนหนุ่มก็ได้ทั้งนั้น แต่กิจกรรมสุดฮอตยอดฮิตอย่างนึงที่มักจะไปทำกันคงจะหนีไม่พ้นการ “ดูหนัง” เป็นแน่
    ก็เดี๋ยวนี้หนังแต่ละเรื่องมันก็น่าสนใจนิคะ แถมมีให้เลือกทั้งไทย ทั้งเทศ หรือแม้กระทั่งเกาหลีฟีเวอร์ตอนนี้ พี่ไทยเราก็เอาเข้ามาให้ได้เลือกสรรกันทั้งนั้น แถมการดูหนังยังทำให้เราได้หลบร้อนไปอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ อีกด้วย (เรื่องไหนน่าเบื่อก็ถือว่าเสียเงินเข้าไปเปลี่ยนที่นอนเนอะ!!)
    แถมยุคนี้ยังมีการสปอยล์หนังใหม่กันอย่างหนักหน่วงตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ ก็ยิ่งทำให้เกิดแรงจูงใจแบบดับเบิ้ลให้แฟนหนังทั้งหลายล้วงกระเป๋าตบเท้าเข้าโรงกันให้พรึ่บพรับ
    แต่ถึงแม้กระแสการชมภาพยนตร์ในบ้านเราจะบูมขึ้นทุกว้านทุกวัน เจ๊ก็ยังแอบสงสัยอยู่ดีว่าทำไม “หนังไทย” ของเรากลับเงินหาย กำไรหด ไม่ฟันกำไรเปรี้ยงปร้างแบบที่หนังฝรั่งมาตีตลาดในบ้านเรา แถมนักวิจารณ์ทั้งหลายก็ยังโหมกระแสถล่มกันแบบใส่ไม่ยั้งอีกตะหาก เห็นแบบนี้เจ๊ก็เพลียใจแทนนะคะ อุตส่าห์ตั้งใจสร้างงานแต่ดันมาโดนด่าได้ซะนี่ แต่หลังจากที่เจ๊ลองจับข้อสังเกตหลายอย่างของหนังไทยในยุคหลัง เจ๊ก็คงต้องยอมรับว่าหนังไทยของเรามีวัฏจักรที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ผู้ชมเบื่อจนไม่อยากเสพย์!!

    ประการแรกเลยคือ “ประเภทของหนังไทย” ค่ะ ถ้าลองเอามาตีแผ่แยกส่วนกันให้เห็นกันแบบแจ่มแจ้งก็จะรู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีวงจำกัดประเภทอยู่ค่อนข้างจะแคบมาก อ่ะ ๆๆ เดี๋ยวจะหาว่าเจ๊เม้าท์ไป อยากให้คุณ ๆ ลองนึกตามนะคะว่าวังวนหนังไทยในยุคหลังเราจมกับอะไรบ้าง 1) หนังตลก 2) หนังโรแมนติก-ดราม่า 3) หนังผี 4) หนังแอ็คชั่น ถึงแม้จะมีหนังอิงประวัติศาสตร์ฟอร์มยักษ์ (ที่เพิ่งจะโดนด่ายับไปสด ๆ ร้อน ๆ) แต่ก็นานทีปีหนจะมีมาให้ชมกันสักเรื่องนึง
    แถมหนังโรแมนติกหรือหนังผีก็ยังแทรกความเป็นตลกบวกเข้าไปอีก จนกลายเป็นว่าหนังตลกเกลื่อนโรงกันไปหมด บางช่วงนะคะมีแต่หนังตลกเต็มโรงเลยค้า ให้เลือกฟีลกันไปเลยว่าอยากจะตลกแบบไหน คือเจ๊ก็เข้าใจนะคะว่าการชมสื่อบันเทิงก็จะต้องคลายเครียด แต่การจะมาตลกคาเฟ่ตุ้งแช่ตลอดเวลามันก็ฝืดเหมือนกันนะคะคูณ...
    ยกตัวอย่างง่าย ๆ กับค่ายหนังยักษ์ใหญ่ค่ายหนึ่งที่ขยันส่งหนังฟีลกู๊ด ขายตลกโปกฮามาให้ได้ชมกันแบบรายเดือนเลยทีเดียว ซึ่งค่ายนี้ก็ค่อนข้างจะถนัดหนังแนวรักโรแมนติก แต่ก็มักจะแอบหยอดความตลกโปกฮาลงไปด้วย ซึ่งถึงแม้รายได้ของค่ายนี้จะถล่มทลายใช่ย่อย ขนาดดราม่าน้ำตาร่วงขนาดไหนก็ยังอุตส่าห์ใส่ความโปกฮามาจนได้ คนดูก็ได้แต่กลอกตาบนเบา ๆ ให้กับมุขตลกที่บางทีมันไม่ตลกเลยด้วยซ้ำ

