เริ่มแรกรู้จักเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นผลงานของ Ryuichi Sakamoto จากโฆษณาที่พี่เบิร์ดเล่นในยุค 80’s (โฆษณาฟิล์มสีที่ไปถ่ายทำกันที่ญี่ปุ่น)

มาเริ่มรู้จักตัวหนังก็สักเมื่อ 10 ปีก่อนตอนเริ่มฟังเพลงของ David Bowie และทำให้ได้รู้ว่า Sakamoto นอกจากแต่งเพลงแล้ว ยังรับบทนำในเรื่องนี้ด้วย (และก็รู้จัก ผกก. สุดอื้อฉาวอย่าง Nagisa Oshima ในช่วงไล่เลี่ยกันจากหนัง In the Realm of the Senses)
แอบตลกตรงที่หนัง 2 เรื่องที่ Sakamoto รับบทเป็นนายทหารยศสูง ที่เข้าฉายในไทยติด ๆ กันอย่าง The Last Emperor และ Mr. Lawrence นั้น ดันมี timeline ประวัติศาสตร์ใกล้เคียงกันเสียอีก
– Mr. Lawrence ออกฉายก่อนในปี 1983 แต่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นในช่วงหลังปี 1936 เป็นต้นมา (ผู้กองโยโนอิเคยไปประจำการที่แมนจูเรีย)
– ขณะที่ Last Emperor ออกฉายในปี 1987 แต่เหตุการณ์ที่อะมะคะสุเข้าไปพัวพันในการสถาปนาปูยีเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดของแมนจูเรีย จะโฟกัสไปที่ช่วงปี 1934


ผลงานของ Oshima เรื่องนี้ ทีมงานถ่ายทำส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น (รวมถึงตากล้อง Toichiro Narushima ที่ถ่ายภาพออกมาได้งดงามมาก) ตีแผ่ด้านมืดของลัทธิจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น โดยมุ่งเน้นไปที่ปมขัดแย้งระหว่างปรัชญาตะวันออก/ตะวันตก อุดมการณ์แบบอำนาจนิยม/เสรีนิยม ชาตินิยม/ปัจเจกนิยม และการต่อสู้ภายในจิตใจของตัวละครที่มีการปะทะกันระหว่าง “หน้าที่-มนุษยธรรม-ความรัก-จิตวิญญาณ”
ความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก 2 คู่
–
“แจ็ค&โยโนอิ” [โบวี&ซาคาโมโตะ] แฝงไว้ด้วยความเสน่หา ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามทั้งในเชิงหน้าที่ (ศัตรู) และเชิงจารีต (ความรักแบบชาย-ชาย)
–
“ลอว์เรนซ์&ฮาระ” [คอนติ&ทาเคชิ] เป็นมิตรภาพไร้พรมแดนที่เกิดขึ้นในสมรภูมิรบ ภายใต้มาดที่ดูแข็งกร้าว และซาดิสม์ คาแรกเตอร์ ผู้หมู่ฮาระ ค่อย ๆ พัฒนา ละลายพฤติกรรม จนเผยให้เราเห็นแง่มุมที่อ่อนโยนในช่วงท้าย ๆ
งานภาพในฉากที่ โบวี (แจ็ค) ระลึกถึงปมฝังใจที่เกิดจากการเพิกเฉยน้องชายตัวเอง ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจ โดยมีการแทนภาพตัวละครแบบ Surreal ให้เรารู้สึกเหมือนว่า โบวี ย้อนไปสู่ภาพอดีตโดยที่ภาพแทนของตัวเขายังอยู่ในวัยปัจจุบัน ขณะที่ภาพแทนของน้องชายกลับเหมือนถูกสตาฟไว้ในวัยเด็ก เป็นห้วงคำนึงถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้
ได้อ่านเกร็ดเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้น่าสนใจดี…
สาเหตุที่ Oshima เลือกร็อคสตาร์อย่าง Bowie มารับบทนำนั้น ก็เพราะได้ไปชมเขาแสดงละครเวที และเกิดประทับใจในการแสดงที่ทรงพลังและเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ ส่วน Bowie นั้นเล่าว่าในกองถ่าย Oshima กำกับนักแสดงญี่ปุ่นอย่างละเอียดยิบ ชนิดเก็บทุกเม็ด ขณะที่เวลากำกับนักแสดงตะวันตกนั้น Oshima กลับให้อิสระในการแสดงอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ตัว Sakamoto ที่ทั้งแสดงนำและประพันธ์เพลงในหนังเรื่องนี้ เล่าว่า หลังถ่ายหนังเสร็จในแต่ละวัน ตัวเขาได้สังสรรค์กับ Bowie ทุกคืนตลอดทั้งเดือน ซึ่งเขาเป็นคนที่อัธยาศัยดี และตรงไปตรงมา แต่เขารู้สึกเสียดายที่ไม่กล้าเอ่ยปากขอคำแนะนำในการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์กับร็อคสตาร์ชาวอังกฤษ เพราะเขาเชื่อว่า ณ เวลานั้นตัว Bowie เองกำลังจดจ่อกับการแสดงอย่างเอาเป็นเอาตาย
ปล. ส่วนตัวดันชอบคู่ Lawrence & Hara ในหนังมากกว่า Lawrence ดูจะเป็นคนที่มีเหตุผล ประนีประนอมที่สุด ขณะที่ Hara นั้นดูจะเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการและคลี่คลายได้ดีที่สุด ชอบฉาก Merry Christmas ของ Kitano ทั้ง 2 ครั้ง มันเป็นการแสดงที่ซื่อและกินใจแบบสุด ๆ