    ประการที่สองของเหตุที่ทำให้หนังไทยไม่เปรี้ยงซ้ากกะทีก็คงจะหนีไม่พ้น “พล็อตเรื่อง” ที่ดูยังไง้ยังไงก็เดาง่ายเสียเหลือเกิน อย่างบางเรื่องนะคะ เปิดมาแค่ครึ่งชั่วโมงก็เดาออกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วค่ะเรื่องราวมันเป็นยังไง หรือถ้าบางเรื่องคิดจะจบแบบหักมุมแบบว่า “เล่นอย่างนี้เลยหรอวะ” เลยทำให้ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไรนัก
    กระแสในยุคหลังก็เลยจะเน้นขายตัวพระนาง และมุขตลกเกรียน ๆ ฮา ๆ ซะมากกว่าขายพล็อตเรื่องที่ดูน่าสนใจ กลายเป็นว่าเรื่องอื่น ๆ เป็นเรื่องหลัก แต่พล็อตเรื่องที่ดูน่าจะแข็งแรงและน่าดึงดูดกลับเป็นเรื่องรองซะอย่างนั้น อย่าลืมนะคะว่าตอนนี้สังคมไทยเป็นสังคมอุดมปัญญา เดี๋ยวนี้เค้าไม่ดูหนังเอามันส์กันแล้วค่ะ มันต้องมีสาระด้วยนะยูว์
    ถ้าจะให้เจ๊ยกตัวอย่างกันให้เห็น ๆ กันไปเลยก็คงจะหนีไม่พ้นหนังตระกูลฟีลกู๊ดอีกตามเคย เพราะหนังพวกนี้มักจะเอาข้อดีที่ว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัว ทำให้เกิดการวาดฝันปั้นมโนของเหล่าชะนีน้อยทั้งหลายว่าชาตินี้คงจะมีชายหนุ่มหน้าดีมาเป็นสามีกับเค้าเหมือนในหนังบ้าง แต่เมื่อแหวกเอาพล็อตเรื่องมาดูกันแบบจะจะก็จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วหนังประเภทนี้ไม่มีอะไรเลย (ถึงแม้ผู้กำกับทุกคนจะบอกว่าหนังตัวเองไม่เหมือนหนังชาวบ้านก็เถอะ) แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือหนังรักที่ปนซึ้ง พ่วงด้วยการขายบ้า ๆ บอ ๆ ของนักแสดงไปตามเรื่องตามราว เจ๊ล่ะเบื่อเต็มทน!!