[CR] รีวิวหนัง "Merry Christmas, Mr. Lawrence"
มาเริ่มรู้จักตัวหนังก็สักเมื่อ 10 ปีก่อนตอนเริ่มฟังเพลงของ David Bowie และทำให้ได้รู้ว่า Sakamoto นอกจากแต่งเพลงแล้ว ยังรับบทนำในเรื่องนี้ด้วย (และก็รู้จัก ผกก. สุดอื้อฉาวอย่าง Nagisa Oshima ในช่วงไล่เลี่ยกันจากหนัง In the Realm of the Senses)
แอบตลกตรงที่หนัง 2 เรื่องที่ Sakamoto รับบทเป็นนายทหารยศสูง ที่เข้าฉายในไทยติด ๆ กันอย่าง The Last Emperor และ Mr. Lawrence นั้น ดันมี timeline ประวัติศาสตร์ใกล้เคียงกันเสียอีก
– Mr. Lawrence ออกฉายก่อนในปี 1983 แต่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นในช่วงหลังปี 1936 เป็นต้นมา (ผู้กองโยโนอิเคยไปประจำการที่แมนจูเรีย)
– ขณะที่ Last Emperor ออกฉายในปี 1987 แต่เหตุการณ์ที่อะมะคะสุเข้าไปพัวพันในการสถาปนาปูยีเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดของแมนจูเรีย จะโฟกัสไปที่ช่วงปี 1934
ผลงานของ Oshima เรื่องนี้ ทีมงานถ่ายทำส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น (รวมถึงตากล้อง Toichiro Narushima ที่ถ่ายภาพออกมาได้งดงามมาก) ตีแผ่ด้านมืดของลัทธิจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น โดยมุ่งเน้นไปที่ปมขัดแย้งระหว่างปรัชญาตะวันออก/ตะวันตก อุดมการณ์แบบอำนาจนิยม/เสรีนิยม ชาตินิยม/ปัจเจกนิยม และการต่อสู้ภายในจิตใจของตัวละครที่มีการปะทะกันระหว่าง “หน้าที่-มนุษยธรรม-ความรัก-จิตวิญญาณ”
ความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก 2 คู่
–“แจ็ค&โยโนอิ” [โบวี&ซาคาโมโตะ] แฝงไว้ด้วยความเสน่หา ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามทั้งในเชิงหน้าที่ (ศัตรู) และเชิงจารีต (ความรักแบบชาย-ชาย)
– “ลอว์เรนซ์&ฮาระ” [คอนติ&ทาเคชิ] เป็นมิตรภาพไร้พรมแดนที่เกิดขึ้นในสมรภูมิรบ ภายใต้มาดที่ดูแข็งกร้าว และซาดิสม์ คาแรกเตอร์ ผู้หมู่ฮาระ ค่อย ๆ พัฒนา ละลายพฤติกรรม จนเผยให้เราเห็นแง่มุมที่อ่อนโยนในช่วงท้าย ๆ
งานภาพในฉากที่ โบวี (แจ็ค) ระลึกถึงปมฝังใจที่เกิดจากการเพิกเฉยน้องชายตัวเอง ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจ โดยมีการแทนภาพตัวละครแบบ Surreal ให้เรารู้สึกเหมือนว่า โบวี ย้อนไปสู่ภาพอดีตโดยที่ภาพแทนของตัวเขายังอยู่ในวัยปัจจุบัน ขณะที่ภาพแทนของน้องชายกลับเหมือนถูกสตาฟไว้ในวัยเด็ก เป็นห้วงคำนึงถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้
ได้อ่านเกร็ดเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้น่าสนใจดี…
สาเหตุที่ Oshima เลือกร็อคสตาร์อย่าง Bowie มารับบทนำนั้น ก็เพราะได้ไปชมเขาแสดงละครเวที และเกิดประทับใจในการแสดงที่ทรงพลังและเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ ส่วน Bowie นั้นเล่าว่าในกองถ่าย Oshima กำกับนักแสดงญี่ปุ่นอย่างละเอียดยิบ ชนิดเก็บทุกเม็ด ขณะที่เวลากำกับนักแสดงตะวันตกนั้น Oshima กลับให้อิสระในการแสดงอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ตัว Sakamoto ที่ทั้งแสดงนำและประพันธ์เพลงในหนังเรื่องนี้ เล่าว่า หลังถ่ายหนังเสร็จในแต่ละวัน ตัวเขาได้สังสรรค์กับ Bowie ทุกคืนตลอดทั้งเดือน ซึ่งเขาเป็นคนที่อัธยาศัยดี และตรงไปตรงมา แต่เขารู้สึกเสียดายที่ไม่กล้าเอ่ยปากขอคำแนะนำในการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์กับร็อคสตาร์ชาวอังกฤษ เพราะเขาเชื่อว่า ณ เวลานั้นตัว Bowie เองกำลังจดจ่อกับการแสดงอย่างเอาเป็นเอาตาย
ปล. ส่วนตัวดันชอบคู่ Lawrence & Hara ในหนังมากกว่า Lawrence ดูจะเป็นคนที่มีเหตุผล ประนีประนอมที่สุด ขณะที่ Hara นั้นดูจะเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการและคลี่คลายได้ดีที่สุด ชอบฉาก Merry Christmas ของ Kitano ทั้ง 2 ครั้ง มันเป็นการแสดงที่ซื่อและกินใจแบบสุด ๆ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น