    ประการที่สามที่หนังไทยชอบทำร้ายจิตใจคนดูนั่นก็คือ “การขายของเก่า” ที่หนังไทยขอบกันซะเหลือเกิน ก็เพราะว่าผู้สร้างคงจะหวังใจว่าของเก่าที่เคยดังเปรี้ยง มันก็จะต้องเปรี้ยงตลอดกาล ผู้กำกับหลาย ๆ คนเลยชอบจะเอาของเก่ามายำใหม่ จนกลายเป็นชุดภาพยนตร์ซีรีส์ หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วทำไมภาพยนตร์ชุดของเมืองนอกเมืองนาเค้าถึงเปรี้ยงปร้างกันสุด ๆ จะกี่ภาค ๆ ก็กวาดรายได้ไปเป็นกอบเป็นกำ
    เคล็ดลับของเค้าก็คือการมีพัฒนาการในพล็อตเรื่องและตัวละครที่ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่เดิม ๆ แต่มีพัฒนาการมากขึ้นอีกด้วย เหมือนกับได้ดูหนังเรื่องใหม่ แต่กับหนังไทยดูท่าว่าจะไม่ได้สนใจตรงนี้เลยสักนิด แต่สนใจแค่ว่าพล็อตแบบนี้ขายได้ ก็จะขายกันไปตลอดชีพ
    ยกตัวอย่างง่าย ๆ ไม่ต้องดูอะไรที่ไกลตัวอย่างซีรีส์ตลกหนีผีที่ลือลั่น ที่สร้างกี่ภาคกี่ภาคก็โดนคนด่ากระจุย เจ๊ยอมรับนะคะว่าแรก ๆ ซีรีส์นี้มันก็ตลกจริงจังอ่ะแหละ แต่พักหลัง ๆ นี่เนื้อเรื่องมันชักจะมั่วตั้วอีรุงตุงนังไปหมด กลายเป็นเหมือนการเอาอันนู้นมาแปะอันนี้ มีเรื่องราวอยากจะเล่าเยอะแยะมากมายจนไม่รู้ว่าเรื่องมันเริ่มที่ตรงไหน และที่สำคัญอีกอย่างก็คือเน้นขายหุ่นล่ำ ๆ กล้ามแน่น ๆ ของนักแสดงชายที่เกลื่อนไปหมดทั้งเรื่อง
    งานนี้ถึงแม้จะขายดิบขายดีกับพวกเก้งกวาง แต่ถ้าหักลบกันกับการเอาภาพลักษณ์เพศที่สามมาย่ำยี ก็ขอยี้ใส่เหมือนกันนะค้า

    มาที่ประการสุดท้ายที่ทำให้หนังไทยไม่เปรี้ยงก็คือ “การมาถึงของหนังนอกกระแส” สังเกตดูนะคะว่าพักหลังมานี่กระแส “ฮิปสเตอร์” ในเมืองไทยนี่มันผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มองซ้ายก็เจอ มองขวาก็มี (ถึงแม้บางคนจะดูพยายามฮิปจนเกินงามก็ตาม) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสนี้กำลังก่อตัวขึ้นในสังคมไทย และกำลังขยายออกไปเรื่อย ๆ
    และกฎเหล็กข้อหนึ่งของชาวฮิปสเตอร์ตัวจริงก็คือคนเหล่านี้มักจะไม่บริโภคอะไรที่อยู่ในกระแส แต่มักจะรับสื่อที่เป็นนอกกระแสล้วน ๆ ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง ก็ขอให้นอกกระแสเข้าว่าข้าเจ๋งสุด ๆ
    จะเอาให้เห็นภาพก็คงจะต้องมีตัวอย่างกันซักกะหน่อยแล้ว อย่างหนังนอกกระแส (หรือเปล่า??) ที่ฮิตสุด ๆ ในหมู่ฮิปสเตอร์อย่าง “Mary is happy” ที่กวาดรายได้ไปแบบเกินคาด แถมยังมีคนที่ติดตามอยากจะดูอีกหลายกระบุงโกย แต่ด้วยความติสท์ส่วนตัวของผู้สร้าง ก็เลยจำกัดโรงและรอบที่ฉาย แต่ก็ด้วยความติสท์ของหนัง และเนื้อเรื่องที่สดใหม่ก็เลยทำให้เรื่องนี้ยังสามารถกวาดทั้งรายได้ พร้อมทั้งรางวัลกลับไปแบบเต็ม ๆ

    รู้แบบนี้แล้วผู้สร้างทั้งหลายก็อย่ามัวพายเรือในอ่าง วนไปวนมาในอ่างนะค้า พายเรือออกไปดูโลกข้างนอกอ่างกันบ้าง เปิดหูเปิดตารับฟังความเห็นของคนดูกันซะบ้าง สร้างหนังครั้งต่อไปจะได้ชื่นใจเพราะรับไปทั้งเงิน ทั้งกล่อง รายได้ก็ดี แถมมีคนชม ไม่ใช่ตังค์ก็ไม่ได้ โดนด่ากระจายนะยูว์

ผู้เขียน : มานา / ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร ทีวีพูล ปีที่ 25 ฉบับที่ 1301 เดือนพฤษภาคม 2558
สวัสดี.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่